วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 292

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 292 จิตสังหาร , โทสะท่วมฟ้า

กร๊อบ....

เสียงแตกหักดังขึ้นชัดเจน เล่งหยาใบหน้าบิดเบี้ยว ฉู่จิงเทียนใจหายวูบหนึ่ง และขณะที่เขากำลังจะพุ่งออกไป เหยียนเจิ้งก็ปล่อยมือออก

เล่งหยาเจ็บปวดถึงจิตและไม่อาจห้ามตนเองให้ถอยออกห่าง ทว่าขณะที่กำลังจะถอยออกมา คลื่นพลังแรงกล้าก็ซัดเข้าที่อกจนอวัยวะภายในปั่นป่วน.... คิดไม่ถึงเลยว่า หลังจากปล่อยมือเหยียนเจิ้งกลับอาศัยจังหวะที่เล่งหยาชะงักฟาดสองฝ่ามือเข้าใส่....

การจู่โจมนี้ เหยียนเจิ้งใช้ออกเต็มกำลัง อัดเล่งหยาอย่างหนักหน่วงจนเลือดพุ่งและปลิวไปไกล มุมปากเหยียนเจิ้งยกเป็นรอยยิ้มทะมึนวับหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นี้ทำให้เขาไม่อาจวางใจ ทุกการแสดงออกล้วนบอกว่านี่คือคนที่ไม่อาจควบคุมได้.... ดังนั้น ทางเลือกที่ดีสุดก่อนที่มันจะกลายเป็นภัยคุกคามในวันหน้า คือทำลายมันเสียตั้งแต่เนิ่น

“เจ้าหน้าน้ำแข็ง!”

ฉู่จิงเทียนร้องอย่างตื่นตระหนก กระโดดพุ่งไปยังทิศทางที่เล่งหยาปลิวไป ทว่าด้วยแรงกระแทกอันหนักหน่วง เล่งหยาจึงปลิวด้วยความเร็วสูงยิ่ง โลหิตพุ่งเป็นสายกระจายในอากาศ กระทั่งหลุดออกจากขอบผาดาวตก ฉู่จิงเทียนต้องหยุดเท้าที่ขอบผา ร่างของเล่งหยาตกลงไปราวกับใบไม้ร่วง กระแทกแผ่นผิวทะเลสาบดาวตกที่อยู่เบื้องล่างนับร้อยจั้ง (333เมตร) ผิวน้ำแตกกระจายออก เพียงไม่นานเหนือน้ำก็ลามออกเป็นสีแดง กระบี่คร่าสายลมของเล่งหยาก็ตกลงไปพร้อมกัน ทั้งคนทั้งกระบี่จมลงไปในน้ำ

ฉู่จิงเทียนดวงตาทะมึน ทรุดเข่าลงที่ขอบผา มองยังผิวน้ำทะเลสาบอย่างโง่งม จากรอยเลือดที่ยาวเป็นสาย ก็เพียงพอจะบอกได้ว่า การโจมตีธรรมดาของเหยียนเจิ้งนั้นทำให้เล่งหยาได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงใด

เหยียนกงลั่วขยับเท้าจะก้าวออกไป ทว่าถูกเหยียนเทียนเว่ยยกมือขึ้นขวาง เขากล่าวเสียงต่ำ “เจ้าลืมที่เจ้านายกล่าวย้ำไว้แล้วรึ?”

“แต่ว่า....”

