วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 265

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 265 เย่หวูเฉิน เจ้าโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!

“.....แต่องค์หญิงเฟยฮวงถูกยกให้หวูเฉินแล้ว หวังว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงลืม นางกับข้าสัญญากันเอาไว้ ว่าจะเป็นของข้าเย่หวูเฉินเท่านั้น ผู้อื่นผู้ใด ไม่ต้องกล่าวว่าจะแต่งกับนาง แค่แตะปลายเส้นผมก็อย่าหวัง เรื่องนี้ข้าหวังว่าฝ่าบาท....จะลองตรองดูอีกครั้ง!!”

คำกล่าวของเย่หวูเฉินในเมื่อวานเห็นได้ชัดว่าแฝงความนัย และในที่สุดมันก็สะท้อนไปมาในหัวของหลงหยิน หลงหยินกำหมัดแน่นทุบลงบนโต๊ะ ความโกรธทะลักจนเจ็บปวด เขาขบฟันแน่น แค่นเสียงเล็ดไรฟันด้วยความชิงชัง “เย่หวูเฉิน.... เจ้า~~โหดเหี้ยม~~เกินไปแล้ว!!”

เวลานี้เย่หวูเฉินไม่ใช่คนเดิมที่นอบน้อมเหมือนอย่างสามปีก่อน เพียงเพราะเมื่อวานนี้เขาไม่ยอมยกเลิกการหมั้นระหว่างหลินเสี่ยวกับองค์หญิงเฟยฮวง วันนี้เย่หวูเฉินถึงกับทำลายหลินเสี่ยวด้วยวิธีโหดร้ายทารุณ เขาทำลายหลินซิว ทำร้ายตระกูลหลินอย่างแสนสาหัส สร้างความอับอายแก่หลงหยินอย่างร้ายแรง

สามารถนำบุคคลลอบเข้าราชวังได้อย่างเงียบเชียบ ด้วยสภาพของเย่หวูเฉินย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ ทว่าคนที่อยู่ข้างกาย เด็กหญิงชุดดำที่เพียงมองมาก็ทำให้เขารู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง หากเป็นนางย่อมทำได้ง่ายดายยิ่ง! นอกจากเย่หวูเฉินแล้ว ยังจะมีผู้ใดที่มีเหตุผลให้ทำลายหลินเสี่ยว และสร้างความอับอายแก่ตระกูลหลินและตระกูลหลงของเขา!

ขันทีน้อยเดินมาอย่างตัวเกร็ง “ฝ่าบาท ใต้เท้าหลินขอเข้าเฝ้า….”

โดยไม่รอให้หลงหยินกล่าวตอบ หลินขวงเร่งร้อนเข้ามาคุกเข่าดัง ‘ตึง’ ลงต่อหน้าหลงหยิน “ฝ่าบาท.... ฝ่าบาท นี่เป็นการจัดฉาก เขาถูกใส่ความ เสี่ยวเอ๋อร์เข้านอนในห้องของตนเองเมื่อวาน ต่อให้เขาขวัญกล้าเพียงใด ก็ไม่มีทางกระทำเย้ยฟ้าเช่นนี้.... ฝ่าบาท นี่เป็นการจัดฉากจริงๆ!!”

ขันทีน้อยรีบถอยออกไปอย่างเร็วไว

หลงหยินแค่นเสียงหนัก

“....ในราชวังมีองครักษ์ตรวจตราเข้มงวด หลินเสี่ยวแม้มีความสามารถก็ยังไม่อาจเป็นไปได้ที่จะเข้าไปถึงห้องบรรทมของจักรพรรดินี ฝ่าบาทได้โปรดประทานอภัยให้เสี่ยวเอ๋อร์ด้วยเถอะ.... บ่าวผู้ต่ำต้อยจะให้เขาหนีไปอยู่ขอบชายแดนทันที และจะไม่ให้กลับมาอีก ขอเพียงฝ่าบาทละเว้นชีวิตให้เขา....ฝ่าบาท!”

