วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 253

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 253 หัวใจของฉุ่ยโหรว (1)

“ผ่านมานาน แต่ห้องของพี่หญิงยังคงไม่เปลี่ยน” สายตาของเย่หวูเฉินกวาดผ่าน ขณะเทียบเคียงกับภาพที่ฝังลึกในความทรงจำ

“ใช่แล้ว! ห้องของพี่สาวยังเหมือนเมื่อก่อน เห็นอยู่ว่าผ่านมานาน แต่กลับรู้สึกเหมือนพึ่งผ่านมาเพียงเมื่อวานนี้” หนิงเสวี่ยมองไปรอบๆด้วยอีกคน สองตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น ส่วนทงซินนางคอยปกป้องเย่ฉุ่ยเหยาอยู่ตลอดเวลา นางอยู่แห่งใดทงซินจะอยู่ที่นั่น เวลาส่วนใหญ่คืออยู่ด้วยกันในห้องไม่ออกไปไหน สำหรับทงซินที่นี่เคยคุ้นจนไม่อาจคุ้นเคย

เย่หวูเฉินมองยังโต๊ะตัวเล็กข้างเตียงของเย่ฉุ่ยเหยา บนนั้นเต็มไปด้วยกองหนังสือหนา มีเล่มหนึ่งเปิดกางวางอยู่ เย่หวูเฉินส่ายศีรษะ “พี่หญิง ท่านไม่จำเป็นต้องลำบากตัวเองเลย”

เย่ฉุ่ยเหยายังคงคล้องแขนรอบลำคอและเอ่ยแผ่ว “เป้าหมายของเจ้าคือเป้าหมายของข้า นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้าช่วยเจ้าได้ ในเมื่อต้องแต่งงานกับเจ้า ทุกสิ่งของตระกูลเย่ก็ต้องมอบให้เจ้าทั้งหมด รวมทั้งสิ่งที่อยู่ใต้การควบคุมของเย่หวูหยุน ก็ล้วนไม่อาจยกเว้น”

เย่หวูเฉินไม่กล่าวขัดอีก รื่นรมณ์กับไออุ่นนางที่แผ่สัมผัส เขาหลับตาลงและกล่าวเสียงเบา “ข้ากลับมาบ้าน พาคนหนึ่งมาด้วยที่ยืนยันได้ว่าพี่หญิงกับข้าไม่ใช่พี่น้องกัน พี่หญิงอยากพบเขาหรือเปล่า?”

แน่นอนว่าเขาหมายถึงฉู่จิงเทียน แต่เดิมเขาหลับไหลอยู่นับสิบปี เป็นฉู่จิงเทียนที่คอยดูแลเขาจนกระทั่งเติบใหญ่ ทั้งมีความผูกผันแน่นหนาต่อกัน ฉู่จิงเทียนสามารถยืนยันได้ชัดเจนว่า เขาไม่ใช่เย่หวูเฉินที่หายไปเมื่อสี่ปีก่อน

เย่ฉุ่ยเหยากลับส่ายศีรษะ “ไม่จำเป็น ข้าเป็นของเจ้าแล้ว ไหนเลยจะไม่เชื่อใจเจ้าได้ สำหรับข้าแล้ว เป็นพี่น้องกันหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แม้เป็นพี่น้องกันจริงแล้วอย่างไร”

เย่หวูเฉินอบอุ่นดวงใจ เขาพยักหน้าอ่อนโยน

“เสี่ยวเฉิน เจ้าไปพบน้องหญิงตระกูลฮั่วแล้วหรือยัง? ตอนนั้นทุกคนล้วนคิดว่าเจ้าตายไปแล้ว แต่นางยังคนยืนกรานในตัวเจ้าเท่านั้น งมงายถึงขั้นขัดขืนสมรสพระราชทาน สาบานว่าชีวิตนี้นอกจากเจ้าจะไม่แต่งกับใคร หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าอาวุโสตระกูลเราจะไร้คนดูแลยามชรา นางคงติดตามเจ้าไปแล้ว เสี่ยวเฉิน ชีวิตเจ้าไม่อาจทำนางผิดหวัง ดังนั้นเพื่อนางแล้ว เจ้าห้ามเป็นอะไรอีก”