“ไม่มีแต่ ไม่ว่าที่เจ้านายพูดจะผิดหรือถูก พวกเราก็ต้องไม่ขัดขืนคำสั่ง” เหยียนเทียนเว่ยหรี่ตาลงกึ่งหนึ่ง สีหน้ายังคงราบเรียบ ราวกับว่าที่เบื้องหน้าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

“ข้าเข้าใจแล้ว” เหยียนกงลั่วพยักหน้า ทว่าหัวใจบีบรัด

บรรยากาศกลายเป็นเงียบงันอย่างประหลาด พวกเขาได้เห็นสุดยอดพรสวรรค์ปรากฎต่อหน้า ทว่าผ่านไปเพียงครู่เดียว กลับต้องเห็นเขาถูกทำลายโดยไม่อาจช่วยได้ หัวใจตอนนี้หลากอารมณ์ซับซ้อน แม้พวกเขาไม่รู้จักเล่งหยา แต่ในใจลึกๆล้วนรู้สึกเสียดาย

“ท่านลงมือ....ได้น่าละอายยิ่ง” หวู่ซานซื่อที่นั่งสงบลมปราณอยู่ผุดลุกขึ้นทันที ตอนนี้สีหน้าดูน่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง

“ไม่จำเป็นต้องมีเมตตาในการต่อสู้ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีคนบาดเจ็บหรือล้มตาย นี่คือกฎของงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน” เหยียนเจิ้งกล่าวโดยไม่รู้สึกผิด

“กฎ? ถูกต้อง นี่อาจจะเรียกว่ากฎ! แต่เขาเป็นเพียงรุ่นเยาว์คนหนึ่งเท่านั้น ท่านสามารถยั้งมือได้ เหตุใดยังต้องลงมือรุนแรงถึงเพียงนั้น ท่านเป็นถึงผู้อาวุโสแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือ แต่การกระทำกลับช่างน่าผิดหวัง” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งหลังพิงผนังหินกล่าวอย่างเย็นชา

“ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ไม่เกี่ยงว่าอีกฝ่ายมีต้นกำเนิดอย่างไร ไม่ว่าบุรุษ , สตรี , หรือเด็กก็ตาม นี่คือวิธีการของสำนักจักรพรรดิเหนือของข้า” เหยียนเจิ้งสีหน้าทะมึนลง

“เฮอะ! ในอดีตที่ผ่านมา แม้ว่างานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินจะมีผู้บาดเจ็บล้มตายบ้าง แต่ต่างฝ่ายล้วนเป็นศัตรูคู่อาฆาตต่อกัน ทั้งยังมีฝีมือสูสี แต่ท่านกับเขานอกจากจะไร้ความบาดหมางต่อกัน เมื่อประมือกันแล้วก็เห็นได้ชัดว่าเขาอ่อนด้อยกว่าท่านมาก ท่านหวังเอาชนะเขาย่อมเป็นเรื่องง่าย เหตุใดยังต้องใช้วิธีโหดร้ายป่าเถื่อนเช่นนี้! ก่อนหน้าที่ผ่านมา ข้านับถือสำนักจักรพรรดิเหนือมาโดยตลอด แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ท่านกลับกระทำสิ่งที่สมควรถูกผู้คนหมิ่นหยาม!”

“หยุดพูดซะที!”

เสียงคำรามต่ำด้วยความโกรธ ฉู่จิงเทียนยืนขึ้นจากขอบผา ค่อยๆหันร่างกลับมา เขาก้มศีรษะและขบฟันแน่น ดวงตาสองข้างปิดสนิท ระงับกลั้นน้ำตาที่ใกล้ไหลออกมา ทั่วร่างสั่นสะท้านเล็กน้อย

สำหรับฉู่จิงเทียนแล้ว เขาอาศัยในดินแดนถูกผนึกตั้งแต่เด็ก ความเจ็บปวดสูงสุดอย่างมากก็เพียงถูกท่านปู่ตนลงโทษ ตอนที่ถูกยึดกระบี่ชางหมิงแล้วโยนกระบี่เล่มอื่นให้....นั่นถือว่าเจ็บปวดแล้ว? ดังนั้น เขาจึงไม่เคยเข้าใจว่าความเจ็บปวดที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร

