วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 266

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 266 โอกาสของเย่หวูหยุน

“พะยะค่ะ! บ่าวผู้ต่ำต้อยจะรีบไปจัดการ.... แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่บ่าวผู้นี้ยังไม่เข้าใจ”

“ว่ามา”

เยว่หานตงเงยศีรษะขึ้น สีหน้ากลายเป็นหนักหน่วง น้ำเสียงที่กล่าวดุจโลหะที่เสียดสีกัน “สามปี บ่าวผู้นี้อดทนมาตลอดสามปี.... ในสามปีนี้พวกเราใช้กองทัพเล็กๆโจมตีเพียงแค่ขอบชายแดนของอาณาจักรเทียนหลง แต่ไม่มีครั้งใดที่พวกเรารุกคืบข้ามชายแดนเข้าไปอย่างจริงจัง.... ด้วยกำลังทัพของอาณาจักรต้าฟง หากไร้การแทรกแซงของอาณาจักรคุยชุย เมื่อพวกเราเคลื่อนทัพบุกเข้าทางทิศเหนือและทิศใต้ของอาณาจักรเทียนหลง บ่าวผู้นี้มั่นใจอย่างยิ่งว่าจะบีบให้อาณาจักรเทียนหลงตกอยู่ใต้สถานการณ์สิ้นหวังได้ในชั่วเวลาสั้นๆ.... ฝ่าบาท เมื่อสามปีก่อนท่านเคยบอกกล่าวตามตรงว่าจู่ๆสำนักจักรพรรดิใต้ก็สอดมือเข้ายุ่งเกี่ยว ย้ำเตือนว่าห้ามทำลายอาณาจักรเทียนหลงในเวลาสามปี เนื่องเพราะมีสำนักจักรพรรดิใต้ขวางทางอยู่ บ่าวผู้นี้จึงไม่เคยสงสัยหรือคัดค้านสิ่งใด แต่ตอนนี้เวลาสามปีได้ล่วงผ่านมาแล้ว เหตุใดฝ่าบาทจึงยังทรงลังเลอยู่อีก ทั้งที่ฝ่าบาทเองก็สมควรร้อนพระทัยยิ่งกว่าบ่าวผู้ต่ำต้อยคนนี้”

บรรยากาศกลายเป็นเงียบงัน สองบุคคลผู้ต่างอารมณ์หยุดอยู่ในฉาก เวลาราวกับพลันหยุดนิ่งลง

“สำนักมาร....” ระหว่างที่เยว่หานตงรอคอยคำตอบ ปากของฟงเลี่ยก็เอ่ยสองคำออกมาในที่สุด

เยว่หานตงเอ่ยวาจาลั่น “ฝ่าบาท! ถึงแม้สำนักมารจะแข็งแกร่ง แต่ไหนเลยจะเทียบกองทัพนับล้านได้ ในปีนี้สำนักมารปรากฎตัวฉับพลันโดยไม่ทราบที่มา คอยทำลายกองร้อยเล็กๆอยู่เนืองนิจ หากกลับไม่กล้าเผยตัวเผชิญหน้ากับกองทัพ เหตุใดพวกเราต้องหวาดกลัวพวกมันด้วย.... ฝ่าบาท ในหัวใจของบ่าวผู้ต่ำต้อย ท่านคือผู้เด็ดเดี่ยวทะยานล้ำดุจขุนเขา.... หากแท้จริงแล้วท่านกำลังหวาดกลัวสิ่งใดอยู่กันแน่!?”

แท้จริงแล้วเขากำลังหวาดกลัวสิ่งใด?

กลัวอะไรงั้นเหรอ?