หลงหยินไม่ได้รับคำ เขาแค่นเสียงหนัก “ไหนเลยข้าจะมองไม่ออกว่านี่เป็นการจัดฉาก แต่แล้วยังไง? วันนี้เช้าข้าได้เห็นเต็มสองตาตัวเอง เจ้ายังจะให้ข้าอภัยมันอีก! ข้าไม่ฆ่ามันทิ้งตรงนั้นก็ถือว่าเมตตาตระกูลหลินของเจ้าแค่ไหนแล้ว! เฮอะ!”

หลินขวงทรุดร่างลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง เขารู้ว่านี่คือการจัดฉาก? ทว่านี่ต่างจากการบุกรุกและสังหาร.... เนื่องจากมันคือการสวมหมวกเขียวให้จักรพรรดิ และผู้ที่สวมให้เขาคือจักรพรรดินี.... มันคือความอับอายสูงสุดที่ไม่อาจมีชายคนใดสามารถทานทน ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงหลงหยินผู้เป็นราชันอันสูงศักดิ์ หากเรื่องนี้เขายังให้อภัยหลินเสี่ยวได้ แล้วผู้คนจะคิดอย่างไรกับจักรพรรดิผู้นี้

หลินเสี่ยวจบสิ้นแล้ว จบสิ้นอย่างแท้จริง ถูกลอบสังหารคือจุดจบเดียวของเขา และแม้เขาจะตายมันก็ยังไม่จบแค่นั้น ขนาดไม่ทันตายก็เหมือนกับคนที่ตายไปแล้ว เมื่อตายลงเขาจะถูกผู้คนหมิ่นหยามดูแคลน เพียงชั่วข้ามคืน ตระกูลหลินที่เคยภาคภูมิกลับต้องย่อยยับด้วยยอดพรสวรรค์รุ่นเยาว์ของตัวเอง ทั้งยังไม่อาจไถ่ถอนกลับคืนได้

บางที ผู้ที่วางแผนจัดฉากตั้งแต่เริ่มมันไม่ได้คิดปกปิดความจริงแม้แต่น้อย เพราะเรื่องพรรค์นี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนรู้ว่ามันร้ายแรงจนไม่อาจอภัยกันได้

มีคนผู้หนึ่งเข้ามาอย่างเงียบงัน และก่อนที่เขาจะเข้ามา กลับไม่มีเสียงเรียกขานจากขันทีน้อย คนผู้นี้แต่งกายประหลาด รูปลักษณ์คล้ายผู้คุ้มกัน ที่ศีรษะสวมหมวกใบกว้างบังลงต่ำเล็กน้อย หากยังบังส่วนใหญ่ของใบหน้า เมื่อเขาก้าวเข้ามา ก็พบหลินขวงนั่งอ่อนแรงอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าสิ้นหวัง ในใจเขากระตุกวูบ และเร่งรีบกล่าวคำ “ถวายบังคมฝ่าบาท.... บ่าวมาถึงล่าช้าขอฝ่าบาทโปรดประทานอภัย ไม่ทราบฝ่าบาทเรียกบ่าวมาที่นี่เพราะมีรับสั่งใด?"

หลินขวงที่หน้าซีดเซียวตะกายลุกขึ้น จากนั้นมาคุกเข่าอยู่ข้างคนผู้นั้น จับไหล่เขาเขย่าแรงและกล่าวอย่างร้อนรน “หยุนเอ๋อร์ เจ้ารีบขอร้องฝ่าบาทเร็วเข้า พี่ใหญ่ของเจ้าถูกจัดฉากใส่ความ จะปล่อยให้เขาตายไม่ได้.... เจ้ารีบขอร้องฝ่าบาทเร็วเข้า....”

