วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 272

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 272 หลงฮวงเอ๋อร์ที่เติบโตขึ้น

“ฝ่าบาท นี่มัน....” หลินซานไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด ค่อยๆเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง

“วันนี้....เลิกประชุม!!” หลงหยินพ่นคำเล็ดไรฟันที่ขบแน่น โทสะท่วมทับขณะลุกออกไป เมื่อหลงหยินออกไปแล้ว เหนือท้องพระโรงเกิดความปั่นป่วนขึ้นมาทันที เสียงถกเถียงดังสนั่นอื้ออึง หลายคนเดาออกว่าฮั่วเจิ้นเทียนต้องพรวดพราดออกจากท้องพระโรง เขาหยุดนอกประตูมองหลังของเย่หวูเฉินที่ยังไปได้ไม่ไกลนัก พึมพำเสียงต่ำ “เจ้าเด็กนี่ ในที่สุดก็เริ่มแล้ว”

ในฐานะขุนนางชั้นสูงแห่งอาณาจักรเทียนหลง มีความจงรักภักดีมาตลอด เขาสมควรที่จะยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน ทว่าเย่หวูเฉินเป็นว่าที่สามีที่ลูกสาวเขารักอย่างงมงาย....ทำให้เขาสับสนอย่างที่สุด

มีมือเบื้องหนึ่งตบลงบนไหล่ของเขาเบาๆ ฮั่วเจิ้นเทียนหันศีรษะมาและพบว่าเป็นชูเกอหวูอี้ เขาเอ่ยถาม “น้องฮั่ว เจ้าเป็นพ่อตาของเขา คงรู้อะไรบ้างใช่ไหม? หากเป็นแค่เขาเพียงคนเดียว ข้าจะไม่กังวลเลย แต่ยังมีขุนพลเย่ที่กุมอนาคตได้ เรื่องนี้ทำให้ข้า....” เขาถอนหายใจบาง “หรือฟ้า จะเปลี่ยนจริงๆ?”

ฮั่วเจิ้นเทียนลอบกล่าวปากขยุกยู่ยี่ “ผู้ใดหว่านผลแห่งความชั่วไว้ ผู้นั้นย่อมต้องรับผลชั่วด้วยตนเอง ในเมื่อท่านเป็นผู้ใต้บัญชาของขุนพลชราเย่ และเป็นสหายสนิทของเย่เว่ย เช่นนั้น ท่านอย่าได้เข้าแทรกแซงเลย”

ฮั่วเจิ้นเทียนพึมพำ ไม่ว่าชูเกอหวูอี้จะเข้าใจหรือไม่ เขาก็รีบจากไปอย่างเร่งรีบ

ชูเกอหวูอี้จ่อมจมลงในความคิด....ผลจากความชั่ว? หรือว่า.... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ ชูเกอหวูอี้ก็หลั่งเหงื่อเย็น หากจักรพรรดิกระทำต่อตระกูลเย่ผู้ภักดีเพียงนั้นจริงๆ เช่นนั้นก็นับว่าเลวร้ายยิ่ง ทำขุนนางผู้ภักดีให้ตีตัวออกห่างเพราะแผนร้าย ไม่แปลกใจขนาดผู้ภักดีและอุทิศตัวอย่างฮั่วเจิ้นเทียนยังถึงขั้นชี้ชัดว่าอย่าได้แทรกแซง”

จักรพรรดิกลับเข้าไปในห้องหนังสือ โกรธร้อนสุมแน่นจนอกแทบระเบิด เขาเขวี้ยงแผ่นฝนหมึกลงจากโต๊ะกระทบพื้นอย่างรุนแรง เฮยเซียงรีบวิ่งกุลีกุจอไปเก็บกลับมา “ฝ่าบาท ผู้ใดทำให้ท่านโกรธได้ถึงเพียงนี้ ข้าจะออกไปสั่งสอนมันให้หนัก”

หลงหยินกัดฟันแน่น กล่าวคำอย่างดุร้าย “มันกำลังบีบคั้นข้า!!”

