วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 264

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 264 ขบถร้ายแรง

อรุณเริ่มทอแสงจาง ยามนี้ราชวังหนาแน่นไปด้วยองครักษ์ ไม่ทราบว่าเทียบกับตระกูลหลินแล้วมากกว่ากี่เท่า ยอดฝีมือธรรมดาหากจะรุกล้ำเข้ามาย่อมเผชิญกับความลำบากสาหัส นี่ยังไม่กล่าวถึงการหอบหิ้วบุคคลหนึ่งเข้ามาด้วย

การทดสอบที่แท้จริง กำลังจะเริ่มขึ้น

เล่งหยาสีหน้าไร้ความกลัว เขาสูดหายใจเข้าลึก ดวงตาฉายแววเย็นเยียบ เขาไม่ได้ตรงไปที่ประตูราชวัง แต่หลบเลี่ยงองครักษ์ที่ตรวจตราอยู่ด้านนอก เขายืนอยู่เหนือกำแพงที่สูงกว่าสิบเมตร ยามขยับเท้าเพียงบางเบา ร่างของเขาก็ลิ่วทะยานไปพร้อมกับหลินเสี่ยว เขาหยุดยืนเหนือกำแพงอยู่ชั่วขณะ กวาดตามองผ่าน ลิ่วทะยานร่างอีกครั้ง แล้วโดดลงไปสูงกว่าสิบเมตร ลงไปราวกับนกตัวใหญ่ ลอบผ่านตำหนักเล็กๆอย่างเงียบงัน พื้นที่ระหว่างตำหนักเล็กและกำแพงนั้น เต็มไปด้วยองครักษ์ที่ถือศาสตราคอยป้องกัน

เย่หวูเฉินบอกกับเล่งหยา ว่าฝ่ายหลงหยินมียอดฝีมือขอบเขตสวรรค์อยู่สามคน และพวกเขาเพียงป้องกันอยู่ใกล้หลงหยิน ดังนั้น วังที่ประทับของหลงหยินจึงไม่อาจเข้าใกล้ ไม่เช่นนั้นจะถูกตรวจพบโดยง่าย อีกทั้งในราชวังยังเต็มไปด้วยยอดฝีมือขอบเขตวิญญาณ เขาต้องยับยั้งกลิ่นอายในขณะเคลื่อนที่ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับสัมผัส

แผนผังของราชวังปรากฎในหัวของเล่งหยา สายตาเขาราวกับอัสนี มองผ่านเหล่าองครักษ์อย่างรวดเร็ว เขาทะยานร่างอีกครั้งตรงไปยังเป้าหมาย เลือกเส้นทางยากสุดคือบนหลังคา หากไม่มีใครตั้งใจฟัง ย่อมไม่อาจได้ยินเสียงกระเบื้องเคลื่อน และหากบรรลุถึงขั้นเดินบนกระเบื้องไร้เสียง เส้นทางนี้ย่อมนับว่าปลอดภัยสุด เพราะพวกองครักษ์ไม่ค่อยใส่ใจกับบนหลังคานัก

แต่ด้วยพลังของเล่งหยา ไม่เพียงตัวเขาที่เท้าเบาราวกับนุ่น แม้ยกหลินเสี่ยวอีกคนก็ยังไม่เกิดเสียงแม้แต่น้อย ความยากย่อมมากกว่าเคลื่อนตัวเพียงลำพังอยู่หลายเท่า

เล่งหยาเร่งรุดตรงเข้าไปข้างใน อาศัยตำหนักน้อยใหญ่คอยบังกาย ยามกระโดดเหินร่างแต่ละครั้ง เขาจะใช้ความเร็วเพียงพริบตา บางครั้งองครักษ์ก็เห็นเป็นเงาวาบผ่านในมุมหางตา หากได้แต่เพียงเงยหน้ามองฟ้าด้วยความสับสน คิดว่าตนเข้าใจผิดไปเพราะความง่วงเหงา

เวลาค่อยๆเคลื่อนผ่าน แสงอรุณรุ่งเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ฟ้าจะสาง เป็นเวลาที่จักรพรรดิประชุมราชสำนัก หลงหยินเพียงออกจากวังประทับกำลังตรงไปที่ท้องพระโรงเทียนหลง ทันใดนั้นก็เห็นขันทีน้อยส่วนพระองค์รีบร้อนเข้ามา “ฝ่าบาท.... นางกำนัลเสี่ยวเถาจากตำหนักจักรพรรดินี แจ้งรายงานมาว่า... ว่า...”

