วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 287

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 287 ผาดาวตก

“แล้วทำไมท่านต้องจับข้ามาด้วย ท่านยังไม่ได้บอกข้า....” เยว่ซือฉีตอนนี้ความสงสัยนำหน้าความกลัว จำได้ว่าตอนที่นางถูกหิ้วตัวมา จักรพรรดิมารบอกเป็นเพราะชอบนาง....แต่ไหนเลยนางจะกล้าถามแบบนั้นออกไป

“จักรพรรดิผู้นี้จับเจ้าออกมา เพราะเจ้าเกือบตบแต่งกับบุรุษที่ไม่สมควรตบแต่ง เฮอะ หากจักรพรรดิผู้นี้ไม่นำตัวเจ้าออกมาละก็ เจ้าเตรียมรอได้เลยว่าจะได้เป็นม่ายทั้งชีวิต” จักรพรรดิมารกล่าวราบเรียบ

เยว่ซือฉีดวงตางามเบิกกว้าง สีหน้าตะลึง

“เจ้าเป็นเพียงหญิงสาวที่ไม่รู้ความ แต่ไม่รู้มากก็นับว่าดี ตอนนี้พักพอสมควรแล้ว ถึงเวลาต้องไปต่อ”

จักรพรรดิมารขยับเท้าอย่างประหลาด ราวกับเคลื่อนถึงร่างของเยว่ซือฉีในฉับพลัน ก่อนที่นางจะทันได้ตั้งตัว นางก็ถูกหิ้วบินไปแล้ว

ก่อนนี้เยว่ซือฉีหวาดกลัวแทบตาย ทั้งยังห่วงกังวลกับเรื่องอื่น ตอนนี้หัวใจของนางผ่อนคลาย จิตใจส่วนใหญ่จดจ่ออยู่ที่จุดสัมผัส เท่าที่จำความได้ จักรพรรดิมารคือบุรุษคนแรกที่กอดนาง พอคิดเช่นนี้หัวใจก็เต้นรัวเร็ว นางเม้มริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างกังวล “ท่านบอกว่า....ไม่สนใจข้า”

“งั้นเจ้าก็หมายถึงให้ข้าปล่อยเจ้าลงสินะ?” จักรพรรดิมารมองไปเบื้องหน้า กล่าวตอบอย่างไร้อารมณ์

เมื่อคิดถึงตอนที่เขาปล่อยนางร่วงลงไปครั้งก่อน เยว่ซือฉีก็หดร่างลีบลง ไม่กล้าเอ่ยคำอีก ปล่อยให้เขาพานางไปยังสถานที่ที่ไม่รู้จัก

ขณะเดียวกัน ในอีกสถานที่หนึ่ง

สถานที่นี้อยู่ใต้ดินอันอับชื้น ไม่ว่าจะกลางคืนหรือกลางวันก็มีเพียงแสงเทียนริบหรี่ ไม่อาจจำแนกวันคืน เล่งหยาไม่ทราบว่าคุกเข่าอยู่นานเท่าใด นอกจากกินอาหารสามมื้อต่อวันเขาทำเพียงคุกเข่าอยู่ตรงนั้น หัวใจที่เคยเจ็บปวดชนิดไม่อาจบรรยาย ตอนนี้ค่อยๆกลายเป็นความสงบ

ความตายของมารดา ประดุจดั่งสายฟ้าฟาดใส่กลางอก เจ็บปวดถึงหัวใจ เย่หวูเฉินและฉู่จิงเทียนเข้าใจความรู้สึกของเขาดี แต่นับว่าดีที่เขาผ่านความรู้สึกนั้นได้ในที่สุด จากคำพูดสุดท้ายของมารดา....นางตายโดยไม่เสียใจ สามารถติดตามฟงเฉาหยางไปยังโลกหน้า เขาควรจะมีความสุขให้กับนาง.... หลังผ่านชีวิตที่ยากลำบาก ในที่สุดนางก็ได้อยู่ร่วมกับเขาตลอดไป ฝังร่างอยู่ในสุสานเดียวกัน เขาสมควรพอใจและยินดียิ่ง

ฉู่จิงเทียนยังคงอยู่เป็นเพื่อนกับเล่งหยาโดยไม่ออกไปไหน เขาเคยอาศัยอยู่ในดินแดนถูกผนึกทางตอนเหนือมาตลอดหลายปี ดังนั้นเรื่องแค่นี้ไม่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย

ตึก....ตึก....ตึก....