หลินขวงคลานเข่าเข้าไปหาหลงหยินและอ้อนวอน “ฝ่าบาท โปรดเห็นแก่ตระกูลหลินของข้าที่ภักดีและอุทิศตัวมาหลายชั่วรุ่น หลายปีมานี้หยุนเอ๋อร์ไม่เคยได้กลับตระกูล ได้โปรดไว้ชีวิตเสี่ยวเอ๋อร์ บ่าวชราขอใช้ศีรษะเป็นประกัน เขาจะไม่ปรากฎตัวต่อหน้าฝ่าบาทนับแต่นี้ไปอย่างแน่นอน....”

บุคคลผู้นั้นแหงนหน้าขึ้นและคำนับลงอย่างหนักหน่วงเช่นกัน เขากล่าว “ขอฝ่าบาทโปรดเมตตา ไว้ชีวิตให้กับพี่ชายข้า เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการจัดฉาก พี่ชายข้าต่อให้มีขวัญกล้าก็ไม่มีทาง....”

บุคคลผู้นี้ กลับเป็นเย่หวูหยุน!

เย่หวูหยุนคือบุตรคนรองของตระกูลหลินผู้ซึ่ง ‘ตายตั้งแต่เกิด’ เป็นน้องชายของหลินเสี่ยว เป็นพี่ชายของหลินอวี้ เพื่อแผนการ ‘ใหญ่’ ของหลงหยิน หลินขวงผู้ภักดีไม่มีสองได้ลอบสับเปลี่ยนเขากับทารกที่พึ่งตาย ดังนั้น ภายในตระกูลหลินนอกจากหลินขวงแล้วทุกคนล้วนเข้าใจว่าบุตรคนรองได้ตายไปตั้งแต่เกิด สำหรับหลงหยินนั้นเพื่อแผนการ ‘ใหญ่’ ของตนเอง มันไม่กล้าให้เกิดความผิดพลาดใดๆ ไม่กล้าใช้คนอื่นที่ไม่ไว้ใจ ดังนั้นมันจึงเลือกบุตรชายของตระกูลหลิน อาจกล่าวได้มันเป็นผู้ที่วางแผนได้รอบคอบยิ่ง

หากไม่ใช่เพราะการปรากฎตัวของเย่หวูเฉินอีกคน แผนการของมันคงสำเร็จลุล่วงไปแล้ว

เย่หวูหยุนคือบุตรชายแห่งตระกูลหลิน ในแผ่นดินนี้นอกจากหลงหยิน , หลินขวง และตัวเย่หวูหยุนเอง ก็ไม่มีบุคคลที่สี่ที่รู้เรื่องนี้อีก.... ไม่สิ ตอนนี้ยังมีอีกผู้หนึ่งที่สมองทื่อทึบ คือเฮยเซียงที่ภักดีต่อหลงหยินไม่มีสอง หลงหยินไม่ระแวงเขาแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว กระทั่งหลินขวงและเย่หวูหยุนเขายังไม่ปิดบัง ตรงกันข้าม เมื่อเย่หวูหยุนมาพบแต่ละครั้งเขาจะให้สามผู้ปกปักษ์หลบไปทางอื่น

“หุบปากซะ!” หลงหยินตวาดลั่นอย่างเกรี้ยวกราด เย่หวูหยุนกับหลินขวงเงียบเสียงลงทันทีและไม่กล้าพร่ำวาจาอีก การขอจักรพรรดิให้ไว้ชีวิตผู้ที่สวมหมวกเขียวให้กับตน ก็เท่ากับเป็นการตบหน้าเขาสลับไปมาทั้งสองข้าง

“ข้าอยากให้เจ้ากำจัดเย่หวูเฉินในเวลาอันสั้นที่สุด.... จำไว้ว่า ในเวลาอันสั้นที่สุด! ต่อให้ต้องเปิดเผยตัว ก็ต้องทำให้มันตายให้จงได้!!” ความโกรธที่สุมอยู่ในอกของหลงหยินแทบจะทำให้เขาล้มป่วยลง “เป็นวันนี้ได้ยิ่งดีที่สุด จงทำให้มันตาย.... หลังจากที่ฆ่ามันแล้ว หากพวกเจ้าต้องการสิ่งใด ข้าจะมอบให้ทุกอย่าง!”