ชั่วขณะที่เล่งหยาร่วงลงไป เขาพลันรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แผ่พุ่งในอก ความเจ็บปวดชนิดนี้ เขาเคยสัมผัสมาแล้วหนหนึ่งเมื่อตอนที่ทราบข่าวการตายของเย่หวูเฉินและหนิงเสวี่ย หากความเจ็บปวดครั้งนี้ต่างจากตอนนั้นมาก เพราะการตายของเย่หวูเฉินเขาเพียงได้ฟังข่าวมา แต่เล่งหยาที่อยู่ร่วมกันมานานกว่า 3 ปี ถูกทำร้ายสาหัสต่อหน้า จนร่วงจากผาดาวตกที่สูงกว่าร้อยจั้ง โดยที่เขาไม่อาจทำอะไรได้

สิ่งที่เรียกว่าโทสะเริ่มลุกไหม้อยู่ในอก เริ่มมองหาบางสิ่งเพื่อระบายออก เขาเปิดตาขึ้นจ้องตรึงที่ร่างเหยียนเจิ้ง เขามีจิตใจดีงามและบริสุทธิ์ยิ่ง น้อยนักที่จะโกรธขึ้งถึงขีดสุด และในเวลานี้ จากสายตาที่มองเหยียนเจิ้ง ไม่สงสัยเลยว่าเขากำลังโกรธสุดขีดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต

ฉู่จิงเทียนระเบิดไอปราณออกจากร่าง ราวกับมีลมพัดพวยพุ่งออก สายตาตื่นตระหนกจ้องมาที่ฉู่จิงเทียนทันที ทุกคนต่างมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ ชายหนุ่มร่างกายใหญ่โตผู้นี้อายุไม่น่าจะเกิน 25 ปี ทว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมานั้นเหนือล้ำกว่าเล่งหยาอย่างคาดไม่ถึง อีกทั้งยังไม่เพียงเหนือกว่าแค่เล็กน้อย

“เจ้าคือ?” เหยียนเจิ้งเหลือบมองฉู่จิงเทียนอย่างระวัง ตรวจค้นในความทรงจำก็ไม่พบข้อมูลของคนผู้นี้ นั่นทำให้เขายิ่งประหลาดใจมากขึ้น

ฉู่จิงเทียนไม่กล่าวตอบ เขาเอื้อมแขนไปเบื้องหลัง มือจับลงที่ด้ามกระบี่ กระบี่ชางหมิงถูกดึงออกจากฝักอย่างเงียบงัน แสงครามต้องสะท้อนสายตาทุกผู้คน ทำหัวใจฝูงชนให้สะท้านหวั่นไหว

“กระบี่ชางหมิง!” เหยียนเจิ้งคำรามต่ำ จากนั้นกล่าว “ช่างน่าสนใจจริงๆ.... ตาแรกของผู้ชราเป็นบุตรแห่งเทพมายา ตาที่สองเป็นบุตรแห่งเทพสงคราม และตอนนี้ยังรวมถึงทายาทแห่งเทพกระบี่....”

“เคล็ดเทพกระบี่ มังกรบินพิโรธร่วง!”

ฉู่จิงเทียนยามนี้ดวงตามืดมัวอย่างไม่เคยเป็น เขาไม่คิดกล่าวคำกับชายชรา ทั้งสีหน้าและลักษณ์กระบี่ล้วนเย็นเชียบด้วยเจตนาสังหาร แสงกระบี่สีครามที่เปล่งออกมา ทำให้อากาศโดยรอบเย็นเยียบลงเล็กน้อย