สิ่งที่เขากำลังหวาดกลัวอยู่นั้น แค่จะกล่าวถึงยังไม่กล้า แค่จะนึกถึงยังหวาดหวั่น

“เจ้าไม่มีทางเข้าใจ.... บางเรื่อง หากมิได้ประสบด้วยตัวเอง ย่อมไม่มีวันเข้าใจ เจ้ากลับไปได้แล้ว” เขาหลบเลี่ยงคำถามของเยว่หานตง ทั้งยังไร้อารมณ์โกรธเคือง หากน้ำเสียงกลับยิ่งอ่อนแอ

เยว่หานตงสัมผัสได้ ว่าในน้ำเสียงของฟงเลี่ยนั้นแฝงความสั่นสะท้านลึกล้ำซ่อนอยู่ ความสงสัยในใจที่เก็บเงียบมานานจึงขยายตัวออก เขากล่าวด้วยความสลด “บ่าวผู้ต่ำต้อยขอฝ่าบาทได้โปรดอภัย”

พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าที่อยู่เหนือท้องฟ้าห่างออกไป บางทีอาจสูงขึ้นไปหลายร้อยเมตร หรือบางทีอาจถึงหนึ่งกิโลเมตร มีร่างสีเงินกำลังลอยนิ่งอยู่ สองหลุมบนหน้ากากเงินเป็นสองตาคมกล้าดุจกระบี่ ราวกับว่ามันสามารถมองชำแรกหลังคา ทะลุลงไปที่ฟงเลี่ยและเยว่หานตง แต่ระยะทางนั้นไกลยิ่ง เสียงของพวกเขาจึงไม่อาจดังมาถึงหูของคนผู้นี้

เมื่อเยว่หานตงจากไป ที่หลังหน้ากากเงินปรากฎรอยยกยิ้มเล็กน้อย เป็นยิ้มบางที่เยียบเย็นชา หลังจากนั้น ร่างนั้นหมุนตัวแล้วเร่งความเร็ว เหินบินไปจนหายลับตาท่ามกลางหมู่เมฆ

....................

....................

“ทำได้ดีมากเล่งหยา เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ” เย่หวูเฉินนั่งทอดกายสบายอกอยู่บนรถเข็น ตาที่ปิดกึ่งหนึ่งเหลือบมองเล็กน้อย ใบหน้ายิ้มเยาะขณะกล่าว “หลินเสี่ยว เจ้ามีแต่ต้องโทษหลงหยิน หากไม่ใช่เพราะมันคิดยกฮวงเอ๋อร์ของข้าให้แต่งงานกับเจ้า เหตุการณ์ในวันนี้จะไม่ใช่เจ้า แต่จะเป็นบิดาของเจ้าแทน”

เรื่องอื้อฉาวของน้าหลานกำลังโด่งดัง ฮี่ๆๆๆ.... ตระกูลหลิน นี่ยังพึ่งแค่เริ่ม ในฐานะสุนัขรับใช้ของหลงหยิน ก็สมควรย่อยยับติดตามไปพร้อมเจ้านาย และสิ่งที่น่าดูมากสุดก็คือ การได้เห็นสุนัขคลั่งถูกบีบคั้นให้กัดขย้ำเจ้านายตัวเอง ฮี่ๆๆๆ....

แม้เมื่อถูกเย่หวูเฉินยกย่อง เล่งหยาก็ไม่มีสีหน้าเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย หากแต่วันนี้ทั่วทั้งเมืองล้วนกล่าวถึงเรื่องอื้อฉาวสะท้านฟ้าดิน ทำหัวใจของเล่งหยาให้ตื่นตระหนก เขาไม่ทราบว่าเย่หวูเฉินพาเรื่องมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ยังไม่ทันพ้นเช้าก็ทำให้ทั่วทั้งเมืองลือลั่นเป็นพายุและสายฝน นี่ยากยิ่งกว่าการลอบเข้าไปในวังหลวงนับไม่รู้กี่เท่า

“ร่างของท่านป้าเล่ง ข้าให้คนบรรจุในโลงชั้นเลิศที่สุด หลังจากนั้น ข้าจะส่งเจ้าไปยังเมืองเทียนฟง เจ้าไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืน ในคืนนี้ยังมีเรื่องสำคัญให้ทำ เจ้าไปพักผ่อนเถอะ” เย่หวูเฉินยิ้มกล่าว