ความชิงชังที่เก็บกดไว้ของหลงหยินสะท้อนออกมาจากน้ำเสียงอันเดือดดาล ทำให้หลินขวงกับเย่หวูหยุนที่หวาดกลัวอยู่พลันเข้าใจ หลินขวงถามเสียงสั่น “ฝ่าบาท หรือว่าเรื่อง.... เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้าเด็กตระกูลเย่....”

“เฮอะ! เย่หวูเฉินไร้พลังแม้แต่จะหักคอไก่ เจ้าจะฆ่ามันตอนนี้ย่อมง่ายเหมือนปอกกล้วย! แต่จงระวังไว้ว่า ที่ข้างกายมันมีเด็กหญิงชุดดำอยู่คนหนึ่ง เจ้าต้องลงมือตอนที่นางไม่อยู่เท่านั้น ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีการใด ขอเพียงให้มันตายเท่านั้น! ข้าอยากจะฉีกมันออกเป็นชิ้นด้วยมือตัวเองซะด้วยซ้ำ”

น้ำเสียงทุ้มต่ำของหลงหยิน ทำให้เย่หวูหยุนที่ได้ฟังรู้สึกเย็นเยียบไปทั่วร่าง เขาไม่กล้าเอ่ยถามและโขกหัวลงกล่าว “พะยะค่ะ บ่าวจะใช้เวลาอันสั้นที่สุดเพื่อส่งเย่หวูเฉินให้ตกตายให้จงได้”

“ใช่.... ให้มันตาย ต้องให้มันตาย....” หลินขวงเข้าใจกระจ่างแจ้งในทันที ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต้องเป็นเพราะน้ำมือของเย่หวูเฉิน ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อวานเย่หวูเฉินก้าวร้าวแต่จักรพรรดิกลับทรงอดกลั้นโทสะเอาไว้ ถึงแม้มันมีร่างกายพิกลพิการ แต่ข้างกายกลับมียอดฝีมือที่แม้กระทั่งจักรพรรดิยังพรั่นพรึง ย่อมเป็นคนผู้นั้นที่นำหลินเสี่ยวเข้าไปในวังโดยไม่มีผู้ใดสังเกต ตอนแรกเข้าไปในตระกูลหลิน จากนั้นเข้าไปในวังหลวง ไม่มีผู้ใดขัดขวางต้านทานได้ ทำหลานชายสุดรักและภาคภูมิให้ถูกหมิ่นหยาม ทำธิดาผู้เป็นจักรพรรดินีให้ถูกทำลายครึ่งชีวิตที่เหลือ ทำตระกูลหลินของเขาให้อับอายอย่างร้ายกาจ เขาไม่เคยชิงชังผู้ใดมากเท่านี้มาก่อนเลย

“เจ้าไม่อาจออกมาข้างนอกนาน ตอนนี้จงกลับไป แล้วลงมือทันทีที่ทำได้ เจ้าอยู่ในตระกูลเย่มานานหลายปี ผู้คนย่อมไม่คิดสงสัยตัวตนของเจ้า และต่อให้ล้มเหลว เจ้าก็ยังมีตระกูลหลินให้สืบทอด ข้ามีวิธีการนับไม่ถ้วนที่จะรับรองให้เจ้าสบายใจ ชีวิตของเจ้าจะมั่งคั่งและรุ่งโรจน์ เจ้าไปได้แล้ว” หลงหยินโบกมือหนัก ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงด้วยความโกรธ เพื่อระบายโทสะและความอับอายในวันนี้ เขาไม่ลังเลหาญท้าอันตรายเผยแผนที่วางไว้อย่างรอบคอบมาตลอดหลายปี แผนการซึ่งถือได้ว่าไร้ข้อบกพร่อง