“ว่าอะไร? มีสิ่งใดก็รีบพูดมาอย่ามัวแต่อ้ำอึ้ง” หลงหยินขมวดคิ้ว กล่าวอย่างมีโทสะ

ขันทีน้อยกลืนน้ำลายอึกใหญ่ กล่าวคำอย่างยากลำบาก “นางแจ้งมาว่า พบเห็นเงาคนพุ่งเข้าไปในห้องบรรทมของจักรพรรดินี ทีแรกเข้าใจว่านั่นคือมือสังหาร นางจึงรีบร้อนเรียกเหล่าองครักษ์ ทว่าเมื่อพวกเขาเข้าใกล้ห้องบรรทมของพระนาง พวกเขากลับได้ยิน.... ได้ยิน....” เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ น้ำเสียงของขันทีน้อยก็สั่นเครือ “เสียงครางกระเส่า....”

หลงหยินหน้าซีดลงฉับพลัน ขันทีน้อยตื่นกลัวจนเหงื่อเย็นหยด “เรื่อง....เรื่องนี้ยังไม่มีผู้ใดทราบ ขอฝ่าบาททรงตัดสินพระทัย....”

หลงหยินสั่นสะท้านทั้งร่าง สีหน้าเย็นเยียบน่ากลัว เขาขบฟันกล่าว “เฮยเซียง ไปที่ตำหนักจักรพรรดินีพร้อมกับข้า!!”

ตำหนักซิวหนิง สถานที่ประทับของจักรพรรดินีหลินซิว ยามนี้เงียบสงบอย่างผิดธรรมดา นางกำนัลไม่มีผู้ใดอยู่ในตำหนัก ตรงกันข้ามพวกนางออกมาอยู่ข้างนอก ร่างกายไม่ทราบเย็นเยียบและหวาดกลัวเพียงใด ข้างนอกตำหนักนั้น ยังมีองครักษ์กลุ่มใหญ่ที่ล้วนมีสีหน้ากระวนกระวาย พวกเขาไม่ได้เดินไปมาหรือจากไปไหน

หลงหยินสีหน้าทะมึนพาเฮยเซียงตามมาด้วยความรีบร้อน เหล่านางกำนัลและองครักษ์รีบถวายบังคม พวกเขากล่าวคำ “ทรงพระเจริญ” ยังไม่ทันจบ หลงหยินก็เข้าไปในตำหนักโดยที่ไม่เหลือบมองพวกเขา เหล่านางกำนัลและองครักษ์ผู้ได้ยินเสียงที่ไม่ควรได้ยิน ยามนี้หัวใจเต้นระส่ำ ร่างกายท่วมด้วยเหงื่อเย็น

หลงหยินตรงไปที่ห้องบรรทมของจักรพรรดินีหลินซิว ใช้เท้ากระแทกประตูดัง “ปัง” หลงหยินเกือบล้มคะมำด้วยแรงสะท้อน เฮยเซียงเข้าประคองเขาอย่างรวดเร็ว หลงหยินชี้นิ้วไปที่ประตูที่ปิดแน่น เขากัดฟันกล่าว “ทำลายมันให้ข้า!”