เล่งหยาพยักหน้าและออกไปโดยไม่กล่าวคำ

ตอนนี้เป็นยามใกล้เที่ยง เย่หวูเฉินไม่คุ้นชินกับการตื่นแต่เช้าเท่าใดนัก เมื่อได้รับรายงานภารกิจว่าลุล่วง เขาก็ไม่คิดรั้งรบกวนเล่งหยาอีก เมื่อเล่งหยาเดินออกไป เย่หวูเฉินก็อ้าปากหาวแล้วค่อยๆออกจากประตูสวน นั่งนิ่งอาบแดดอยู่ตรงปากประตูสวนนั้น สายตาหรี่ลงและมองไปที่ประตูทางเข้าคฤหาสน์ราวกับไม่ใส่ใจ

ไม่ต้องปล่อยให้เขารอนานนักประตูหน้าก็เปิดออก หลังทานอาหารเช้าเสร็จเย่หวูหยุนก็ออกไป ‘ซื้อขาย’ ตอนนี้เขากำลังโดดลงจากรถม้าและสั่งการให้คนเคลื่อนย้ายสิ่งของ เย่หวูหยุนเหลือบสายตามองมาที่สวนของเย่หวูเฉิน ทันใดก็พบว่าเย่หวูเฉินกำลังเอนกายหลับตาเงยหน้าอาบแดดอยู่ เขาวางธุระข้างกายลงทันที ออกคำสั่งกับคนใช้แล้วกลับห้องของตนอย่างรวดเร็ว

เย่หวูเฉินลืมตาขึ้น แค่นเสียงและกล่าวเรียบเรื่อย “เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนเราเวลาโกรธจัด สิ่งใดที่จะทำออกมาได้ง่ายที่สุด?”

“เวลาโกรธเหรอ....” หนิงเสวี่ยพยายามนึกถึงตอนที่โกรธ ในที่สุดนางก็พบคำตอบ “ก็คง....อยากทุบตีคนอื่น”

ส่วนทงซินไม่ต้องถามก็รู้ นางคงตอบว่าอยากฆ่าคน

“อยากทุบตีคนอื่น.... ที่จริงเมื่อเวลาคนโกรธ นั่นจะเป็นช่วงที่คนเราสูญเสียเหตุผลได้ง่ายดายสุด หลังจากสิ้นเหตุผลแล้ว พวกเขาจะถูกบีบคั้นได้โดยง่าย ทำให้เกิดความหุนหันและกระทำล้ำล่วง” เขาจับมือน้อยๆของหนิงเสวี่ยและทงซินแล้วกล่าว “ดังนั้น ภายหลังพวกเจ้าจะต้องโกรธให้น้อย เพราะนอกจากนี้แล้ว ความโกรธยังทำร้ายร่างกายอย่างมากด้วย”

หนิงเสวี่ยและทงซินพยักหน้าเบาๆ ไม่เข้าใจสักนิดว่าเหตุใดพี่ชายถึงได้กล่าวเรื่องนี้กับพวกนาง

“เสวี่ยเอ๋อร์ ทงซิน วันนี้ช่วยข้าหน่อย.... ก่อนอื่นพาข้าไปหาท่านพ่อที....”

..................

..................

ในตอนเที่ยง แต่เดิมที่เย่หวูเฉินมักทานอาหารในห้องของตนหรือไม่ก็ที่ห้องของเย่ฉุ่ยเหยา ตอนนี้เขาพาหนิงเสวี่ยกับทงซินมาร่วมโต๊ะอาหารกับเย่เว่ย , หวังเวิ่นชู รวมทั้งเย่หวูหยุน หวังเวิ่นชูดีใจและฉีกยิ้มแทบจะถึงหู คอยตักอาหารใส่ชามให้เย่หวูเฉิน และพอชามของเย่หวูเฉินเต็ม นางก็หันมาตักใส่ชามของหนิงเสวี่ยกับทงซิน “เอาละ สาวๆตัวน้อย พวกเจ้าต้องทานให้เยอะๆนะ จะได้โตกับเขาบ้าง”