“เฮยเซียง มากับข้า!” เขากล่าวด้วยเสียงทะมึน เพียงแค่เข้าประชุมในท้องพระโรงก็เหน็ดเหนื่อยจนแทบสิ้นกำลังและความอดทน ตลอดเวลาล้วนคิดอยากจะตัดเย่หวูเฉินออกเป็นชิ้นๆ แต่เขาไม่สามารถฆ่ามันได้ หลังจากที่เมื่อวานเขาสงบลงเล็กน้อย จึงตระหนักได้ว่าเย่หวูเฉินระวังตัวอย่างยิ่ง แม้ตัวตนของเย่หวูหยุนไม่มีทางถูกมองออก แต่การสังหารเย่หวูเฉินนั้นแทบไม่มีโอกาส ยิ่งกว่านั้น เมื่อเย่หวูหยุนทำหน้าที่เป็นเบี้ยหมากมาหลายปี ไหนเลยจะยอมเสี่ยงเผยตัวตนในเร็ววัน เขาย่อมรอคอยจนกว่าจะมีโอกาส ถึงจะเริ่มลงมือกับเย่หวูเฉิน ซึ่งไม่รู้ต้องรอไปอีกกี่ปีหรือกี่เดือน

การจะสังหารเย่หวูเฉินนั้น ไม่จำเป็นต้องเอาชนะ ขอเพียงเด็กหญิงชุดดำผู้นั้นออกห่างในชั่วเวลาสั้นๆ เพราะกระทั่งสามผู้ปกปักษ์ข้างกายยังถึงกับออกปาก ว่าต่อให้พวกเขาทั้งสามร่วมมือกัน บวกเฮยเซียงเข้าไปอีกคน หากเผชิญหน้ากับนางก็อย่าหวังว่าจะกลับออกมาได้

ดังนั้น เขาจำเป็นต้องไปพบฉุ่ยเมิ่งฉาน งานแต่งที่ตกลงกันไว้กำลังใกล้เข้ามาถึง หากมีสำนักจักรพรรดิใต้เป็นผู้หนุนหลัง เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวใครหน้าไหนอีกต่อไป

หลังจากที่เย่หวูเฉินออกจากท้องพระโรงเทียนหลง เขาไม่ได้มุ่งหน้าออกจากราชวังแต่มุ่งหน้าไปทางตำหนักตะวันตก เขาหลับตากล่าวกับตัวเอง “หลงหยิน ดูเหมือนข้าประเมินเจ้าต่ำเกินไปบ้าง โดนขนาดนี้เจ้ายังสามารถอดทน แต่ถึงอย่างนั้น เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ยังเหลืออะไรให้เล่นอีกมาก ยังต้องให้เจ้าเป็นตัวละครเอก หากจบเร็วไปเดี๋ยวจะไม่สนุก 20 ปีก่อนเจ้าวางร้ายต่อตระกูลเย่ นำพาความเจ็บปวดอย่างสาหัส ดังนั้น จะไม่ให้ข้ามอบความเจ็บปวดสาหัสกลับคืนสู่เจ้าได้อย่างไร”

“ตอนนี้ เจ้าคงกำลังไปหาฉุ่ยเมิ่งฉาน” มุมปากของเย่หวูเฉินยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มลึกลับ

เป็นครั้งแรกที่หนิงเสวี่ยเข้ามาในราชวัง นางมองตำหนักงดงามด้วยความใคร่รู้ เช่นเดียวกับมวลพฤกษาและดอกไม้นานา รวมทั้งบรรดาขันทีและนางกำนัลที่สวมชุดแปลกๆ นางเอ่ยถามด้วยความสงสัยตลอดเวลา ขณะที่ทงซินสงบกว่าอย่างมาก ไม่มีหันมองบริเวณโดยรอบ ทั้งสายตายังไร้วี่แววสนใจ

