วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 280

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 280 คาดคั้นหาคำตอบ

.....

หลงหยินสีหน้าสงสัย ทันใดนั้นหันไปทางยามเฝ้าที่หน้าซีดขาว เขาตวาดถาม “ตอนขุนพลหลินตาย เป็นเจ้าที่เฝ้าอยู่ใช่หรือไม่?”

“พะยะค่ะ เป็นบ่าวผู้ต่ำต้อย” ยามเฝ้ารีบคุกเข่า ตัวสั่นขณะกล่าว

“แล้วนี่มันคืออะไร!?” หลงหยินสายตากลายเป็นดุร้าย เขามีโทสะที่หลินซานช่วยหลินเสี่ยว ‘แหกคุก’ แต่เขาไม่เคยคิดสังหาร หลินเสี่ยวเพิ่งถูกฆ่าตาย หากหลินซานตายไปอีกคน ย่อมทำลายหัวใจตระกูลหลิน ฉะนั้นไหนเลยเขาจะคิดทำเรื่องไม่ฉลาดเช่นนั้น

สายตาดุร้ายที่จับจ้อง ทำให้ยามเฝ้าตื่นตระหนกทันที กล่าวคำด้วยกายที่สั่นเทิ้ม “ทูล....ทูลฝ่าบาท เมื่อคืน....ใต้เท้าหลินเอาแต่รำพันถึงความไม่เป็นธรรมของฝ่าบาท.... จากนั้นกินบางสิ่งลงไป บ่าวไม่ทราบว่านั่นคือยาพิษ ไม่อย่างนั้น บ่าวคงต้อง.... บ่าวไร้ประโยชน์ บ่าวมันบัดซบ บ่าวมันบัดซบ....” เขากล่าวคำขาดห้วงเป็นพักๆ ร่างกายไร้เรี่ยวแรงแทบร่วงลงบนพื้น

“เฮอะ กลับได้แต่มองดูขุนพลหลินตายต่อหน้าต่อตา เจ้ามันไร้ประโยชน์จริงๆ สมควรถูกตัดเป็นชิ้นๆ....พวกเจ้า มาลากมันไปสับให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

ยามเฝ้าร่างกายแข็งค้าง ดวงตาเบิกโพลง เดิมทีเขาคิดอยู่แล้วว่าตนเองไม่มีทางรอด เป็นพยานเห็นเหตุการณ์ผลลัพธ์ไม่ต้องพูดถึง แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะรวดเร็วเช่นนี้.... หากอย่างน้อยก็ยังดี เพราะมีเพียงเขาที่ได้รับผล ไม่ได้โดนไปถึงสมาชิกคนอื่นในครอบครัว

“ช้าก่อนฝ่าบาท....” หลินขวงร้องออกมาฉับพลัน ทันใดนั้นเขากล่าวเสียงต่ำ ขณะที่จับลูกกรงดันตัวขึ้น “ข้าขอร้องฝ่าบาท โปรดมอบคนผู้นี้ให้กับบ่าวชรา.... บ่าวชราอยากจะสับคนผู้นี้เป็นชิ้นๆด้วยตัวเอง”

หลงหยินกำลังจะเปิดปาก ทันใดนั้นเฮยเซียงก็ส่งเสียงแทรกขึ้นมา “ฝ่าบาท ครอบครัวของขุนพลชราหลินตกตายกันไปทีละคน เรื่องนี้เขาคง....” ขณะที่กล่าว เฮยเซียงยังยกมือขึ้นปาดน้ำตา

หลงหยินทราบดีว่าเฮยเซียงอ่อนไหวกับเรื่องพวกนี้ โดยเฉพาะยิ่งเมื่อเห็นสภาพน่ารันทดของหลินขวง หลงหยินถอนใจยาว ใบหน้าเสียใจขณะกล่าว “เมื่อวานนี้ถึงข้าจะโกรธ แต่ก็ไม่เคยต้องการลงโทษเกินเหตุ คิดไม่ถึงว่า จะทำให้ขุนพลหลินเจ็บช้ำน้ำใจถึงเพียงนี้....เฮ้อ ขุนพลชราหลิน ความโศกเศร้าของท่านในครั้งนี้ ถือเป็นความผิดของข้าเอง ข้ารู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง ที่ข้าไม่ยุติธรรมต่อตระกูลหลิน....”