กลายเป็นว่า หวังเวิ่นชูสรุปสาเหตุที่หนิงเสวี่ยกับทงซินไม่โตขึ้นเนื่องจากขาดสารอาหาร

“ท่านปู่ล่ะ?” เย่หวูเฉินถามทั้งที่รู้คำตอบ

“หลังจากที่เจ้ากลับมา ปู่ของเจ้าก็มีอารมณ์ดียิ่ง เมื่อเช้าเขายังบอกว่าหลายปีมานี้เอาแต่จับเจ่าอยู่บ้าน นานแล้วที่ไม่ได้พบปะเหล่าพี่น้องร่วมรบ ดังนั้นเขาจึงออกไปเยี่ยมเยือนสหายเก่าแก่แต่เช้าตรู่ หากเขารู้ว่าเจ้าจะมาร่วมโต๊ะอาหารกับพวกเรา เขาต้องไม่ยอมออกไปไหนแน่ และคงได้ลองลิ้มปีกเป็ดแปดรสอันโอชานี้”

การที่เย่หวูเฉินอยู่ตรงนี้ เห็นได้ชัดว่าทำให้เย่หวูหยุนอึดอัด เป็นครั้งแรกที่ครอบครัวสายเลือดเดียวกันได้คุยกันอย่างสบายใจ ขณะที่เขาราวกับเป็นคนนอกถูกปฏิบัติอย่างเย็นชาในเวลาเดียวกัน แม้ว่าเย่เว่ยกับหวังเวิ่นชูจะรักเย่หวูหยุนเท่าเทียมกัน แต่มันก็เป็นความรักที่เกิดจากความขอบคุณและยกย่อง ไหนเลยจะเทียบกับสายเลือดที่แท้จริงได้

“เฮ้อ หลินเสี่ยวเด็กคนนั้น  คิดไม่ถึงเลยว่าเขากับจักรพรรดินีจะกระทำเรื่องน่าละอายเช่นนั้นได้ เฮ้อ....”

เย่เว่ยเคาะตะเกียบและกล่าวอย่างจริงจัง “ฮูหยิน เรื่องนี้ยังเป็นเพียงข่าวลือ ยังไม่แน่ว่าจริงหรือลวง และต่อให้เป็นเรื่องจริง นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรพูดถึง”

หวังเวิ่นชูถลึงตาใส่ คีบกระดูกชิ้นใหญ่ยัดใส่ชามของเขา หากนางก็ไม่กล่าวถึงเรื่องนี้อีก เย่หวูเฉินเผยรอยยิ้มลึกลับ เย่หวูหยุนมองมาด้วยแววตาเกลียดชังจับใจ เขาเกิดมาเพื่อถูกใช้เป็นเครื่องมือ มีความผูกพันกับตระกูลหลินเพียงเจือจาง แต่ไม่ว่าจะเจือจางแค่ไหน เขาก็ยังนับว่าเป็นคนของตระกูลหลิน เขากินอย่างจริงจังแต่กลับไม่รู้รสชาติของอาหารแม้แต่น้อย

“เฉินเอ๋อร์ ทำไมเสวี่ยเอ๋อร์กับทงซินถึงไม่เปลี่ยนชุดบ้าง แม่จำได้ว่าสามปีก่อนพวกนางก็ใส่ชุดนี้” หวังเวิ่นชูมองดูชุดของทงซินกับหนิงเสวี่ย ถามออกมาอย่างสงสัยเต็มหัวใจ ที่ยิ่งแปลกกว่านั้นก็คือ ชุดดำขาวสองตัวนี้กลับมีลักษณะที่เหมือนกัน ต่างกันเพียงแค่สีเท่านั้น ทั้งสองชุดนี้ยังไร้รอยเปื้อนหรือรอยฉีกขาดแม้แต่น้อย

เย่หวูเฉินส่ายศีรษะอย่างจนใจ เขากล่าว “ข้ายังออกไปข้างนอกไม่ได้ ถึงต่อให้ข้าอยากเปลี่ยนชุดให้กับพวกนาง ข้าก็ทำได้เพียงรอให้ร่างกายดีขึ้นก่อน”