เมื่อนึกถึงฮั่วฉุ่ยโหรว หัวใจของเย่หวูเฉินก็ปวดแปลบ แต่ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือความรู้สึกผูกพัน “ข้าไปดูนางมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่กล้าเผยตัวให้นางรู้ นางไม่เหมือนพี่หญิง ตรงที่เหมือนละอองหิมะอันบอบบาง ควรได้รับการทะนุถนอมโอบอ่อน นางมาเจอข้าเข้า นับว่าโชคร้ายอย่างยิ่ง”

“เสี่ยวเฉิน เจ้ากล่าวผิดแล้ว” เย่ฉุ่ยเหยาส่ายศีรษะ กระชับแขนแน่นขึ้น “เจ้ายังไม่เข้าใจสตรี กับน้องหญิงตระกูลฮั่วแล้ว หากได้มอบใจให้ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดี หรือจะเป็นคนเลวก็ช่าง ตราบใดที่ได้อยู่กับคนรัก ต่อให้เขาเป็นปีศาจ เพียงได้อยู่ร่วมล้วนนับเป็นความสุข สำหรับนางความทารุณที่สุดคือการแยกจาก นอกจากนั้นแล้ว ต่อให้เจ้าเป็นศัตรูกับโลกหล้าทั้งใบ นางก็จะอยู่เคียงข้างเจ้า จะคอยทุ่มเทมอบทุกอย่างที่มี”

เย่หวูเฉินนิ่งเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นถอนหายใจบาง “เพราะอย่างนี้ ข้าถึงยิ่งไม่กล้าพบนาง ข้าติดค้างนางมากเหลือเกิน”

เพียงเพิ่งหมั้นกับนาง ก็ต้องเดินทางลงใต้ หลังจากกลับมา นางผูกผ้าพันคอให้อย่างอ่อนโยน ทั้งยังเตือนเขาให้รีบกลับไปพบบิดามารดา.... จากนั้น นางเฝ้ารอให้เขากลับมาหา ทว่ารออยู่นานกลับเพียงพบข่าวการตาย

เขาไม่อยากนึกเลยว่าหญิงสาวที่นุ่มนวลอ่อนหวานผู้นี้จะเจ็บปวดเพียงใด นอกจากความทุกข์โศกตลอดสามปี นางยังทำลายชีวิตตัวเอง สาบานจะไม่แต่งกับผู้ใดทั้งชีวิต จนเป็นที่รู้กันทั่วทั้งเมืองเทียนหลง

“เพราะแบบนี้ เจ้าจึงต้องชดเชยแก่นาง สิ่งที่เจ้าสามารถชดเชยนางได้ดีที่สุดในยามนี้ คือรีบไปพบกับนางทันที ไม่แน่นางอาจมีความสุขจนสลบ หญิงสาวถึงปานนี้ หากปล่อยให้นางเจ็บปวดแม้เสี้ยววินาทีก็นับเป็นบาปมหันต์” เย่ฉุ่ยเหยากล่าวอย่างอ่อนโยน นางในตอนนี้กับนางเมื่อสามปีก่อนเปลี่ยนแปลงไปมาก และการเปลี่ยนของนางล้วนเป็นเพราะเย่หวูเฉิน

เย่หวูเฉินพยักหน้ารับเบาๆ

เมื่อออกจากสวนของเย่ฉุ่ยเหยา เขาก็เห็นฉู่จิงเทียนที่ไม่ทราบหยิบกิ่งไม้มาจากไหน ใช้ตวัดไปมาต่างกระบี่อยู่ในสวน แผ่เงาสะท้านทั่วบริเวณ ราวกับว่านั่นไม่ใช่กิ่งไม้แต่เป็นศาสตรา รอบๆเขามีบุรุษรับใช้กลุ่มหนึ่งคอยเชียร์เสียงดัง แม้ฉู่จิงเทียนเพียงตวัดวาดโดยไม่ได้ใช้พลังภายใน แต่ในสายตาของบรรดาคนใช้ถือว่าเก่งกล้าเป็น “ยอดฝีมือ”