“ไม่ ฝ่าบาท ทั้งหมดนี้มิใช่ความผิดของฝ่าบาท เป็นซานเอ๋อร์ที่หุนหันเอง  กลับหวาดกลัวต่อโทษทัณฑ์ชิงฆ่าตัวตายไปก่อน บ่าวชราไม่มีหน้าจะอยู่พบฝ่าบาท.... ขอกล่าวลานำร่างซานเอ๋อร์กลับไปยังตระกูล”

“ทำตามที่ขุนพลชราหลินต้องการเถอะ” หลงหยินกล่าวอย่างอ่อนใจ ทว่าขวดเล็กๆบนพื้นทำให้เขาสงสัยอยู่เล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลินซานจึงต้องพกผงผนึกใจติดตัวไว้ตั้งแต่ก่อนถูกลากเข้าคุก สำหรับคนที่คอยเฝ้าหลินซานแล้วปล่อยให้เขาตกตาย หลินขวงย่อมบังเกิดความคับแค้น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลใดๆ หากเขาไม่ขังหลินซานไว้ในคุกใต้ดิน หลินซานคงไม่ ‘หวาดกลัวต่อการลงทัณฑ์จนชิงฆ่าตัวตาย’ เขาไม่ต้องการให้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น หลินขวงคือผู้ภักดีที่เขาไม่เคยสงสัย ยิ่งกว่านั้น หลินขวงยังรู้ความลับต่างๆมากเกินไป

“ข้าจะให้คนแจ้งแก่ตระกูลหลินให้ส่งคนมารับ ขุนพลชราหลิน เรื่องในวันนี้ข้าคงกล่าวได้แค่ว่า บุคคลที่ตายไปแล้วย่อมไม่อาจฟื้นคืน ตระกูลหลินยังต้องการให้เจ้าคอยค้ำจุน ขอจงอย่าได้ทำร้ายตัวเอง” หลงหยินกล่าวแนะนำ

“บ่าวผู้ชราขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย.... ฝ่าบาทโปรดวางใจ บ่าวชรายังมีหลายสิ่งที่ต้องทำ และจะไม่ด่วนเป็นอะไรไปง่ายๆ” หลินขวงพูดเสียงแข็ง

หลงหยินพยักหน้า หมุนกายไปแล้วตะโกนสั่ง “พวกเจ้าถอยออกไป ให้เหลือแต่คนตระกูลหลิน ผู้อื่นห้ามวุ่นวายเข้ามาใกล้”

บรรดายามเฝ้าคุกพากันถอยออกไปด้วยสีหน้าหลากหลาย เหลือเพียงยามเฝ้าโชคร้ายที่คอยเฝ้าหลินซานเมื่อคืน ก่อนที่เฮยเซียงจะจากไป เขาหันใบหน้าเรียบง่ายและซื่อตรงมาหา และกล่าวกับหลินขวง “ขุนพลชราหลิน แม้พี่ชายคนนี้จะทำผิด แต่เขาไม่ได้ตั้งใจ ขุนพลชราหลินโปรดจัดการกับเขาคนเดียว อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวของเขา” จากนั้น เขาส่งสายตาเป็นนัยให้กับยามเฝ้า แววตานั้นวาบแสงโหดเหี้ยม หลินขวงเงยศีรษะขึ้นมาไม่ทันมอง เขากล่าวด้วยรอยยิ้มโศกเศร้า “ในโลกนี้ที่เจ็บปวดสุดคือคนผมหงอกต้องฝังคนผมดำ พวกเขาย่อมรู้สึกไม่ต่างกัน เหตุใดข้าต้องทำร้ายครอบครัวของเขาเพิ่มขึ้นด้วย”

