วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 269

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 269 ตัดผ่านห้วงเวลาและมิติ

........

เย่หวูหยุนพูดอย่างแตกตื่น “เป็นข้าที่ไม่ยุติธรรมต่อตระกูลเย่ แต่เหมือนที่ข้าบอกไป คำสั่งจักรพรรดิยากนักที่จะขัดขืน แต่ท่านพ่อและท่านแม่บุญธรรมดูแลห่วงใยข้าอยู่เสมอ หัวใจข้าล้วนคิดว่าตัวเองเป็นลูกแท้ๆของพวกท่าน หากข้าพูดปดแม้แต่เพียงครึ่งคำ....”

“โฮ่.... อย่าได้สาบานเชียว ข้ากลัวเดี๋ยวฟ้าจะผ่าลงมาทำลายบ้านของข้า เจ้าไม่เพียงไม่ยอมรับบิดามารดาแท้ๆของตัวเอง แต่ยังกลับสาปแช่งพวกเขา แม้พวกเขาไม่ได้อยู่กับเจ้าที่นี่ แต่ก็ให้กำเนิดเจ้าอย่างยากลำบาก ส่วนเจ้ากลับเกิดมาเป็นสุนัขตาขาว แค่เรื่องนี้ เจ้าก็สมควรถูกฟ้าฟาดแล้ว” เย่หวูเฉินกล่าวอย่างเย็นชา

“พ่อแม่ของข้า ตายแล้ว....”

“โอ้? เมื่อวานข้ายังเห็นเจ้าคนไร้สามารถหลินซานในตระกูลเย่ของข้าอยู่เลย ถ้างั้นนั่นก็เป็นผีสินะ?” เย่หวูเฉินยกยิ้มมุมปาก หากเป็นรอยยิ้มที่เย็นชาและถากถาง

เย่หวูหยุนและเย่เว่ยสีหน้าเปลี่ยนพร้อมกัน หวังเวิ่นชูดวงตาเบิกกว้างแทบไม่เชื่อหู

“เจ้า.... เจ้า.... เจ้าพูดไร้สาระอะไร....”

ถ้อยคำของเย่หวูเฉินกระทบเข้าจุดสำคัญของเย่หวูหยุน ทำให้เขาตกใจจนพูดจาติดๆขัดๆ เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด หากรั่วไหลออกไป แผนทุกอย่างของหลงหยินจะถูกเปิดเผยออกมาทันที ชื่อเสียงของตระกูลหลินจะย่อยยับ ชื่อเสียงของตระกูลหลงจะถูกทำลาย อาณาจักรเทียนหลงจะชิงชัง เหยียดหยันและโกรธเคืองพวกเขา

ตอนนี้เย่เว่ยไม่สงสัยต่อคำพูดของเย่หวูเฉิน เพราะสีหน้าปั่นป่วนของเย่หวูหยุนนั้นไม่ต่างกับการที่เขายอมรับออกมาเอง เย่เว่ยตัวสั่นไม่หยุด

“ในปีนั้น บุตรชายคนรองของตระกูลหลินสิ้นลมหลังจากคลอดออกมาได้ไม่นาน ผู้คนตระกูลหลินล้วนเข้าใจว่าเขาตกตายอย่างน่าสงสาร เช่นเดียวกับคนภายนอกที่ต่างรับรู้ หากแต่พ่อแม่ของเขาไม่รู้ตัวเลยว่า ทารกผู้นั้นได้ถูกสับเปลี่ยนกับศพทารก ด้วยทารกแรกเกิดนั้นยากจำแนกความแตกต่าง ทั้งเขายังถูกสับเปลี่ยนในยามแรกคลอด กระทั่งมารดาของเขายังไม่ทันได้เห็นชัด ดังนั้นจึงง่ายยิ่งที่จะตบตาคน ส่วนคนที่ทำการสับเปลี่ยนก็คือหลินขวง! เขาร่วมมือกับหลงหยินวางแผนเข้าควบคุมตระกูลเย่ ไม่ลังเลเสนอให้ใช้หลานชายตนที่เพิ่งเกิด ซึ่งนั่นก็คือเย่หวูหยุน ไม่สิ ต้องเป็นหลินหยุน! และผู้นำตระกูลหลินที่แท้จริงนั้นไม่ใช่หลินขวงแต่เป็นหลงหยิน ตระกูลหลินรุ่งเรืองขึ้นมาได้เพราะการชี้นำและส่งเสริมของหลงหยิน ดังนั้น หลินซิวถึงได้กลายเป็นจักรพรรดินี หลินเหยียนถึงได้เป็นประมุขแห่งราชวิทยาลัยเทียนหลง.... การดำรงของตระกูลหลิน ก็เพื่อพุ่งเป้ามาที่ตระกูลเย่ คอยขัดขวางคัดค้าน แสดงตนเป็นคู่แข่งตระกูลเย่ ดึงความสนใจขณะที่บ่อนทำลายตระกูลเย่จากภายใน”

เย่หวูหยุนทรุดยวบลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง ดวงตาสองข้างไร้แววชีวิตอีก แผนการอันไร้ตำหนิของหลงหยิน หากไม่สารภาพออกมาเองย่อมไม่มีใครรู้ ทว่าแผนการทั้งหมดกลับถูกเย่หวูเฉินมองออกทะลุปรุโปร่ง.... ยิ่งกว่านั้น เขายังพูดไม่มีผิดพลาด สามปีก่อน หลงหยินที่สวมบทจักรพรรดิกลับเป็นได้เพียงแค่ตัวตลกต่อหน้าเย่หวูเฉิน ไม่ว่าหลงหยินจะวางตนสูงส่งน่านับถือเพียงใด ในสายตาของเขากลับไม่ต่างจากละครลิงน่าหัวร่อ

“ฮี่ ฮี่.... ฮ่า ฮ่า.... ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ดีมาก หลงหยิน... ดีมาก ตระกูลหลิน.... พวกเจ้าวางแผนได้ดี ทำตระกูลเย่ของข้าเจ็บแสบดีเหลือเกิน เจ็บปวดดีจริงๆ! ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” เย่เว่ยหัวเราะลั่น ในเสียงหัวเราะนั้น สามส่วนเป็นความเจ็บปวด สามส่วนเป็นความโกรธ สามส่วนเป็นความเกลียดชัง และอีกส่วนหนึ่งที่เหลือคือความรู้สึกหลุดพ้น

หวังเวิ่นชูเดินเข้ามาประคองข้างเขา สีหน้าทั้งกังวลและโล่งอก “สามี อย่าทำแบบนี้เลย.... ในเมื่อตระกูลหลงไม่ยุติธรรมกับพวกเราถึงเพียงนี้ เหตุใดพวกเราต้องเจ็บปวดเพราะตระกูลหลงอีก? ให้เฉินเอ๋อร์เป็นคนจัดการทุกอย่าง พวกเราไปกันเถอะนะ”

เย่เว่ยหยุดหัวเราะและจับมือภรรยาไว้ ปราดตามองไปที่หลินหยุนอย่างเกลียดชังคราหนึ่ง จากนั้นกล่าวเสียงเย็นชา “เฉินเอ๋อร์.... ข้าจะมอบมันให้เจ้าจัดการ ใช้วิธีการตามที่เจ้าเห็นสมควร ข้าเหนื่อยแล้ว.... เหนื่อยจริงๆ”

เมื่อเขาเดินออกไปถึงปากประตูก็หยุดเท้าลง คืนสู่ความองอาจและกล่าว “เฉินเอ๋อร์ อย่างที่ข้าได้บอกไป หากเจ้าคิดทำการใดก็จงลงมือได้เต็มที่ ครอบครัวของเจ้าจะไม่มีผู้ใดขัดขวาง”