เสียงย่ำเท้าสงบแต่หนักแน่นก้าวเข้ามา เขาคือปู่ใจดีคนนั้น ฉู่จิงเทียนที่หลับตาทำสมาธิก็ลืมตาขึ้นมา และกล่าวทักทายอย่างสุภาพ “ท่านปู่ต้าสง”

“ฮี่ ฮี่” ชายชราพยักหน้า สายตามองยังเล่งหยาและฉู่จิงเทียน “อีกสองวัน งานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินจะมาถึงแล้ว พวกเจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม หลังจากนั้น พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทาง”

“เร็วจังแฮะ” ฉู่จิงเทียนลุกขึ้นยืน ถูฝ่ามือสองข้างด้วยความตื่นเต้น ปรารถนาให้งานแข่งเริ่มเสียตั้งแต่ตอนนี้ ทว่าทันใด เขาก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านปู่ต้าสง ท่านบอกว่าพวกเรา....นี่หรือว่าท่านก็จะไปด้วย?”

ชายชราพยักหน้าใจดี “ถูกต้อง ข้าผู้ชราอยู่มาจนถึงปูนนี้ ยังไม่เคยเข้าร่วมงานชุมนุมยุทธเวทย์เลยสักครั้ง หากพลาดครั้งนี้ไป ชาตินี้คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว ไม่เฉพาะแต่ข้า ยัยแก่ก็จะไปด้วยอีกคน”

“แต่ว่า....” ฉู่จิงเทียนกล่าวอย่างกังวล “ผู้ที่เข้าร่วมการประลองล้วนแต่กล้าแกร่ง หากไม่มีพลังคุ้มร่างที่แข็งแกร่งพอ เมื่อเข้าใกล้ย่อมอันตรายยิ่ง ท่านปู่ต้าสง ท่าน....”

จากร่างของเหยียนชิงหง ฉู่จิงเทียนไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังใดๆ อย่างมากสุดก็เป็นปู่สุขภาพดีกระฉับกระเฉงคนหนึ่ง แถมเขายังชรากว่าปู่ของฉู่จิงเทียนอีกด้วย

เล่งหยายืนขึ้นอย่างเงียบงัน จากนั้นเดินมาอยู่ข้างๆฉู่จิงเทียน เขามองดูเหยียนชิงหงอย่างสงบ หากสายตาราวกับว่าจะมองทะลุผ่านถึงจิตใจ

ไหนเลยเหยียนชิงหงจะไม่ทราบความหมายของสายตานั้น เขายิ้มอย่างอ่อนโยน ยกฝ่ามือชราขึ้น ผลักออกไปตรงอากาศว่าง

คลื่นความร้อนระเบิดพวยพุ่งออก เล่งหยากับฉู่จิงเทียนพลันรู้สึกกดดันหนักหน่วง บีบให้ต้องถอยหลังออกไปสองก้าว พวกเขาเงยหน้ามองอย่างตะลึง ขณะที่ชายชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฮี่ๆ ตอนนี้พวกเจ้าวางใจได้หรือยัง?”

ฉู่จิงเทียนจ้องตากว้าง เล่งหยาสีหน้าตะลึงไม่ต่างกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ทันตั้งตัว ทว่า.... ไม่ว่าจะเป็นเล่งหยา หรือฉู่จิงเทียนที่ฝึกเคล็ดเทพกระบี่ พวกเขาล้วนมีพลังคุ้มร่างจากแรงปะทะภายนอก ต่อให้มีหินยักษ์ร่วงตกใส่จากบนฟ้า ก็ไม่อาจทำอันตรายใดๆพวกเขาได้ ทว่าชายชราผู้นี้เพียงผลักฝ่ามือธรรมดา คลื่นอากาศจากฝ่ามือกลับผลักพวกเขาถอยได้อย่างง่ายดาย จะไม่ให้พวกเขาตะลึงได้อย่างไร

“ท่านปู่ต้าสง....น้องเย่เป็น....เจ้านายของท่านจริงๆเหรอ?” ฉู่จิงเทียนถามอย่างไม่แน่ใจ

“ถูกต้อง ไม่เพียงแต่เป็นเจ้านาย หากยังเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิต เป็นผู้มอบชีวิตใหม่นี้ให้กับพวกเรา มีเพียงเจ้านายเท่านั้น ที่ทั้งชีวิตของพวกเราจะไม่มีวันทรยศ ต่อให้เจ้านายปรารถนาให้พวกเราตกตาย พวกเราก็ไม่มีคนใดที่ลังเล” ชายชรายิ้มกล่าวอย่างจริงจัง

ฉู่จิงเทียนดวงตาเบิกกว้างยิ่งขึ้นอีก “ท่านย่าซ่งหัว ก็แข็งแกร่งแบบเดียวกับท่านใช่หรือเปล่า?”

