วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 277

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 277 เมิ่งฉานเยือนราตรี

.....

หลินซานและหลินขวงตกตะลึงดวงตาจ้องกว้าง หลินซานหน้าซีดยิ่งกว่าไก่ต้ม ร่างยวบยาบลงบนพื้น เขารู้ตัวดีว่าต่อให้พูดถึงร้อย , พัน , หรือหมื่นคำพูด ก็ไม่มีทางอธิบายแก้ตัวได้ เขาเริ่มสงสัยว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

“เป็นไปไม่ได้.... เป็นไปไม่ได้....” หลินขวงพึมพำขาดสติ จากนั้นกล่าวอย่างเจ็บปวด “ซานเอ๋อร์ ทำไม....ทำไมเจ้าถึงเหลวไหลได้ขนาดนี้!”

หลินขวงเข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของหลินซาน

“หลินซาน เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก” หลงหยินถามด้วยความโกรธ

หลินซานยิ้มสลด แววตากลายเป็นมัวหมอก ให้พูด...ยังจะให้เขาพูดอะไรได้อีก? หลักฐานมัดแน่นถึงขนาดนี้ ให้เขาพูดทั้งวันทั้งคืนยังจะมีใครเชื่อ? ถึงตอนนี้ คำพูดใดๆก็ไม่อาจช่วยได้แล้ว

“ส่งคนมาลากตัวหลินซานไปคุมขังไว้ในคุก ไว้รอข้าทำการตัดสิน!”

หลินขวงทรุดลงตรงหน้าหลงหยิน พยายามวิงวอนอย่างหนัก “ฝ่าบาท แม้เจ้าลูกสุนัขทำความผิดใหญ่หลวง หากอยากขอฝ่าบาทโปรดทรงเมตตา.... โปรดเมตตาด้วยเถอะ! บ่าวชราเพิ่งจะสูญเสียวเสี่ยวเอ๋อร์ไป ฝ่าบาทโปรดเห็นแก่ที่บ่าวชราทำงานเป็นวัวเป็นม้า ภักดีและอุทิศตัวให้ โปรดอภัยให้บุตรชายข้าด้วย”

“เฮอะ! เมตตา....ข้าทนได้ เจ้าคิดว่าข้าอยากจะฆ่าหลินเสี่ยวงั้นเหรอ? แต่เจ้าก็เห็นกับตาแล้ว หลินซานไม่เพียงมีจิตทรยศ แต่ยังแก้ตัวบิดเบือนซ้ำๆ เจ้าจะให้ข้าทนยังไงไหว.... แต่เจ้าวางใจเถอะข้าจะไม่ฆ่ามัน ส่วนจะจัดการยังไงนั้น หลายวันนี้ข้าจะคิดดู เจ้าออกไปได้!”

หลังจากที่เย่หวูเฉินกลับมาเพียงไม่ถึงสามวัน หายนะก็หล่นใส่หัวตระกูลหลินครั้งแล้วครั้งเล่า หลินขวงอยากร้องไห้ออกมาหากแต่ไร้น้ำตา ได้แต่คร่ำครวญในใจว่าข้าหลินขวงทำผิดอันใด....

................

................

ยามรัตติกาลย่างเยือน

เย่หวูเฉินยังไม่หลับ เอนกายกึ่งนั่งอยู่บนเตียง ดวงตาเปิดอยู่เล็กน้อย ทางขวามือ หนิงเสวี่ยซุกในผ้าห่มผืนบาง ใส่ชุดนอนสีขาวน่ารัก หลับไหลขณะพิงขาเขาอยู่ ทางซ้ายมือ ทงซินกอดขาเขาไว้ด้วยสองแขน นอนหลับอุตุในท่าไม่น่าดูยิ่ง น้ำลายไหลย้อยจากมุมปากเปื้อนชุดของเขา

ท่ามกลางความมืด ประตูที่ปิดแน่นกำลังเปิดออกอย่างเงียบงัน  มีเงารางๆค่อยๆใกล้เข้ามา ทิงซินที่หลับอยู่เปิดตาขึ้นทันที

“ทงซิน ไม่ต้องสนใจนาง” เย่หวูเฉินกล่าว จากนั้นมองใบหน้าที่งุนงงขณะเข้ามาใกล้

“เหมือนท่านรู้อยู่แล้วว่าข้าจะมา”

ร่างนั้นเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับกลิ่นหอมที่แผ่แผ่ว น้ำเสียงนุ่มนวลราวสายลมอบอุ่น ทำผู้คนที่ได้ยินรู้สึกเมามาย แม้จะอยู่ในความมืด แต่ก็พอเห็นรางๆว่าเป็นเงาร่างงดงามของสตรี สวมใส่อาภรณ์สีฟ้าบางและมีผ้าคลุมครึ่งหน้าอยู่ แม้ว่าไม่อาจเห็นชัด แต่กลับโน้มนำจิตใจให้รู้สึกราวได้พบเซียนฟ้า เหมือนครั้งหนึ่งที่เจอกับเหยียนจื่อเมิ่ง นางปรากฎตัวอย่างลึกลับและสูงส่ง ทำผู้คนปรารถนาอยากเห็นดวงหน้า หากไม่กล้าละเมิดล่วงล้ำ