พร้อมกับเสียงกู่ร้องอย่างเย็นชา กระบี่ในมือพลันพุ่งออก เขาผลักกระบี่หมุนควงด้วยความเร็ว เหยียนเจิ้งกล้าใช้พลังเพลิงวิญญาณรับการโจมตีของหวู่ซานซื่อ แต่ครานี้แม้กระบี่ชางหมิงยังไม่ทันเข้าใกล้ เขาก็ถอยร่นอย่างร้อนรน ก่อนที่จะยื่นมือออกมาทั้งสองข้างแล้วเคลื่อนพลังเพลิงวิญญาณ ต้านพลังเกรี้ยวกราดของกระบี่ชางหมิง ปราณกระบี่แผ่พุ่งทุกการหมุนควง ส่งปราณกระบี่นับไม่ถ้วนพุ่งเฉือนใบหน้าและร่างกาย เหยียนเจิ้งตกตะลึงอย่างหนัก ทว่าที่เขาต้องตกตะลึงยิ่งกว่า คือแม้แทบจะใช้พลังทั้งหมดในการป้องกัน แต่ความรู้สึกอันตรายไม่ลดลงแม้แต่น้อย!

แม้กระบี่พุ่งออกจากมือ แต่ฉู่จิงเทียนยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ มือขวาอยู่ในท่าชูออกและสั่นอย่างรุนแรง มังกรบินพิโรธร่วงเป็นทักษะการคุมกระบี่ เป็นหนึ่งในกระบวนท่าที่ฝึกได้ยากยิ่ง สำหรับผู้ที่อ่อนแอ มันคือกระบวนท่าสังหาร สำหรับผู้ที่แข็งแกร่ง มันสามารถผลักดันให้ถอยร่น กระทั่งเหยียนเจิ้งยังถูกผลักให้ถอยออกไปกว่า 50 เมตร ด้วยท่า “มังกรบินพิโรธร่วง” นี้

“คุมกระบี่? ท่านปู่ หรือว่านี่คือการคุมกระบี่ที่ท่านเคยพูดถึง.... เจ้าทึ่มตัวโตคนนั้นกลับคุมกระบี่ได้!” เหยียนกงรั่วตะโกนออกมาอย่างอดไม่ได้ เพราะเหยียนเทียนเว่ยเคยกล่าวว่าไม่ยากที่จะเป็นยอดนักกระบี่ แต่การจะคุมกระบี่ได้นั้นยากยิ่งประดุจปีนป่ายขึ้นสวรรค์ ยอดนักกระบี่มากมายตายลงโดยที่ไม่เคยรู้ความหมายแท้จริงของการคุมกระบี่

“ถูกต้อง นี่คือการคุมกระบี่.... ไม่เพียงเขาจะคุมกระบี่ได้เท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่าการคุมกระบี่ของเขาเข้าขั้นปรมาจารย์ของรุ่น!” เหยียนเทียนเว่ยกล่าวพลางพยักหน้า

เหยียนเจิ้งที่เอาชนะหวู่ซานซื่อและเล่งหยาอย่างง่ายดาย ยามนี้กลับตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากเพียงเพราะหนึ่งกระบวนท่าของฉู่จิงเทียน ยอดฝีมือแทบทุกคนในที่นี้ต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง ยากที่จะทำใจเชื่อสายตาตน ทว่าในกลุ่มคนเหล่านี้ หากไม่นับเหยียนเทียนเว่ย , เหยียนชิงหง , และอีกบางคน  ยามที่คนอื่นๆเห็นฉู่จิงเทียนนั้น ย่อมเข้าใจว่าฉู่จิงเทียนมีพลังแกร่งกล้าจากร่างที่กำยำ  อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงตื่นตะลึงกับกระบวนท่าแรก การคุมกระบี่เป็นสิ่งที่ยากสุดสำหรับนักกระบี่ ยากยิ่งกว่าการใช้ปราณกระบี่หลายเท่า และการบังคับกระบี่ได้อย่างอิสระเช่นนี้ สามารถเรียกได้ว่า “กระบี่กับคนรวมเป็นหนึ่ง” คือสุดยอดนักกระบี่ที่แท้จริง ซึ่งการจะบรรลุถึงระดับนี้ได้ ไม่ทราบว่าต้องฝึกฝนทรมานกี่ปี ต้องหลงใหลและเข้าใจถึงเพียงไหน