เฮยเซียงพึงใจและตามหลังหลงหยินไป หลงหยินทราบดีว่าเฮยเซียงจิตใจบริสุทธิ์และดีงาม เขาครุ่นคิดเล็กน้อย จากไปด้วยความกังวล หลายวันที่ผ่านมาไม่เฉพาะเพียงตระกูลหลิน แต่หลงหยินก็เหน็ดเหนื่อยจิตใจไม่ต่างกัน การกลับมาของเย่หวูเฉินได้เปลี่ยนทุกสิ่ง ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีหนามยอกตอกตำ คล้ายนอนบนปิ่นปักผมและเข็มหมุด ไม่อาจไล่ความรู้สึกนี้ได้แม้ขณะเดียว ที่พึ่งสุดท้ายคือสำนักจักรพรรดิใต้ ดังนั้นเขาจึงเริ่มเร่งรัดงานแต่งกับฉุ่ยเมิ่งฉาน ในอดีตฉุ่ยหยุนเทียนประมุขแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ กล่าวว่าทุกอย่างให้เป็นไปตามฉุ่ยเมิ่งฉาน ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาจึงไม่เคยได้พบกับฉุ่ยหยุนเทียนอีกเลย

คนของตระกูลหลินมาถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นหลินขวงและหลินซานที่ไร้ลมหายใจต่างก็ตะลึงค้าง ก้าวเข้าหาและร้องไห้โหยหวน ขณะที่หลินซานตะโกนสั่งลั่น “หุบปากเสียที.... พาร่างของหลินซานกลับไป.... และพาคนผู้นี้ไปด้วย!” หลินขวงหมายถึงยามเฝ้าผู้เคราะห์ร้าย เขาหยัดร่างอย่างยากเย็น ร่างไหวเอนไปมา ดูเหมือนพร้อมจะร่วงลงกับพื้น สูญเสียหลานชายและบุตรชายตน หัวใจกระทบกระเทือนสาหัส การประคองร่างตัวเองไว้ยามนี้ไม่ง่ายเลย

หลินซานตายในคุกใต้ดิน เรื่องนี้ถูกเก็บไว้เป็นความลับ ผู้ที่รู้เรื่องมีอยู่น้อยยิ่ง ตระกูลหลินไม่ได้ประกาศออกไป ทว่าพอนำร่างของหลินซานกลับถึงตระกูล ข่าวการตายของหลินซานกลับแพร่สะพัดดั่งพายุและห่าฝน ข่าวลามไปทั่วเมืองเทียนหลงรวดเร็วจนน่าตกใจ แทบทุกคนต่างรู้ว่าหลินเสี่ยวกับจักรพรรดินีมีสัมพันธ์และถูกจักรพรรดิจับได้ ภายใต้ความโกรธจักรพรรดิจึงลอบสังหารหลินเสี่ยว โถมความโกรธระบายใส่ตระกูลหลิน กำจัดหลินซานตามไปอีกคน.... ขณะที่ประตูหน้าของตระกูลหลินปิดแน่นตลอดวัน ช่วงเวลาดังกล่าวมีเพียงเกวียนนำชุดไว้ทุกข์เข้าไปส่ง เป็นอันยืนยันว่าเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย คนที่แต่เดิมไม่เชื่อว่าหลินเสี่ยวกับจักรพรรดินีจ้ำจี้กันต่างสับสนและเริ่มเชื่อ หลินเสี่ยวผู้น่าสงสารถูกลักพาตัวและตกตาย ตอนนี้กระทั่งตายไปแล้วก็ยังถูกคำเหยียดหยามประณาม

เมื่อหลินขวงลืมตาตื่นขึ้น ก็เห็นคนของตนอยู่ข้างเตียงด้วยสีหน้าหม่นหมอง เมื่อพวกเขาเห็นหลินขวงตื่นขึ้นมา คนใช้หลายคนก็รีบเข้ามาอย่างรีบร้อน “นายท่าน ท่านเป็นยังไงบ้าง?”

หลินเสี่ยวตาย หลินซานตาย ตระกูลหลินถูกถล่มยับด้วยข่าวอื้อฉาว ตอนนี้ตระกูลหลินที่เหลืออยู่เป็นหลักก็มีแค่หลินขวง กับขยะหลินอวี้?