เย่หวูเฉินชูขึ้นมาสามนิ้ว ค่อยๆกล่าวเนิบนาบ “จากความเข้าใจที่ข้ามีต่อท่าน ขีดจำกัดความอดทนของท่านคือสามวัน ไม่อย่างนั้น ท่านย่อมไม่ใช่ฉุ่ยเมิ่งฉาน

ฉุ่ยเมิ่งฉาน “......”

“เราพบกันเพียงสองครั้ง หลังจากนั้นไม่เจอกันนานกว่าสามปี แล้วท่านไปเอาความเข้าใจในตัวข้ามาจากไหน?” ฉุ่ยเมิ่งฉานเอ่ยแผ่วเบา

“เพราะท่านคือสตรี ถึงแม้ท่านคือฉุ่ยเมิ่งฉาน หากยังนับเป็นสตรีคนหนึ่ง อ้างอิงจากความอดทนของสตรี ข้ามั่นใจยิ่งว่าท่านจะทนได้เพียงสามวันเป็นอย่างมาก” เย่หวูเฉินยิ้มและประสานมือหลังศีรษะ กล่าวเนิบนาบต่อ “ท่านมาหาข้าทำไม? หรือท่านเห็นว่าข้านอนคนเดียวแล้วหลับยาก เลยคิดมีใจ อยากช่วยนอนเป็นเพื่อนข้า?”

ฉุ่ยเมิ่งฉานไม่ได้โกรธ นางปรายตามองหนิงเสวี่ยกับทงซินที่ตื่นแล้วกล่าวเสียงเบา “โอ้? นายน้อยเย่รายล้อมด้วยสตรีงดงาม เหตุใดยังกล่าวว่านอนคนเดียวอยู่อีก?” 

เย่หวูเฉินยิ้มปลอดโปร่ง “พวกนางคือเงาของข้า ทั้งยังเยาว์เกินไปนัก เรื่องการร่อนหงส์ ไหนเลยจะเทียบกับฉุ่ยเมิ่งฉานได้ ท่านคือสตรีที่จักรพรรดิหมั้นหมาย เป็นองค์หญิงผู้สูงส่งแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ พอคิดว่ารสชาติย่อมไม่ธรรมดา ข้าก็อดฝันที่จะลิ้มชิมไม่ได้ ไม่ทราบว่าเทพธิดาฉุ่ยเมิ่งฉานจะยินดีร่วมเตียงคืนนี้กับข้าหรือไม่?”

ทรวงอกของฉุ่ยเมิ่งฉานสะท้อนหนักหน่วง ทว่าก็กลับสู่ปกติอย่างรวดเร็ว นางกล่าวนุ่มนวล “ท่านไม่จำเป็นต้องยั่วยุข้า ในเมื่อท่านเดาได้ว่าข้าจะมา ท่านเดาไม่ออกหรือว่าข้ามาที่นี่ทำไม?”

เมื่อได้ยินคำ รอยยิ้มของเย่หวูเฉินเลือนหายทันใด ใบหน้าเศร้าสลดลงเล็กน้อย เขาเอ่ยเสียงเบา “ฉุ่ยเมิ่งฉาน ท่านมาหาข้าเพื่อถามว่ากระบี่หนานฮวงอยู่ที่ไหนสินะ”

“ไม่ผิด....”

“เฮอะ!” ฉุ่ยเมิ่งฉานเพิ่งเปิดปากกำลังจะกล่าวต่อ ทันใดก็ถูกเย่หวูเฉินกล่าวขัดอย่างขัดเคือง “ท่านยังมีหน้ามาพบข้าอีก.... ข้อตกลงของพวกเราที่ให้ท่านปกป้องตระกูลเย่และตระกูลฮั่วเป็นเวลาสามปี และท่าน....เท่าที่ข้ารู้มา ท่านทำหน้าที่ปกป้องเพียงไม่ถึงสองเดือนเท่านั้น หลังจากนั้นไม่สนใจอีก วันนี้ท่านเอาหน้าจากไหนมาถามข้าถึงกระบี่หนานฮวง กลับไปซะ ข้าไม่มีข้อตกลงใดๆกับสำนักจักรพรรดิใต้อีกแล้ว อย่าได้กวนใจข้าอีก” เย่หวูเฉินกล่าวเสียงเย็นชา โบกมือไล่ไม่อดทน

ฉุ่ยเมิ่งฉานเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “เรื่องนี้ถือเป็นความผิดของสำนักจักรพรรดิใต้จริง พวกเราคิดว่าท่านตกตายภายใต้หุบเหวปลิดวิญญาณ....”