เดินตามทางในความทรงจำเมื่อสามปีก่อน ผ่านไปพักหนึ่ง เย่หวูเฉินก็มาถึงหน้าวังหงส์เหิน ที่สวนหน้าวังเต็มไปด้วยดอกไม้สีชมพูเหมือนเช่นสามปีก่อน ดอกไม้เหล่านี้มีชื่อว่าสารทฤดูแดง แต่เนื่องจากองค์หญิงเฟยฮวงชื่นชอบมันมาก ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อใหม่ให้กับมันว่าดอกเฟยฮวง

“นะ....นายน้อยเย่”

เบื้องหน้า เป็นนางกำนัลที่เคยนำทางให้ครั้งอดีต นางมีสีหน้าประหลาดใจยิ่ง ทั้งตื่นเต้นดีใจจนไม่อาจปกปิด นางก้าวเข้ามาหากระทำคารวะ น้ำเสียงตื่นเต้นสั่นเครือ

“องค์หญิงอยู่ข้างในรึเปล่า?” เย่หวูเฉินยิ้มถาม

“ยะ อยู่.... ข้า.... บ่าวจะรีบไปแจ้งเดี๋ยวนี้ นายน้อยเย่โปรดรอสักครู่” นางกำนัลตื่นเต้นจนพูดจาติดๆขัดๆ นางกึ่งเดินกึ่งวิ่ง เมื่อนางเข้าไปข้างในก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกลอยออกมา “องค์หญิง องค์หญิง....”

เพียงไม่นาน นางกำนัลก็กลับออกมา หากใบหน้าของนางไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนเมื่อครู่ สีหน้าดูแปลกออกไป นางเดินมาหาและกล่าวเสียงเบา “นายน้อยเย่ องค์หญิงบอกว่า.... นางไม่อยากพบท่าน และขอให้ท่าน....กลับออกไปทันที”

“โอ้?” เย่หวูเฉินเหลือบมองที่ปากประตู ในใจแอบหัวเราะอยู่ เขาถอนหายใจและกล่าวอย่างผิดหวัง “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นอีกสองสามวันข้าจะมาใหม่ เสวี่ยเอ๋อร์ พวกเรากลับกันเถอะ”

เย่หวูเฉินเพียงหันไปได้ครึ่งร่าง ประตูวังหงส์เหินก็ถูกถีบออก ร่างงดงามในชุดราชสีชมพูเดินย่ำเท้า ‘ตึกๆ’ ตรงมาอยู่ตรงหน้าเย่หวูเฉิน เหวี่ยงหมัดเล็กๆทุบเขา “ตายซะ ตายซะ.... ท่านจะกลับมาทำไมอีก ท่านตายไปได้ก็ดีอยู่แล้ว.... ข้าเกลียดท่าน ข้าเกลียดท่าน....”

นางทุบตีพร้อมน้ำตาที่ร่วงราวหยดฝน ที่หยดลงบนตักของเย่หวูเฉิน

เย่หวูเฉินปล่อยให้นางทุบตี เงยมองใบหน้าที่อาบน้ำตา สามปีที่ไม่ได้พบเจอ ตอนนั้นนางอายุ 13 ปีมีขนาดตัวเท่าทงซิน กระนั้น นางยังเรียกทงซินว่า ‘พี่สาวตัวน้อย’ ทว่าตอนนี้นางอายุได้ 16 ปี เติบโตเป็นหญิงสาวร่างกายเพรียวงาม ดวงหน้าบอบบางนั้นยังเห็นร่องรอยของจิ้งจอกน้อยอย่างชัดเจน

เย่หวูเฉินกางแขนกอดนางเข้าสู่อก หลงฮวงเอ๋อร์ทั่วร่างชะงักแข็ง หากสองกำปั้นยังทุบตี นางก้มลงสู่แขนและร้องไห้