เย่หวูหยุนออกไปด้วยความตระหนก กดหมวกลงต่ำ และกลับไปด้วยความเร่งรีบ

“เจ้าพาเขาไป เฮยเซียง พาเขาไปพบหลินเสี่ยวที่อยู่ในคุกใต้ดินชั้นลึกสุด” หลังจากที่เย่หวูหยุนออกไปแล้ว สายตาของหลงหยินก็หม่นลงทั้งเย็นชาขณะกล่าว

เฮยเซียงเกาศีรษะแกรกๆ แล้วเอ่ยกับหลินขวง “ข้าจะพาท่านไปเอง.... เอาละ เชิญท่านเดินนำก่อน” เขาอาศัยอยู่ในวังได้เกือบปี ตอนนี้จึงพอเรียนรู้มารยาทมาได้บ้างเล็กน้อย

หลินขวงลุกขึ้นยืน ฝีเท้ายังอ่อนแรง เดินโซเซออกจากประตูไป ชายชราอายุ 70 กว่าปีผู้นี้ ดูราวกับว่า จู่ๆก็แก่ลงไปอีกนับสิบปี

ในเวลาเดียวกัน ที่เมืองเทียนฟง อาณาจักรต้าฟง

“ถวายบังคมฝ่าบาท.... ฝ่าบาทเรียกบ่าวผู้ต่ำต้อยให้เข้าเฝ้าแต่เช้าเช่นนี้ ไม่ทราบมีเรื่องสำคัญใด?” เยว่หานตงกระทำคารวะ แม้จะอยู่ในวัง แต่ความภาคภูมิราวพยัคฆ์ของเขายังคงฉายออก ร่างกายแผ่กลิ่นอายบรรยากาศอันสูงส่งโน้มนำผู้คนให้เชื่อถือ เบื้องหน้าของเขา เป็นฟงเลี่ยที่สีหน้าซับซ้อนและซีดขาวผิดปกติ

“ข้าได้ยินว่าธิดาของเจ้า ซือฉีปีนี้อายุครบ 18 ปี เข้าสู่วัยแต่งงาน ไม่ทราบว่าเจ้าหมั้นหมายนางกับผู้ใดไว้หรือยัง?”

เยว่หานตงแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด เขาตอบกลับตามตรง “ทูลฝ่าบาท ธิดาของกระหม่อมยังมิได้หมั้นหมายกับผู้ใด ต้องโทษบ่าวผู้ต่ำต้อยที่ตลอดหลายปีมานี้....”

“เช่นนั้นก็ดี” ฟงเลี่ยเอ่ยขัดขึ้นมา จากนั้นกล่าวอย่างผิดหวัง “องค์รัชทายาทปีนี้อายุได้ 25 ชันษา ทว่าเขาไม่เคยยอมรับที่จะมีชายาคนใด ตอนนี้เริ่มมีข่าวลือไม่ดีขององค์รัชทายาท ข้าไม่อาจอดทนได้อีก”

เยว่หานตงเงยศีรษะขึ้น กล่าวออกไปทั้งตกใจ “ฝ่าบาท ท่านหมายถึง?”

“ฮี่ๆ ชื่อเสียงของธิดาเจ้า ข้าได้ยินมานานแล้ว เลยคิดจะให้นางเป็นคู่ครองขององค์รัชทายาท ไม่ทราบขุนพลเยว่มีความเห็นว่าเช่นใด?”

เยว่หานตงปิติยินดียิ่ง เขาหมอบลงและกล่าว “เป็นหนี้บุญคุณฝ่าบาทแล้ว ลูกสาวของกระหม่อม หากได้แต่งงานเข้าสู่ตระกูลฟงย่อมถือเป็นวาสนา ดั่งฟ้าประทานพรให้ทั้งชีวิตของนาง บ่าวผู้ต่ำต้อยขอขอบพระทัยฝ่าบาท!”