“ดังนั้นเลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องรักษาสัญญาอีก? ทว่าข้าเย่หวูเฉินชีวิตนี้ยากนักที่จะตาย ไม่ใช่ใครคนใดที่ท่านคิดว่าตายก็ตายได้ ที่แท้สำนักจักรพรรดิใต้ผู้ยิ่งใหญ่ก็กลับธรรมดา ยังไม่ทันเห็นศพหรือเห็นคนตายกับตา กลับรีบตัดสินว่าผู้อื่นตายไปแล้ว ข้าอยากถามเหลือเกินว่าท่านโง่ , โง่ , หรือโง่กันแน่?”

ในโลกหล้าอันกว้างใหญ่ จะมีใครกล้าเล่นตลกต่อหน้าองค์หญิงแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ ฉุ่ยเมิ่งฉานขมวดคิ้วมุ่น น้ำเสียงอ่อนนุ่มยังกลับแข็งขึ้น “พอเถอะ ข้าไม่อยากเปลืองลมทะเลาะกับท่านอีก กระบี่หนานฮวงสำคัญกับสำนักจักรพรรดิใต้ของพวกเรายิ่ง ท่านเสนอเงื่อนไขออกมาได้ หากท่านสามารถช่วยพวกเราได้รับกระบี่หนานฮวง ไม่ว่าเงื่อนไขใดพวกเราก็จะตกลง”

“ข้อตกลงใหม่? ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ จะเป็นอย่างไรหากข้าไม่ตกลงเงื่อนไขใหม่กับท่านในวันนี้ ท่านจะใช้วิธีต่ำช้าด้วยการข่มขู่บังคับข้าหรือไม่? โอ สงสัยข้าคงต้องกลัว เช่นนั้นข้าขอคิดเงื่อนไขใหม่ให้ดีก่อน”

ในความมืดนั้น ดวงตาสองข้างของเย่หวูเฉินเริ่มกวาดมองเรือนร่างของฉุ่ยเมิ่งฉาน แววตาที่มักสงบของนางขยับด้วยโทสะ ราวกับจะลุกเป็นไฟในฉับพลัน สายตาลามกมองแต่ละจุดบนร่างนาง ทั้งที่มีความมืดและเสื้อผ้าบังอยู่ แต่ใต้สายตาที่มองลามไล้นั้น ฉุ่ยเมิ่งฉานรู้สึกราวกับว่าตนเองยืนเปลือยเปล่าอยู่ต่อหน้าเขา หัวใจสั่นไหวทะมึน

“สมแล้วที่ได้รับสมญาว่าสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองเทียนหลง กระทั่งในความมืดไม่อาจเห็นชัดเจนยังพาผู้คนชวนฝันได้ นี่คือเงื่อนไขใหม่ที่ข้าพึ่งคิดออก ในเมื่อท่านบอกเองว่าจะตกลงไม่ว่าเป็นเงื่อนไขใด เช่นนั้นข้าจะพูดตามตรง ข้าอยากให้ท่าน.... ร่วมเตียงกับข้าหนึ่งคืน.... เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งโกรธ ข้ากำลังพูดกับท่านอย่างจริงจัง ทั้งเรื่องเวลาจะต้องก่อนหน้าจักรพรรดิหลงหยิน สตรีที่ข้าสัมผัสจะต้องไม่เคยผ่านมือผู้ใด ท่านเข้าใจชัดเจนดีหรือไม่?” เย่หวูเฉินกล่าวเรียบเรื่อย สายตาลามกมองตั้งแต่บั้นท้าย ลามไปที่ใบหน้า ไล่มาที่ตรงอก สลับขึ้นลงไม่หยุดหย่อน ทำให้นางสั่นเทิ้มเบาๆอย่างไม่อาจควบคุมตัวเอง

“นี่คือเงื่อนไขของท่าน?” ฉุ่ยเมิ่งฉานเมื่อถูกสายตาลวนลามก็เดาได้ถูกต้องว่าจะได้ยินเช่นนี้ หากเมื่อได้ยินจริงๆก็ไม่อาจห้ามโทสะได้ ทว่าน้ำเสียงเริ่มอ่อนลง

“โอ้? ท่านยังไม่ได้ยินชัดเจนสินะ งั้นข้าจะพูดใหม่อีกครั้ง....”