“พะยะค่ะ....” เฮยเซียงก้าวออกมาเบื้องหน้าทันที ใช้หมัดทุบไปที่ประตู เพียงเสียงโครมดังหนึ่งครั้ง ประตูที่ทำจากไม้จันทร์แข็งก็ฉีกออกราวกระดาษ เฮยเซียงใช้มือจับมันไว้ แล้วถอนประตูทั้งบานออกมาอย่างง่ายดาย

หลงหยินรีบก้าวเข้าไป สายตาเย็นเยียบมองไปที่เตียงของจักรพรรดินี ฉับพลันนั้น สีหน้าของเขาก็กลายเป็นทะมึนคล้ำเหมือนถ่านดำ น่าเกลียดราวกับกลืนอุจจาระลงไป

“ว้าก!” เฮยเซียงตะโกนเสียงแปลกประหลาด เขารีบหันหน้าออก “ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น.... ท่านแม่บอกว่าก่อนข้าจะมีภรรยา ห้ามมองเรือนร่างของผู้หญิง”

บางทีอาจเข้ากิจกรรมอย่างหนักหน่วง เตียงนอนถึงได้ยับย่น สองร่างเปลือยเปล่ายังคงกอดกันอยู่ ครั้งแรกหลงหยินเตะประตู จากนั้นประตูถูกฉีกออกโดยเฮยเซียง สองคนบนเตียงจึงตื่นขึ้นจากเสียงดัง ขณะที่หลงหยินมองที่พวกเขา พวกเขาก็ลืมตามอง ทั่วร่างปวดเมื่อยไร้ที่เปรียบ สายตามองคนที่กอดอยู่อย่างงุนงง สงสัยว่าตนยังไม่ตื่นขึ้นจากฝัน

“พวกเจ้า...ดี....ทำได้ดีมาก!!” สีหน้าหลงหยินดำทะมึน ริมฝีปากกลายเป็นสีม่วง ทั่วร่างสั่นอย่างรุนแรง ขบฟันเสียงดัง ‘กรอดๆ’ ราวกับจะแตกออก

ที่อยู่บนเตียงนั้น คนหนึ่งคือจักรพรรดินีหลินซิว ส่วนอีกคนกลับเป็นหลานชายแท้ๆของนาง หลินเสี่ยว!

หลิวซิวกับหลินเสี่ยวราวสะดุ้งเฮือกจากฝันร้าย ผละออกจากกันขณะร้องเสียงหลงประหลาด หลินซิวรีบผลักหลินเสี่ยวลงจากเตียงอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันก็คว้าผ้าห่มมาปิดบังเรือนร่างของตน นางตะโกนกล่าวเสียงสั่น “ฝ่าบาท....องค์เหนือหัว นี่ไม่ใช่....ไม่ใช่....ข้า....ข้าไม่รู้เรื่อง ข้า.... ฝ่าบาท ข้าไม่รู้เรื่องจริงๆ....”

หลินเสี่ยวกลิ้งลงจากเตียงมาคุกเข่าอยู่ต่อหน้าหลงหยิน โขกศีรษะกับพื้นเหมือนทุบหอม กล่าวคำอ้อนวอนตะกุกตะกัก “ฝ่าบาท.... นี่เป็นการจัดฉาก ข้า.... ข้าไม่ทราบอะไรเลย.... ฝ่าบาท ท่านต้องเชื่อข้า.... เมื่อคืนข้ายังนอนอยู่ที่บ้านแท้ๆ.... ฝ่าบาท ท่านต้องเชื่อข้า”

ไม่ว่าเขาจะเป็นสุดยอดพรสวรรค์เก่งกล้าเพียงใด ภายใต้สถานการณ์ยามนี้ เขาย่อมไม่อาจรักษาความสงบเยือกเย็นไว้ได้

หลงหยินไม่กล่าวคำ กล้ามเนื้อบนใบหน้าบิดเบี้ยว เมื่อเห็นสีหน้าของเขา หลินเสี่ยวพลันรู้สึกสิ้นหวัง นี่คือการจัดฉาก.... กระทั่งจักรพรรดิยังสมควรทราบแก่ใจ.... เขามาโผล่อยู่บนเตียงของจักรพรรดินีผู้เป็นน้าแท้ๆ ยิ่งกว่านั้น ความรู้สึกยังราวกับฝัน สวมหมวกเขียวให้จักรพรรดิ เรื่องอื้อฉาวของน้าหลาน ไม่ว่าจะเป็นการจัดฉากหรือไม่ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะต่างกันตรงไหน?