“ฮี่ๆ นางยังอ่อนด้อยกว่าข้าอยู่บ้าง หากแต่ต่างกันไม่มากนัก ชีวิตของพวกเราไม่ได้ปรารถนาสิ่งใด ดังนั้นจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝน เรื่องพลังคุ้มร่างของตัวเอง พวกเจ้าไม่ต้องห่วงสองเฒ่าอย่างพวกเราหรอก” เหยียนชิงหงยิ้มกล่าวด้วยความเอ็นดู

ฉู่จิงเทียนคล้ายหายใจติดขัด.... พลังที่แผ่พุ่งออกมาเมื่อครู่นั้น มันไม่ใช่เพียงพลังป้องกันร่าง!!

“....น้องเย่จะไม่มาชมการแข่งในอีกสองวันจริงๆเหรอ?” ฉู่จิงเทียนถามออกมาอย่างโง่งม

“เจ้านายคิดทำสิ่งใด....ฮี่ๆ หลังจากนี้อีกสองวันพวกเจ้าก็จะรู้เอง” เหยียนชิงหงยิ้มกล่าว “พวกเจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม หากขาดตกสิ่งใดก็ให้เรียกข้า เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะแจ้งให้พวกเจ้าทราบเอง” พอกล่าวจบ เขาก็พยักหน้าให้เล็กน้อย และก้าวออกไปอย่างหนักแน่น

ฉู่จิงเทียนมองแผ่นหลังของชายชรา จมจ่อมอยู่ในความคิดเนิ่นนาน

“ท่านปู่เคยบอกว่าหากจะปกปิดกลิ่นอายอย่างสมบูรณ์แบบ อย่างน้อยต้องมีพลังสูงกว่าอีกฝ่ายถึงหนึ่งขอบขั้น แต่เท่าที่ข้าลอบสังเกตในวันนั้น กลับไม่อาจสัมผัสพบสิ่งใด เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขา....นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว”

เล่งหยามุ่นคิ้วแต่ไม่กล่าวตอบ

“เฮ้ เจ้าหน้าน้ำแข็ง เจ้าคิดว่าน้องเย่เป็นยังไง กระทั่งคนที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้....ฮ่าย! ยังถึงกับเรียกน้องเย่ว่าเจ้านาย!” ฉู่จิงเทียนทุบเล่งหยาไปทีหนึ่ง

เล่งหยาใบหน้าไร้อารมณ์ เขาหันกายแล้วไปนั่งอยู่ตรงมุมผนัง ใช้เวลาเล็กน้อยกลิ่นอายทั้งหมดก็หายไป

ฉู่จิงเทียนรู้ว่าการรอให้เล่งหยาพูดล้วนถือเรื่องโง่ ดังนั้นเขาจึงนั่งลงบ้าง สงบจิตใจให้ไร้กังวล ไม่ว่าจะเป็นพลังยุทธ หรือ พลังเวทย์ ล้วนแต่ไม่อาจทอดทิ้งการฝึก ‘ปราณ’ และ ‘จิตใจ’

สองวันผ่านไป งานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินได้มาถึง

“นี่เป็นที่จัดงานชุมนุมยุทธเวทย์อย่างนั้นเหรอ?” ฉู่จิงเทียนหันซ้ายมองขวา และถามด้วยความสงสัย

ที่นี่ เป็นหน้าผาสูงตระหง่านกว่าร้อยจั้ง (333เมตร) ใต้ผานั้นเป็นน้ำทะเลสีเข้ม....ไม่สิ ควรกล่าวว่าเป็นน้ำทะเลสาบ มองดูผืนน้ำสีครามกว้างใหญ่ไม่เห็นขอบฝั่ง ตรงเส้นขอบน้ำที่อยู่ห่างไกล มีหอคอยสูงเรียวจรดฟ้า ทะลุผ่านหมู่เมฆจนไม่เห็นยอด บริเวณนี้เป็นที่ราบกว้างบนผาสูง และพื้นผิวมิได้ราบเรียบ

“ถูกต้อง ที่นี่คือบริเวณใจกลางของทวีปเทียนเฉิน ตรงนี้เรียกว่าผาดาวตก ส่วนนั่นคือทะเลสาบผืนใหญ่ที่สุดในทวีปเทียนเฉิน เรียกว่าทะเลสาบดาวตก ทั้งดินแดนและทะเลสาบแห่งนี้ ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรใด” เหยียนชิงหงมองตรงไปเบื้องหน้าและกล่าว

“ถ้างั้น แล้วคนอื่นหายไปไหนกันหมด?” ฉู่จิงเทียนมองไปรอบๆ จากนั้นเดินตรงไปที่ขอบผา ชะโงกมองดูก็ไม่เห็นผู้ใด