“เปล่า ข้ายอมรับเงื่อนไข ตราบใดที่ท่านช่วยพวกเราหากระบี่หนานฮวงพบ ข้าจะทำตามที่ท่านต้องการ” ฉุ่ยเมิ่งฉานกล่าว

เย่หวูเฉินส่ายศีรษะและยิ้มกล่าว “ไม่ ท่านต้องสนองความปรารถนาของข้าก่อน ข้าถึงจะยอมบอกที่อยู่ของกระบี่หนานฮวง”

ฉุ่ยเมิ่งฉานมีโทสะเล็กน้อย “สำนักจักรพรรดิใต้ของข้ารักษาคำพูดเสมอมา ไม่เคยหลอกลวงผู้ใด ไหนเลยจะตระบัดสัตย์กับท่านได้!”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า....” เย่หวูเฉินเมื่อได้ยินคำนี้ ใบหน้าก็หัวเราะยิ้มหยัน “พูดได้ดี ไม่เคยหลอกลวง ข้าไม่รู้เลยว่าผู้ใดลอบแทรกซึมเข้าสู่ราชตระกูลเทียนหลง จับมือเล่นละครลวงโลกกับสำนักจักรพรรดิเหนือ ใครกันหนอที่ออกปากจะคุ้มกันตระกูลเย่ของข้าเป็นเวลาสามปี แต่เพียงสองเดือนกลับถอนมือกลับไม่สนใจอีก นี่ท่านตบหน้าตัวเองอยู่หรือยังไง? สำนักจักรพรรดิใต้ของท่าน ไม่เหลือความน่าเชื่อถือใดๆในสายตาข้าอีกแล้ว”

ฉุ่ยเมิ่งฉานอับจนคำพูดที่จะโต้ตอบทันที ผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงกล่าว “แล้วท่านจะให้พวกเราเชื่อถือได้อย่างไร ว่าท่านจะไม่กลับคำพูด!?”

“ข้าไม่จำเป็นต้องบังคับให้ท่านเชื่อ” เย่หวูเฉินเลิกคิ้วขึ้น มุมปากยกยิ้ม “ข้าแค่เสนอเงื่อนไขของตัวเองเพื่อแลกกับสิ่งที่ท่านต้องการ แค่ตอบมาว่าจะนอนกับข้าหรือไม่ หากยังไม่ตอบ.... ประตูอยู่ทางนั้น ไปเลือกเอาเอง แล้วภายหลังโปรดอย่ามารบกวนข้าถึงเตียงนอนตอนดึกดื่นอีก”

ฉุ่ยเมิ่งฉานนิ่งงันอยู่นาน ถอนหายใจบางและกล่าว “เย่หวูเฉิน ข้ามาคุยกับท่านด้วยความจริงใจ แต่ท่านกลับสร้างความอับอายให้กับเมิ่งฉาน”

“เรื่องนี้ทำให้ท่านอับอายมากเลยหรือ? แต่ในความเห็นของข้า การแลกเปลี่ยนครั้งนี้สมควรเป็นข้าที่สูญเสียถึงจะถูก” เย่หวูเฉินกล่าวเป็นนัย ขณะที่สายตายังคงกวาดมองบนร่างของฉุ่ยเมิ่งฉาน

“ข้าไม่ต้องการเห็นวันที่กลายเป็นศัตรูกับท่าน”

“ไม่ต้องการ หรือไม่กล้า?” เย่หวูเฉินยิ้มบาง กล่าวเรียบเรื่อย “ถูกต้อง....ท่านไม่กล้า ท่านอาจพูดได้ว่าไม่ต้องการ แต่ความจริงคือไม่กล้า หากข้าแสดงทุกสิ่งออกมาให้ท่านเห็น บางทีท่านอาจไม่มาพบข้าด้วยตนเอง แต่อาจจับข้าหรือคนในตระกูลแล้วขู่บังคับข้าแทน ทว่ายิ่งข้ากระทำการไร้ยางอายเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ท่านไม่กล้าลงมือวู่วาม เพราะท่านคิดว่าข้ามีไพ่ในมือซ่อนอยู่ ดังนั้นจึงไม่กล้าหุนหัน อีกทั้งท่านยังไม่ต้องการยั่วยุศัตรูผู้แกร่งกล้าในช่วง ‘เวลาสำคัญ’ คนพิการอย่างข้าสามารถกดดันองค์หญิงแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ได้ นับว่าเป็นเกียรติไม่น้อย”

ฉุ่ยเมิ่งฉาน “.......”

“ข้าพูดถูกหรือไม่ ที่ว่าท่านไม่กล้าลงมือกับข้า?” เย่หวูเฉินเอ่ยเบาๆ โน้มกายลงลูบผมขาวนุ่มของหนิงเสวี่ย ดึงผ้าห่มบางขึ้นมาปกนาง

ฉุ่ยเมิ่งฉานเงียบอยู่เนิ่นนาน นัยน์ตางดงามขยับไหวซับซ้อน ในที่สุดนางก็ถอนใจบางและหมุนกายกลับออกไป



<<<PREV    .    NEXT>>>