“งั้นเอาแบบนี้สิ เฉินเอ๋อร์” หวังเวิ่นชูวางตะเกียบลง สีหน้าทอแววรักใคร่ขณะลูบไหล่น้อยๆของหนิงเสวี่ย “ยังไงข้าก็ว่างอยู่แล้ว หลังจากทานอาหารเสร็จ ข้าจะพาพวกนางไปซื้อชุดเพิ่ม จะได้ไม่ต้องสวมชุดตัวเดิมซ้ำๆ”

“แต่ว่า....” เย่หวูเฉินมีสีหน้าลังเล เย่หวูหยุนลอบมองอาการของเขาด้วยหางตา ในใจลอบแค่นเสียงเย็น เขารู้เหตุผลที่เย่หวูเฉินลังเลใจ หลงหยินกล่าวว่าเด็กหญิงชุดดำที่ไม่เคยพูดจามีพลังเหนือล้ำ ทำหลงหยินให้ประหวั่นพรั่นพรึง เป็นคนที่ทำให้เย่หวูเฉินหาญกล้าหักหน้าหลงหยิน ทั้งยังไม่เคยอยู่ห่างกาย หากนางอยู่ห่างจากเขา และหากมีคนต้องการทำร้ายเขา ด้วยสภาพยามนี้เขาย่อมไร้พลังที่จะขัดขืน

“เสวี่ยเอ๋อร์ ทงซิน พวกเจ้าอยากได้ชุดใหม่หรือเปล่า?” เย่หวูเฉินถามอย่างอ่อนโยน

“ข้า....อยากได้” หนิงเสวี่ยลังเล กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา ทว่าทันใดนางก็สั่นศีรษะ “ข้าไม่อยากได้ ถ้าพวกเราออกไป จะไม่มีใครช่วยท่านพี่ดันรถเข็น”

เย่หวูเฉินชะงักไปขณะหนึ่ง จากนั้นยิ้มกล่าว “เสวี่ยเอ๋อร์ โกหกไม่ดีนะ เด็กสาวย่อมชื่นชอบอาภรณ์สวยงาม พี่ชายเจ้าไม่มีอะไรให้ทำในตอนบ่าย เดี๋ยวข้าว่าจะกลับไปนอน เจ้าช่วยส่งข้ากลับไปก่อน แล้วจากนั้นเจ้าก็ออกไปซื้อชุดสวยๆกับท่านแม่”

หนิงเสวี่ยลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นกล่าวด้วยความดีใจ “ดีเลย.... ถ้าอย่างนั้น พี่ทงซินจะไปด้วยกันมั้ย?”

เย่หวูเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้ากล่าว “อืม พวกเจ้าไปด้วยกันเถอะ แต่อย่ามัวเถลไถล แล้วรีบกลับมาล่ะ”

หวังเวิ่นชูกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “สาวน้อยสองคนนี้จะเสียเด็กเพราะเจ้าอยู่แล้ว แค่แยกกันชั่วประเดี๋ยวยังยากนักเชียว” นางหันไปดันเย่เว่ย “สามี ท่านจะไปด้วยกันมั้ย?”

เย่เว่ยถอนหายใจ ขณะเดียวกันก็ส่ายศีรษะ “เรื่องในเช้านี้สร้างปัญหาอย่างมากในเมือง ข้าต้องไปหาคนที่แพร่กระจายข่าวและยับยั้งข่าวลือให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

เย่หวูหยุนหัวใจเต้นระทึก “ตึกๆ” เขาแทบจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น นี่นับเป็นโอกาศครั้งใหญ่ หากพลาดโอกาสครั้งนี้ไปไม่ทราบว่าต้องรออีกกี่เดือนหรือกี่ปี

เขาลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่หลังศีรษะผุดเหงื่อเย็นด้วยความตื่นเต้น เขาย่อมไม่ปล่อยโอกาสอันดีเลิศ โอกาสที่จะทำการสำเร็จโดยที่ไม่ต้องเปิดเผยตัวตน!



<<<PREV    .    NEXT>>>