“ฮี่ ฮี่ งานประลองนี้ ถึงแม้ 25 ปีจะจัดขึ้นครั้งหนึ่ง แต่ผู้ที่หาญกล้าเข้าร่วมประลองแต่ละครั้ง ก็มีอยู่เพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น เหตุผลที่ยังไม่เห็นใคร ก็เพราะพวกเรามาถึงเร็ว” เหยียนชิงหงกล่าวพลางหัวเราะ ด้านข้างเขา ท่านย่าซ่งหัวหรือเหยียนชิงปิงยืนยิ้มอยู่

“แบบนี้นี่เอง” ฉู่จิงเทียนชะโงกมองอีกครั้ง จากนั้นขมวดคิ้วถาม “แต่ว่าที่นี่คือผาสูง เวลาต่อสู้กันคลื่นพลังย่อมรุนแรงมาก ไม่กลัวกันหรือว่าที่นี่จะพังถล่ม?”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เหยียนชิงหงหัวเราะลั่นและกล่าว “ครั้งแรกที่ข้ามาที่นี่ ก็คิดแบบเดียวกันกับเจ้า แต่เหตุผลที่งานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินจัดขึ้นในสถานที่นี้ มิใช่เพียงเพราะว่ามันอยู่ใจกลางของทวีป ยังมีเหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือดินแดนแห่งนี้แข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า การจะทำลายมันนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย”

“โอ้? งั้นข้าขอลองหน่อย” ฉู่จิงเทียนอยากรู้จับจิต กระโดดถอยกลับมาก้าวหนึ่ง แล้วต่อยหมัดอัดพื้น

หากว่าเขาต่อยหินธรรมดา หินนั้นย่อมแตกออกพร้อมกับเสียงทึบหนัก แต่ตอนนี้เมื่อเขาต่อยหมัดอัดลงพื้นไป กลับมีเสียงแตกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฉู่จิงเทียนยกมือที่เจ็บเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ และพบว่าที่พื้นปรากฎเป็นรอยยุบจางๆเท่านั้น

“ว้าว! ดินแดนแห่งนี้แข็งแกร่งจริงๆ แข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า” ฉู่จิงเทียนอุทาน จากนั้นกระซิบ “หรือว่าดินแดนแห่งนี้เป็นเหล็กจริงๆ?”

“ที่ดินแดนในตำนานแห่งนี้แข็งแกร่งก็เพราะอยู่ใกล้กับหอคอยเทพเจ้า ถูกปกปักษ์โดยเหล่าทวยเทพ ดังนั้นมันจึงได้แข็งแกร่ง หากเจ้าคิดทำลายมันย่อมมิใช่เรื่องง่าย” เหยียนชิงปิงตอบด้วยรอยยิ้ม ริ้วรอยที่หางตาย่นแน่นเข้าด้วยกัน

“หอคอยเทพเจ้า? หมายถึงเจ้านั่นเหรอ?” ฉู่จิงเทียนชี้ไปยังเสาที่อยู่ตรงสุดเส้นขอบผืนทะเลสาบดาวตก มันสูงเสียดฟ้าและไม่เห็นยอด.... ด้วยความที่อยู่ไกล มันจึงเห็นเป็นเพียงเสาสูงๆต้นหนึ่ง

เหยียนชิงหงพยักหน้า “ถูกต้อง นั่นคือหอคอยเทพเจ้า ตำแหน่งที่มันตั้งอยู่คือจุดใจกลางของทวีปเทียนเฉิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมมันถึงเรียกว่าหอคอยเทพเจ้า?”

“เอ๋ ทำไมเหรอ?”

“เพราะกล่าวกันว่า นั่นคือทางเชื่อมต่อเดียวระหว่างทวีปเทียนเฉินของพวกเรากับอาณาจักรเทพ” เหยียนชิงหงกล่าวอย่างจริงจัง

“อาณาจักรเทพ? ข้ารู้จัก ข้ารู้จัก ปู่ของข้าเคยเล่าให้ฟังว่าที่นั่นคือโลกอีกแห่งที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง สำหรับชาวทวีปเทียนเฉินคนที่นั่นคือเทพแท้จริง ผู้คนทรงพลังเช่นเดียวกับปู่ของข้า ทั้งยังมีอีกมากมายที่แข็งแกร่งกว่าท่านปู่ เจ้านั่นใช้ขึ้นไปยังทวีปเทวะได้จริงๆเหรอ?” ฉู่จิงเทียนถามอย่างแปลกใจ


<<<PREV    .    NEXT>>>