และฉู่จิงเทียนกลับสามารถคุมกระบี่ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งที่เขาเพิ่งมีพลังขอบเขตสวรรค์ชั้นกลาง ขณะที่ฉู่ชางหมิงใช้กระบวนท่า “แสงกระบี่ไร้เงา” ได้เมื่อตอนบรรลุขอบเขตเทวะ ซึ่งการที่ฉู่จิงเทียนบรรลุได้นั้น เหตุผลหลักคือความลุ่มหลงในกระบี่ชางหมิง ยามที่เขาไร้ผู้ใดเป็นเพื่อน กระบี่ชางหมิงกล่าวได้ว่าเป็นสมบัติและสหายของตน ฉู่ชางหมิงแม้รักษาความสงบดุจแผ่นน้ำยามอยู่ต่อหน้าฉู่จิงเทียน แต่ความก้าวหน้าที่รวดเร็วก็ทำให้เขาตกตะลึงอย่างยิ่ง ความเข้าใจในวิถีกระบี่ของฉู่จิงเทียนนับว่าเหนือกฎเกณฑ์ แม้ว่าเขามีพลังขอบเขตสวรรค์ชั้นกลาง แต่ความเข้าใจในวิถีกระบี่ได้แตะขอบขั้นเทวะไปแล้ว

ทั้งเขายังอายุเพียงแค่ 23 ปี นี่คือสุดยอดพรสวรรค์ที่งมงายในกระบี่ พลังของเขาแข็งแกร่งถึงขั้นใดนั้น....เล่งหยายังไม่เคยรู้ เพราะเขาไม่เคยกดดันฉู่จิงเทียนให้เอาจริงได้ และกระทั่งฉู่จิงเทียนเองก็ยังไม่รู้ตัว

50 เมตร เกือบจะเป็นระยะทางสูงสุดที่ฉู่จิงเทียนสามารถคุมกระบี่ มือขวาที่ยื่นออกถูกดึงกลับมาสามชุ่น (2.5 ซม.) ทันใดนั้น เขาพลิกข้อมือพร้อมคำรามเสียงต่ำ “เคล็ดเทพกระบี่ เบี่ยงวิถีสวรรค์!”

กระบี่ชางหมิงที่หมุนควงหยุดลงในที่สุด เหยียนเจิ้งคว้าจับด้ามกระบี่ในฉับพลัน ทว่าเพียงมือของเขาสัมผัสเข้ากับด้าม กระชี่ชางหมิงก็ดีดขึ้นราวกับสายฟ้าสีคราม แม้ว่าเหยียนเจิ้งจะถอนมือกลับอย่างรวดเร็ว แต่นิ้วทั้งสามก็ยังถูกบาด แม้จะมีวิชาเพลิงวิญญาณเป็นพลังคุ้มร่าง แต่ก็ไม่อาจต้านทานอำนาจของกระบี่ชางหมิง ตอนนี้มือขวาเจ็บปวดและเลือดไหล เหยียนเจิ้งถอยร่างขณะเลียเลือดบนนิ้วทั้งสาม ในใจอุทานด้วยความตะลึง “ด้วยระยะไกลถึงเพียงนี้ กลับสามารถผลักกระบี่พุ่งมาถึงได้ในพริบตา ราวกับว่าเทพกระบี่มาเอง!”

อย่างไรก็ตาม เขายังคงประเมินฉู่จิงเทียนต่ำเกินไป การบังคับกระบี่ให้โจมตีฉับพลันในระยะ 50 เมตรยังไม่ใช่ขีดจำกัดของเขา ฉู่จิงเทียนสีหน้าทะมึน พลิกข้อมืออีกครั้ง กระบี่ชางหมิงที่ดีดขึ้นสูงกลับช้าลงและหยุดนิ่งทันที พริบตานั้น มันพุ่งลงมารวดเร็วสุดขั้ว เล็งตรงที่ลำคอของเหยียนเจิ้ง.... เป็นครั้งแรกที่ฉู่จิงเทียนเกิดจิตสังหาร



<<<PREV    .    NEXT>>>