“หากขุนพลเยว่เห็นด้วยก็ดี หลังจากนี้ ข้าจะแจ้งให้แก่องค์รัชทายาท” ฟงเลี่ยค่อยๆกล่าว ฟงเลี่ยในยามนี้ต่างจากสามปีก่อนอย่างมาก ความดุร้าย ความกระฉับกระเฉง และความขึงขังลดลง ทั่วทั้งร่างดูอ่อนระทวยลง ราวกับคนที่เพิ่งหายป่วยหนักมา

“พะยะค่ะ พะยะค่ะ” เยว่หานตงรับคำสองครั้งต่อเนื่อง สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้ถือเป็นข่าวดียิ่ง เขาไม่มีบุตรสืบทอดมีแต่ธิดาเพียงคนเดียว หากนางกลายเป็นอัครชายาของรัชทายาทได้ ด้วยสถานะเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าเมื่อใดที่รัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์ นางก็จะก้าวไปสู่ตำแหน่งสูงสุดที่สตรีแห่งอาณาจักรต้าฟงจะขึ้นไปถึง สถานะนี้ยังทำให้ตระกูลของเขาทั้งฝ่ายภรรยาและพ่อแม่เสมือนหนึ่งย่างเท้าขึ้นสู่สวรรค์ ดังนั้นจะไม่ให้เขามีความสุขได้อย่างไร

หลังจากพากันเงียบไปครู่หนึ่ง เขาไม่กล้าถามคำถามกับฟงเลี่ยอีก เพียงเงยศีรษะขึ้นมองฟงเลี่ยอยู่สองสามครั้ง ปากขยับเล็กน้อย เหมือนจะกล่าวคำหากแต่ยังลังเล

“ขุนพลเยว่มีสิ่งใดอยากจะถามข้าหรือไม่?” ฟงเลี่ยถาม

“ฝ่าบาท.... โปรดรักษาพระพลานามัย” เยว่หานตงมองด้วยความลังเลขณะกล่าว

และก็เหมือนเช่นทุกครั้ง ฟงเลี่ยมิได้พยักหน้า แต่สีหน้ากลับกลายเป็นซีดขาวอย่างฉับพลัน เขากล่าวเสียงแหบต่ำ “ขุนพลเยว่.... ข้าเคยบอกหลายครั้งแล้ว ข้าสบายดี! ต่อไปอย่าได้กล่าวกับข้าด้วยคำพวกนี้อีก!!”

“พะยะค่ะ.... เป็นบ่าวผู้ต่ำต้อยที่หุนหันเอง” เยว่หานตงก้มหัวลงคำนับ หากในใจลอบถอนใจอยู่เงียบๆ ไม่ว่าผู้ใดล้วนมองเห็นว่าฟงเลี่ยต้องประสบบางสิ่งจึงได้เปลี่ยนไปมาก แต่ว่าสิ่งที่เขากำลังประสบอยู่นั้น....คงมีแต่ฟงเลี่ยเท่านั้นที่รู้

“เรื่องอื่นให้หยุดพักไว้ก่อน พรุ่งนี้ข้าจะประกาศให้รู้กันทั่ว ให้ช่วยกันจัดงานพิธีสมรสระหว่างองค์รัชทายาทกับธิดาของเจ้า หลายวันต่อจากนี้ คงต้องลำบากขุนพลเยว่แล้ว” ฟงเลี่ยโบกมือ วันนี้ ถึงแม้เขาจะพูดถึงเรื่องงานแต่งระหว่างรัชทายาทกับลูกสาวของเยว่หานตง แต่เขากลับไม่แสดงอาการตื่นเต้นใดๆ ราวกับว่ามีเงาทะมึนล้อมอยู่รอบกายเขา ทำให้เขาไม่อาจผ่อนคลายหัวใจได้



<<<PREV    .    NEXT>>>