“เฮยเซียง สวมเสื้อผ้าให้มัน แล้วลากมันออกมา” หลงหยินแค่นเสียง ไม่แม้แต่จะมองหลินซิว จากนั้นหมุนกายออกไป

นางกำนัลและองครักษ์ที่อยู่ข้างนอกไม่กล้าออกไปไหน ทั้งไม่กล้าให้ผู้ใดผ่านเข้ามา เมื่อเห็นหลงหยินออกมาด้วยสีหน้าทะมึน ความกลัวแทบชำแรกจับจิต หัวใจสั่นระรัว ความหวังสุดท้ายสลายไป สีหน้าของจักรพรรดิเป็นอันยืนยัน ว่าสิ่งที่พวกเขาคิดเป็นเรื่องจริง

“พวกเจ้าเห็นสิ่งใด?” หลงหยินยืนอยู่ต่อหน้าองครักษ์นับสิบที่ไม่กล้าหายใจแรง เขาถามเสียงต่ำ

หัวหน้าขององครักษ์กลุ่มเล็กข่มระงับความกลัว ก้าวออกมาและกล่าวอย่างเคารพ “ก่อนหน้านี้ ขณะที่บ่าวผู้ต่ำต้อยเดินลาดตระเวนอยู่ ก็พลันได้ยินว่าในตำหนักของจักรพรรดินีมีมือสังหารบุกรุกเข้าไป แต่เมื่อตรวจสอบแล้วกลับไม่พบร่องรอยของมือสังหาร....บ่าวผู้ต่ำต้อยไร้ความสามารถ....”

เหล่าองครักษ์คุกเข่าลงพร้อมกัน พวกเขากล่าวอย่างหวาดกลัว “บ่าวผู้ต่ำต้อยไร้ความสามารถ!”

หลงหยินยังมีสีหน้าทะมึนมองยังพวกเขา จนกระทั่งเมื่อเฮยเซียงลากหลินเสี่ยวที่อ่อนแรงออกมา หลงหยินจึงแค่นเสียงเย็นชาและจากไปอย่างเดือดดาล เฮยเซียงรีบลากหลินเสี่ยวตามไปเบื้องหลัง ดวงตาของหลินเสี่ยวสิ้นหวัง แม้ถูกลากร่างไปกับพื้นก็ไม่ขยับขัดขืนแม้แต่น้อย ราวกับว่าจิตใจได้สูญสิ้นไป เหล่าองครักษ์กับนางกำนัลพอเห็นเฮยเซียงลากหลินเสี่ยวออกมาในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ในใจก็สะท้านอย่างบ้าคลั่ง ตาเบิกโพลงราวกับเห็นสิ่งไม่น่าเชื่อที่สุดในโลก

“ปิดตำหนักซิวหนิงทันที องครักษ์ที่ไม่อาจป้องกันทำให้จักรพรรดิณีบาดเจ็บ รวมถึงนางกำนัลของตำหนักทั้งหมด ให้นำพวกมันทุกคนไปกุดหัว คุ้มกันจักรพรรดินีไว้ห้ามผู้ใดเข้าออก.... วันนี้ข้าป่วย ให้ยกเลิกการประชุมในราชสำนักของเช้าวันนี้!” หลงหยินสั่งการด้วยสีหน้าดำคล้ำ จากนั้นกลับไปวังที่ประทับด้วยความขุ่นมัว

เรื่องนี้ นอกจากหลงหยินและเฮยเซียง รวมถึงขันทีส่วนตัว เช่นเดียวกับสองผู้ปกปักษ์ ทุกผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนถูกสังหาร เรื่องอื้อฉาวนี้สมควรจบลง ทว่าเมื่อฟ้ากระจ่าง ยามเมืองเทียนหลงอึกทึกวุ่นวาย เรื่องอื้อฉาวระหว่างหลินเสี่ยวแห่งตระกูลหลิน กับจักรพรรดินีหลินซิวผู้เป็นน้า ก็กลายเป็นข่าวครึกโครมลือลั่นไปทั่ว เพียงไม่ถึงครึ่งวันแทบทุกคนล้วนพูดถึง สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วเมืองเทียนหลง ข่าวลือนี้ไม่ทราบเริ่มต้นมาจากแห่งใด รายละเอียดนั้นชัดเจนอย่างน่าตระหนก กล่าวว่าพวกเขาถูกจักรพรรดิจับได้คาเตียง องครักษ์ที่คุ้มกันถูกประหารสิ้น จากนั้นจักรพรรดินีถูกขังอยู่ในตำหนัก หลินเสี่ยวถูกส่งไปขังคุกเป็นการลับ เรื่องนี้มีทั้งผู้คนที่ไม่เชื่อ บางคนก็ถอนหายใจ บางคนก็รู้สึกผิดหวัง....