เย่หวูเฉินพยักหน้าหนัก สายตามองตามขณะพวกเขาเดินออกไป จากนั้นเคลื่อนตามามองที่หลินหยุน วันนี้ยังให้มันตายไม่ได้ มันคือเบี้ยหมากของหลงหยิน ดังนั้น เขาจะเปลี่ยนมันให้เป็นเบี้ยหมากของเย่หวูเฉิน แต่จะไม่ใช่ตัวหมากที่ใช้นานนัก บุตรชายคนที่สองของตระกูลหลินผู้นี้ มีชีวิตเกิดมาเพื่อเป็นเครื่องมืออย่างแท้จริง

“หลงหยิน ในฐานะจักรพรรดิ วิธีของเจ้าทำให้ข้าชื่นชมอย่างแท้จริง ทว่าเจ้าโชคร้ายที่มาเจอข้า แผนการของเจ้าจึงเป็นได้เพียงเรื่องโง่ เจ้าโหดเหี้ยมทารุณต่อตระกูลเย่ของข้า ดังนั้น ข้าจะไม่เพียงทำให้เจ้าสิ้นหวัง แต่จะทำให้เจ้าไม่อาจไถ่ถอนตัวเองคืนได้!”

“ถัดจากนี้ เจ้าคงไปหาฉุ่ยเมิ่งฉาน คำนวณดูแล้ว ‘งานสมรสใหญ่’ ที่ว่านั่นสมควรใกล้มาถึงแล้ว” เย่หวูเฉินมองออกไปนอกหน้าต่าง เผยรอยยิ้มทะมึนและเย็นเยียบ

สามปีก่อน เขารู้ว่าที่ฉุ่ยเมิ่งฉานรอแต่งงานกับหลงหยินนั้นล้วนเป็นเรื่องหลอก สำนักจักรพรรดิใต้เพียงอาศัยเรื่องนี้เพื่อแทรกซึมเข้าสู่ราชตระกูลเทียนหลงได้สะดวกขึ้น ยิ่งกว่านั้น ยังทำสำเร็จลุล่วงเป็นอย่างดี หลงหยินไม่เคยรู้ตัวเลยว่า ตลอดมาหลายคนข้างกายที่เชื่อใจที่สุดแท้จริงแล้วไม่ใช่คนของตัวเอง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมพวกเขาย่อมกำจัดหลงหยินทิ้ง และเมื่อจักรพรรดิคนใหม่ขึ้นครองบัลลังก์งานแต่งก็ไม่จำเป็นอีก ดังนั้นแล้วแผนการนี้ก็จะเสร็จสมบูรณ์ อีกทั้ง องค์หญิงแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ ธิดาของประมุข ไหนเลยจะอยากแต่งงานกับจักรพรรดิที่แก่รุ่นราวคราวพ่อของตนเอง

อย่างไรก็ตาม สามปีผ่านไปแล้ว แต่หลงหยินก็ยังไม่ตกตาย ทั้งราชตระกูลเทียนหลงยังอยู่ดีมีสุข ความจริงตรงหน้าผิดไปจากความคาดหมายของเขาเล็กน้อย ทำให้เขาเริ่มสนใจว่าแท้จริงแล้วสำนักจักรพรรดิใต้ต้องการสิ่งใด

หากองค์หญิงฉุ่ยเมิ่งฉานแห่งสำนักจักรพรรดิใต้แต่งงานกับหลงหยินจริงๆ เช่นนั้น การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ย่อมหมายถึง....

แต่เมื่อไม่นานมานี้ เย่หวูเฉินได้ค้นพบบางสิ่งที่น่าตระหนก และทำให้เขาพลันเข้าใจบางอย่างกระจ่างแจ้ง

แต่ไม่ว่าสำนักจักรพรรดิใต้จะต้องการวางแผนทำสิ่งใด เขาก็ได้ตัดสินชะตากรรมของหลงหยินเอาไว้แล้ว เพราะหลงเจิ้งหยางกับหลงฮวงเอ๋อร์ เขาจึงจะไม่ทำให้มันตาย แม้ว่ามันจะเป็นฝ่ายเริ่มต้น แต่เขาก็ยังละอาย เพราะอย่างไรมันก็เป็นบิดาของพวกเขา ดังนั้น เขาจะปล่อยให้มันมีชีวิต แต่มีชีวิตที่ตายเสียดีกว่าอยู่ หรือไม่อย่างนั้น ก็ให้คนอื่นฆ่ามันแทน