“ข้าไม่เป็นไร” หลินขวงโบกมือ ค่อยๆดันร่างลุกขึ้นนั่งโดยมีคนช่วยประคอง บ่าวรับใช้กล่าวด้วยหัวใจหนักอึ้ง “นายท่าน พิธีฝังศพจัดเตรียมไว้แล้ว ตอนนี้กำลังรอคำสั่งท่าน”

มีบุคคลหนึ่งก้าวเข้ามาอย่างเร่งร้อน เอ่ยถามกระวนกระวาย “ซานเอ๋อร์กลับตายด้วยวิธีนี้.... ด้วยอุปนิสัยของเขา ไม่มีทางที่เขาจะฆ่าตัวตาย เรื่องนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง”

บุคคลผู้นี้คือหลินเหยียน โทสะของเขาท่วมท้นถึงขีดสุด สีหน้ามืดทะมึน มือซ้ายจับไหล่ของหลินขวง มือขวายกขึ้นเล็กน้อยอย่างแข็งขัด เหนือมือโผล่ออกมาเพียงนิ้วโป้งเท่านั้น แขนขวาของเขาหักออกเป็นสี่ท่อนด้วยหมัดของเฮยเซียงเมื่อสิบเดือนก่อน นิ้วทั้งสี่ยกเว้นนิ้วโป้งแหลกเละ แม้จะใช้โอสถชั้นเลิศ หรือเชิญหมอหลวงและนักเวทย์แสงมารักษา หากก็ฟื้นฟูแขนเขาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากมันถูกทำให้พิการสมบูรณ์ หรือต่อให้พิการเพียงแค่ครึ่ง ก็ยังยากต่อการเคลื่อนไหวอิสระ ยิ่งนิ้วทั้งสี่ของเขาล้วนเป็นไปไม่ได้ที่จะฟื้นฟูกลับมา....นอกจากมันจะงอกได้เหมือนหางตุ๊กแก

ดังนั้น หลินเหยียนจึงเกลียดชังเฮยเซียงลึกถึงไขกระดูก ทั้งยังหวาดกลัวหัวหด หลงหยินประเมินค่าเฮยเซียงไว้อย่างสูง เชื่อใจไม่มีที่เปรียบ เขาไม่โทษเฮยเซียงที่ทำหลินเหยียนเจ็บหนักแม้แต่น้อย ทั้งยังทำแค่เพียงปลอบใจหลินเหยียน ดังนั้นด้วยอุปนิสัยและอารมณ์ หลินเหยียนจึงเริ่มเกิดความขุ่นเคือง ภายหลังเข้าสู่ราชวังนับครั้งได้ ทั้งความขุ่นข้องยังสะสมทวี

หลินขวงเงยศีรษะขึ้น เขาไม่ได้กล่าวตอบทันที “คนที่ข้าให้นำกลับมาด้วยตอนนี้อยู่ไหน?”

“นายท่าน พวกเราขังเขาไว้ในห้องเก็บฟืน หากนายท่านไม่ออกคำสั่ง พวกเราก็กล้าจัดการตามอำเภอใจ”

หลินขวงพยักหน้า ลุกออกจากเตียง โบกมือปฏิเสธการประคองแขนช่วยจากบ่าวไพร่ เขากล่าวกับหลินเหยียน “น้องสอง ไปที่ห้องเก็บฟืนกัน คนผู้นั้นเห็นซานเอ๋อร์ขณะตาย”

หลินเหยียนดวงตาแทบเป็นประกายไฟ เขาพยักหน้า

เมื่อไปถึงยังห้องเก็บฟืน พวกเขาก็เห็นชายคนหนึ่งถูกมัดนั่งใจเสียอยู่บนพื้น หลินขวงสั่งคนที่อยู่รอบๆออกไปและห้ามเข้าใกล้

ประตูปิดลง หลินขวงไม่กล่าวคำใด ดวงตาเจ็บปวดและเกลียดชังจดจ้องคนผู้นั้นจนตัวสั่น เขาวิงวอนด้วยคำกำกวม “ใต้เท้าหลิน บ่าวไร้ประโยชน์ โปรดสังหารบ่าวให้ตายไวๆด้วยเถอะ....”