การเอ่ยถึงเรื่องอื้อฉาวต้องห้ามนี้ถือได้ว่าเป็นขบถร้ายแรง ทว่าเมื่อผู้คนโดยรอบล้วนแต่พูดถึง การสนทนาตื่นเต้นก็ทำให้พลันลืมความกลัวสิ้น ตอนนี้ไม่ว่าจะไปที่แห่งใดในเมืองเทียนหลง ก็ล้วนแต่ได้ยินเรื่องนี้ ยิ่งกว่านั้นด้วยความเร็วที่แพร่สะพัด เพียงไม่นานทั่วทั้งอาณาจักรเทียนหลงย่อมทราบเรื่อง

และในวันนี้ ตระกูลหลินปิดประตูไว้อย่างแน่นหนา เงียบเชียบผิดธรรมดาจนผู้คนรู้สึกว่าข่าวนี้เป็นเรื่องจริง

“โครม!” แท่นฝนหมึกถูกหลงหยินขว้างลงพื้นอย่างรุนแรง ที่พื้นแข็งแตกเป็นรอยแยกเล็กๆ เขาตะโกนชี้นิ้วไปที่ประตู “ออกไปหาว่าผู้ใดกระจายข่าว ออกไปเดี๋ยวนี้ หากหาไม่เจอก็อย่ากลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีก!!”

“พะยะค่ะ....บ่าวผู้ต่ำต้อยจะออกไปเดี๋ยวนี้!” หัวหน้าของทัพทหารประจำเมือง ผู้ไม่เคยเห็นหลงหยินโกรธกริ้วถึงขนาดหนัก เขาออกมาอย่างเร่งรีบ ในเมืองอาจมีผู้ต้องสงสัยอยู่มากมาย แต่ในราชวังผู้ที่ทราบเรื่องนี้มีอยู่น้อยนิด.... เพราะก่อนที่ข่าวจะแพร่ออกไป ทั้งนางกำนัลประจำตำหนักจักรพรรดินี และองครักษ์นอกตำหนักที่ตรวจตราในรอบดึก ทั้งหมดล้วนถูกประหารปิดปาก วันนี้จักรพรรดิยกเลิกการประชุมในราชสำนัก แม้พวกเขาไม่กล้าเอ่ยถึง แต่สิ่งเหล่านี้กลับยืนยันกับพวกเขา ว่าเรื่องอื้อฉาวน่าเหลือเชื่อนี้เป็นความจริง!

เฮยเซียงหยิบแท่นฝนหมึกกลับมาวางบนโต๊ะ ค่อยๆกล่าวปลอบอย่างระวัง “ฝ่าบาท ข้าไม่เคยเห็นท่านโกรธถึงเพียงนี้มาก่อน หรือข้าควรไปสั่งสอนบทเรียนสาหัส ให้กับเจ้าคนที่ทำให้ฝ่าบาทโกรธดี?”

สีหน้าของหลงหยินยังคงมืดดำ จัดการกับหลินเสี่ยว....เขาอยากจะฉีกหลินเสี่ยวออกเป็นชิ้นๆด้วยซ้ำ แต่ไหนเลยเขาจะมองไม่เห็นว่านี่เป็นการจัดฉาก เป็นฉากบังคับให้เขาทำลายหลินเสี่ยว บังคับให้เขาทำลายตระกูลหลิน!



<<<PREV    .    NEXT>>>