เย่หวูหยุน หรือหลินหยุนถูกกักขังไว้ลับๆโดยเย่หวูเฉิน ในบ่ายวันนั้น คนใช้ของตระกูลหลินก็ได้ทราบข่าวว่าเย่หวูหยุนร่วมทางกับเย่หวู่เดินทางไปตอนใต้ของอาณาจักรเทียนหลงเพื่อขยายกิจการของตระกูลเย่ เรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดผิดสังเกต หลงหยินก็ไม่พบความผิดปกติใด เขาติดต่อกับหลินหยุนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากการติดต่อกันแต่ละครั้งเป็นอันตรายต่อแผนอย่างยิ่ง หลงหยินจึงเรียกพบด้วยตัวเองเท่านั้น อีกทั้งยังต้องเว้นระยะอย่างน้อยสามเดือนเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต
(โน๊ต: เย่หวู่คือคนใช้ของเย่หวูหยุน ปรากฎตัวตอน 32)

ในตอนบ่าย เล่งหยาและฉู่จิงเทียนเข้ามาในห้องของเย่หวูเฉิน ยามนี้เล่งหยาอยู่ในชุดไว้ทุกข์ ที่ศีรษะยังผูกผ้าไว้ทุกข์เอาไว้ สีหน้าอารมณ์ยังคงเย็นชา แม้ว่าฉู่จิงเทียนจะไม่ได้สวมชุดไว้ทุกข์ แต่ที่ศีรษะก็ผูกผ้าไว้เช่นเดียวกัน เย่หวูเฉินมองสภาพอากาศและกล่าวกับเล่งหยา “ตอนนี้ได้เวลาเหมาะแล้ว ไปนำร่างของท่านป้าเล่งมาเถอะ ข้าจะส่งเจ้าไปยังเมืองเทียนฟง”

เล่งหยาไม่กล่าวคำและหันร่างออกไป ฉู่จิงเทียนไม่อาจอดได้ เอ่ยถามออกมาขณะหันไปมองรอบๆ “เออนี่ น้องเย่ เจ้าจะส่งพวกเราไปสถานที่ไกลเพียงนั้นในตอนนี้จริงๆเหรอ? จริงๆเจ้าจะใช้วิธีใดกันแน่? กระทั่งท่านปู่ของข้าหากใช้กระบี่ยังทำได้แค่ห้าร้อยลี้ต่อวัน.... น้องเย่ เจ้าจะใช้วิธีใดรีบบอกข้ามาเร็วเข้า”

“อีกเดี๋ยวท่านก็จะรู้เอง” เย่หวูเฉินยิ้ม ยังคงไม่บอกคำตอบแก่ฉู่จิงเทียนที่กำลังจ้องตารอคอยคำตอบ

ไม่นานนัก เล่งหยาก็แบกโลงไว้บนบ่าเดินกลับมา จากนั้นค่อยๆวางลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง สายตามองไปที่เย่หวูเฉิน รับแผ่นกระดาษที่เย่หวูเฉินส่งให้ในมือขณะกล่าว “เอาล่ะ หันกลับไปแล้วหลับตา หลังจากนี้อีกสิบวินาทีค่อยลืมตาขึ้น จากนั้นส่งกระดาษแผ่นนี้กับคนๆแรกที่เจ้าพบ เขาจะนำทางพวกเจ้าไป”

เล่งหยากับฉู่จิงเทียนงงงวย จากนั้นทำตามคำหมุนกายกลับ หลังจากเงียบอยู่เพียงไม่กี่อึดใจ พวกเขาก็รู้สึกว่าร่างกายคล้ายกลายเป็นแสง พวกเขาแทบจะลืมตาขึ้นพร้อมกัน

ภาพตรงหน้าเปลี่ยนไป นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเย่หวูเฉิน แต่กลับเป็นกระท่อมหลังหนึ่งที่ไม่เล็กหรือใหญ่ แม้จะสร้างขึ้นหยาบๆแต่ก็สะอาดเอี่ยม เห็นได้ชัดว่าที่นี่คือบ้านของครอบครัวยากจน ที่ด้านขวามือของเล่งหยามีโลงศพของมารดาวางอยู่