นางกำนัลถอยออกไปเงียบๆ ยิ้มด้วยความสุขใจ ขณะที่ลอบปาดน้ำตาเงียบๆ หลายปีมานี้นางเห็นองค์หญิงเฟยฮวงต้องตรอมตรม หัวใจเจ็บปวดทรมาน เย่หวูเฉินไม่ทราบใช้วิธีใดถึงขโมยหัวใจนางได้ เมื่อเขาออกเดินทางครั้งนั้น องค์หญิงเฟยฮวงตั้งตารอคอยเขาทุกวัน หากคิดไม่ถึงเลยว่าระหว่างที่รอนั้นกลับได้รับข่าวการตาย ยามนั้น องค์หญิงตัวน้อยที่หลงรักงมงายถึงกับสลบไปทันที

ในฐานะนางกำนัลขององค์หญิงเฟยฮวง นางรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด องค์หญิงเฟยฮวงสมควรทั้งรักและทั้งเกลียดต่อเขา

หนิงเสวี่ยและทงซินถอยออกมาเล็กน้อยขณะมองดูพวกเขา หลงฮวงเอ๋อร์ร้องไห้เหมือนเด็กเมื่อสามปีก่อน คุกเข่าซบร่างและร้องไห้อย่างโศกครวญ

เขารอให้นางร้องไห้จนเหนื่อย กระทั่งเสียงสะอื้นเริ่มเบาลง เย่หวูเฉินเชยคางนางขึ้นและกล่าวอย่างอ่อนโยน “ฮวงเอ๋อร์ เจ้าโตขึ้นแล้ว”

ได้ยินเขาเรียกหาตนเองว่า ‘ฮวงเอ๋อร์’ ไม่ใช่เรียกด้วยนามองค์หญิง หลงฮวงเอ๋อร์สุขล้นตันใจจนแทบอยากร้องไห้อีกครั้ง นางสูดจมูกสะอื้นกล่าว “ท่านดูแทบไม่เปลี่ยนไปเลย....”

ทันใดนั้น นางพลันตระหนักได้ว่าตนเองใช้น้ำเสียงอ่อนหวานเกินไป จึงใช้กำปั้นทุบที่ไหล่เขาต่อ “ท่านจะกลับมาอีกทำไม ลืมข้าไปก็ดีแล้ว....ในเมื่อข้าไม่สำคัญต่อท่าน.... ท่านจะมาพบข้าอีกทำไม....”

เย่หวูเฉินกอดนางแน่นขึ้น ทำให้กำปั้นน้อยๆของนางไม่อาจทุบได้อีก เขาเอ่ยเสียงเบา “เพราะเจ้าคือฮวงเอ๋อร์ของข้า เป็นว่าที่ภรรยาของข้า”

หลงฮวงเอ๋อร์ร่างกายอ่อนลง หัวใจเป็นสุขอย่างที่สุด หากนางยังดิ้นขยุกขยิก ขยับกายเหมือนจะดิ้นออกจากอ้อมแขนของเขา “ท่านโกหก โกหก.... วันนั้น ข้าได้ยินว่าท่านกลับมา พอรู้ว่าท่านยังไม่ตาย ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าดีใจแค่ไหน ข้าอุตส่าห์อาบน้ำเปลี่ยนชุดที่สวยที่สุดรอท่านมาหา.... แต่ข้ารอวันหนึ่งก็แล้ว สองวันก็แล้ว แต่ท่านก็ยังไม่มา ท่าน....คงลืมข้าไปแล้ว ดังนั้นไม่ต้องมาหาข้าอีก ข้าเกลียดท่าน เกลียดท่าน....”