“ตาย?” หลินขวงยิ้มสลด “เจ้าอาจจบปัญหาทุกสิ่งได้ด้วยความตาย แต่เจ้าคิดถึงครอบครัวบ้างหรือไม่ พ่อแม่กว่าจะเลี้ยงเจ้าจนเติบใหญ่นั้นไม่ง่ายเลย หากเจ้าตาย พวกเขาจะต้องเจ็บปวด โศกเศร้าทรมานในช่วงชีวิตที่เหลือ ภรรยาเจ้าจะกลายเป็นม่ายทั้งชีวิต ลูกของเจ้าก็จะไร้บิดา จะต้องเจ็บปวดเพราะถูกรังแก เจ้าอยากจะตายมากขนาดนั้นจริงๆหรือ?”

เขาเป็นเพียงยามเฝ้าคุกธรรมดา ไม่ใช่บุคคลชั่วช้า เรื่องนี้สำหรับเขาล้วนไม่ต่างจากถูกเหล็กทิ่มดวงใจ ทำให้เขากลัวตายขึ้นมาทันที  ไม่อาจออกปากว่าขอ ‘ตายไวๆ’ ได้อีก ความจริงเขาไม่ได้อยากตาย แต่เขาโชคร้ายที่กลายเป็น ‘เครื่องมือ’ ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน สุดท้ายก็ย่อมถูกอีกฝ่ายจัดการอยู่ดี เป็นความอาภัพของผู้อ่อนแอ ชีวิตถูกตัดสินในมือคนมีอำนาจไม่ใช่ของตน

หลินขวงก้าวเข้ามาช้าๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน “บอกข้า....แท้จริงแล้วเขาตายยังไง.... พูด แล้วเจ้าจะรอด!”

หลินเหยียนไม่ได้มีความอดทนมากเหมือนหลินขวง เขาตรงออกมาเบื้องหน้าคว้าปกเสื้อของเขายกขึ้น และเข่นเขี้ยวกล่าว “ซานเอ๋อร์เป็นผู้กลัวตาย ในอดีตกระทั่งเข้าสนามรบยังไม่กล้า เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะฆ่าตัวตาย พูด! เขาตายยังไง.... เขาตายได้ยังไงกันแน่!”

“ใต้เท้าหลิน เขา.... เขาฆ่าตัวตายจริงๆ ข้าเห็นเองกับตา....” นึกถึงเฮยเซียงที่ใช้ครอบครัวของตนเป็นตัวประกันข่มขู่ ไหนเลยเขาจะกล้าบอกสิ่งที่ได้ยินและได้เห็น

“เจ้าพล่ามไร้สาระ!” หลินขวงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “เป็นไปไม่ได้ที่ซานเอ๋อร์จะมีผงผนึกใจพรรค์นั้นอยู่กับตัว เห็นได้ชัดว่าซานเอ๋อร์ตายได้ช่วงเวลาหนึ่งแล้ว แต่เจ้าเฝ้าอยู่แท้ๆกลับไม่กล้าตะโกนบอกผู้ใด เรื่องนี้ผิดวิสัยยิ่ง สีหน้าของเจ้าเห็นชัดว่ากำลังโกหก.... จงบอกข้ามา เจ้าถูกสั่งให้ปิดปากเงียบขณะซานเอ๋อร์ถูกฆ่า และจากนั้นถูกบังคับให้เล่นละครตบข้าใช่หรือไม่!?”

“บ่าว....บ่าวไม่ได้หลอกลวง หากฝ่าบาทบังคับใต้เท้าหลินฆ่าตัวตาย ไหนเลยฝ่าบาทจะยังสบายใจขณะส่งบ่าวให้อยู่มือท่าน....”

“โอ้....” หลินขวงแค่นเสียง “เพราะไม่ให้ข้าสงสัย ฝ่าบาทจึงส่งเจ้าให้อยู่มือข้า เขาคงคิดว่าข้าจะกำจัดเจ้าทิ้งทันที แต่คราวนี้ฝ่าบาทคงต้องผิดหวังแล้ว.... อ้ายสวะ ข้าเพียงถามว่าเขาตายยังไง ไม่เคยถามสักครั้งว่าฝ่าบาทบังคับให้เขาฆ่าตัวตายหรือไม่ เจ้ากลับบอกออกมาเอง ยังมีอะไรอีกจงพูดออกมา!”

ม่านตาของยามเฝ้าคุกขยายกว้างและชะงักค้าง



<<<PREV    .    NEXT>>>