ประตูไม้ของกระท่อมเปิดออกจากด้านใน คนที่เดินออกมาเป็นชายชราหลังค่อมถือไม้เท้ามีหนวดเคราสีเทา เขาลืมตาขึ้นมองมาทางเล่งหยาและฉู่จิงเทียน ราวกับกำลังมองแขกที่หล่นลงมาจากฟ้า

“พวกเจ้า....เป็นใคร? แค่กๆ แค่กๆ....” ชายชราพูดได้ไม่กี่คำก็ไอแล้วก็หอบ ร่างชราของเขาโงนเงน ใบหน้าราวกับต้นไม้โบราณที่ย่นยับจนไม่รู้จะย่นยังไง

ฉู่จิงเทียนและเล่งหยามองหน้ากันอย่างโง่งม  ถูกส่งตัดผ่านห้วงเวลาและมิติ เพียงหลับตาลงพวกเขาก็มาถึงยังอีกโลกหนึ่ง

“ตาแก่ ใครมาเหรอ?” มีเสียงของหญิงชราดังออกมา เพียงได้ยินก็พอจะบอกอายุของนางได้

เล่งหยาเดินไปหาโดยไม่กล่าวคำ เขายื่นแผ่นกระดาษที่เย่หวูเฉินให้ไว้แก่ชายชรา ชายชรากระพริบตาไล่ความมัว ยื่นแขนสั่นเทาออกมารับ ค่อยๆกางออกดูช้าๆ “หรือว่าจะเป็นจดหมายจากนังหนูน้อ....”

แผ่นกระดาษเปิดออก ม่านตาชายชราขยายอย่างรุนแรง เขามองดูซ้ำสองอย่างระวัง จากนั้นเก็บกระดาษใส่อกเสื้ออย่างทะนุถนอม ทันใดนั้นเขาปล่อยไม้เท้าออกจากมือ หยัดกายตั้งขึ้นตรงเผชิญหน้ากับเล่งหยา สองดวงตาขุ่นมัวกลับเปลี่ยนเป็นทอประกายเย็นเยียบ เขากล่าวพร้อมหัวเราะ “ที่แท้ก็เป็นสหายของเจ้านาย เชิญๆเข้ามานั่งข้างในก่อน”

เล่งหยาพยักหน้าและเดินตาม ฉู่จิงเทียนยังคงไม่เชื่อกับภาพที่เห็นและรีบตามไป ทันทีที่เข้าไปถึงเขาก็รีบถาม “ที่นี่ที่ไหน?”

“นี่คือทางใต้ของเมืองเทียนฟง  พวกเจ้าปรากฎตัวขึ้นกะทันหัน ข้าจึงเดาว่านายท่านส่งพวกเจ้ามา นับว่าไม่ผิดจริงๆ ทั้งสองเชิญพักก่อน หลังจากที่มืดลงแล้ว พวกเจ้าจะได้ไปยังที่ๆปรารถนา”

ชายชราผู้นี้ดูราวอายุจะมากกว่า 80 ปี ทว่าน้ำเสียงยังคงหนักแน่น สายตายังคงคมกล้า เขายืนอยู่ข้างหญิงชราที่กำลังมองมาทางพวกเขาด้วยรอยยิ้ม

เล่งหยาพยักหน้าโดยไม่กล่าวคำ ฉู่จิงเทียนที่อ้าปากหวอมาตั้งแต่เมื่อครู่เริ่มอยากถามอีกครั้งว่าเย่หวูเฉินใช้วิธีใดส่งพวกเขามาถึงเมืองเทียนฟง.... ไม่เคยคิดฝันว่าเพียงปิดตาลงแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง....ก็มาถึงที่นี่แล้ว?!

เรื่องนี้มัน....

แทบจะเหมือนอยู่ในความฝันอย่างไรอย่างนั้น



<<<PREV    .    NEXT>>>