เย่หวูเฉินเสียใจล้ำลึกอยู่ข้างใน เขากระซิบกล่าว “ฮวงเอ๋อร์ ข้าไม่ดีเอง ข้าไม่ควรมาหาเจ้าช้า หากเจ้าต้องการสิ่งใด ข้าสัญญาว่าจะมอบให้”

หลงฮวงเอ๋อร์นิ่งงันทันที เงยหน้าขึ้นมองและกระซิบ “งั้นท่านก็แต่งงานกับข้าสิ”

เย่หวูเฉินยิ้มกล่าว “ต่อให้ฮวงเอ๋อร์ไม่ต้องการ ข้าก็จะแต่งกับเจ้า ข้าบอกไปแล้วว่าเจ้าคือว่าที่ภรรยา เจ้าจะเป็นของข้าเพียงผู้เดียว ผู้อื่นไม่มีวันแย่งชิงไปได้”

“อืม!!” หลงฮวงเอ๋อร์พยักหน้าหนัก ยิ้มทั้งน้ำตาในที่สุด นางเงยหน้าพร้อมปาดน้ำตา สบมองใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปจากสามปีที่แล้วมากนัก ดวงตานางเริ่มพร่าอีกครั้ง พร้อมกระซิบบางเบา “ตอนนั้นพระบิดาจะให้ข้าแต่งงานกับคนแซ่หลิน ข้าร้องไห้แต่ท่านพ่อก็ยังยืนยัน ทั้งยังเคยให้คนแซ่หลินมาที่นี่ครั้งหนึ่ง แต่พอถูกข้าเล่นงานจนสภาพย่ำแย่ หลังจากนั้นเขาก็ไม่มาที่นี่อีกเลย ฮี่ ฮี่”

เมื่อนึกถึงครั้งแรกที่มายังวังหงส์เหิน ถูกหลงฮวงเอ๋อร์วาง ‘กับดัก’ ต้อนรับเอาไว้หลายสิ่ง เย่หวูเฉินก็อดที่จะยิ้มไม่ได้

“ร่างกายท่าน จะไม่ดีขึ้นแล้วจริงๆเหรอ? พวกเขาพูดกันว่า....ร่างกายของท่านพิการ แค่จะเดินยังทำได้ลำบาก” หลงฮวงเอ๋อร์กล่าวเป็นกังวล

“ฮวงเอ๋อร์รังเกียจหรือเปล่า?” เย่หวูเฉินยิ้มถาม

“.......” หลงฮวงเอ๋อร์ส่ายศีรษะเบาๆ “ไม่เลย ฮิๆ รถเข็นนี้ดูน่าสนุกนัก ขอข้าเข็นหน่อย....ได้มั้ย?”

เมื่อครู่ความสนใจทั้งหมดของหลงฮวงเอ๋อร์ตกอยู่ที่เย่หวูเฉิน ยามนี้นางเริ่มสังเกตเห็นหนิงเสวี่ยกับทงซินที่อยู่ข้างหลัง นางมองทงซินอย่างแปลกใจและถาม “ท่านคือ....พี่สาวตัวน้อยคนนั้นเหรอ?”

เช่นเดียวกับคนอื่นเมื่อเห็นหนิงเสวี่ยและทงซิน ทุกคนล้วนประหลาดที่พวกนางไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เย่หวูเฉินกล่าวตอบแทนทงซิน “ถูกต้อง แต่นางเลือกทานไปหน่อย ดังนั้นตัวเลยไม่สูงหรือโตขึ้น”

“งั้นเหรอ แต่ดูเหมือนไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด” หลงฮวงเอ๋อร์ท่าทางแปลกใจ แต่ทันใดนั้นก็หันมาสนใจเขาต่อ “เดี๋ยวข้าจะช่วยเข็นท่านเอง วันนี้ท่านไม่ได้ไปไหนแน่ ต้องอยู่เป็นเพื่อนข้า น้องสาวทั้งสองรีบตามมาเร็ว ข้ามีของอร่อยๆให้ พวกเจ้าต้องชอบมากแน่ๆ”

เนื่องจากทงซินและหนิงเสวี่ยตัวเล็กบอบบาง หลงฮวงเอ๋อร์จึงจัดการเปลี่ยนคำเรียกหาพวกนางเป็น “น้องสาว” หากน้ำเสียงที่นางกล่าวกลับเหมือนเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น



<<<PREV    .    NEXT>>>