อย่างไรก็ตาม หากเขาใช้ “เคล็ดเทพกระบี่” ออกเต็มกำลัง ยอดฝีมือที่คุ้มกันตระกูลเย่คงได้ตะลึงค้าง

ยิ่งกว่านั้น ฉู่จิงเทียนที่ไม่เคยอยู่ต่อหน้าผู้คนมากหลาย ด้วยความตื่นเต้นการขยับไหวของมือจึงยิ่งรวดเร็วขึ้น เขาเป็นคนห่ามและตรงไปตรงมา ทั้งชื่นชอบการผูกมิตรสหาย เป็นครั้งแรกที่เขาออกห่างจาก “ประตูห้อง” ของตน ในหัวใจจึงไม่มีคำว่าสูงศักดิ์หรือต่ำต้อย เขากำลังกลายเป็นขวัญใจของเหล่าคนใช้

“พี่ต้าหนิว สุดยอดไปเลย” จากที่ห่างๆ หนิงเสวี่ยที่ดันรถเข็นอยู่โบกมือและตะโกนร้องอย่างน่ารัก

เมื่อได้ยินเสียง ฉู่จิงเทียนก็หยุดร่าย....กิ่งไม้ หัวเราะฮี่ๆอย่างงมงาย เหล่าบุรุษรับใช้ต่างรีบเข้ามาทักทายคารวะ มองเย่หวูเฉินด้วยแววตาหลากหลาย แม้ได้ยินว่าเขาไร้พลังไม่อาจหยัดยืน แต่ก่อนหน้านี้เขาคือคนที่ผ่าร่างเทพสงคราม สังหารกองทัพนับหมื่น นับจากสามปีก่อนตัวตนของเขาก็เปรียบประดุจเทพเจ้าในสายตาคนทั่วไป

เย่หวูเฉินเคลื่อนมาข้างหน้าและถาม “พี่ใหญ่ฉู่ เล่งหยาล่ะ?”

“เขาไปหาแม่ สามปีแล้วแม่ลูกไม่ได้พบหน้ากัน สมควรมีเรื่องมากมายให้กล่าว” ฉู่จิงเทียนพูดด้วยสีหน้าอิจฉา

เย่หวูเฉินพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นยิ้มกล่าว “หากท่านหิวก็เรียกคนพาไปห้องอาหารได้เลย อย่าได้คิดว่าเป็นคนนอก”

“เฮ้ บ้านของน้องเย่ไม่ใช่บ้านของข้า ข้าเป็นคนนอกก็ถูกแล้ว” ฉู่จิงเทียนกล่าวอย่างระมัดระวัง

เย่หวูเฉินพยักหน้ายิ้ม จากไปพร้อมกับหนิงเสวี่ยและทงซิน เพียงพวกเขาออกไปเท่านั้น เหล่าบุรุษคนใช้ก็มารุมล้อม พากันส่งเสียงถาม “ท่านเรียกว่าต้าหนิวอย่างนั้นเหรอ?”

“ใครบอก! ข้าชื่อฉู่จิงเทียน ฟังนะ ฉู่จิงเทียน!” ฉู่จิงเทียนอับอายเล็กน้อย คนผึ่งอกกล่าวนามของตัวเอง

“แต่คุณหนูหนิงเสวี่ยเรียกท่านว่าต้าหนิวอยู่ชัดๆ ฮี่ๆ ชื่อนี่เหมาะกับท่านแล้ว”

“น้องหญิงหนิงเสวี่ยเรียกได้ แต่พวกเจ้าห้ามเรียก! ต้าหนิวคือชื่อเล่นของข้า ท่านปู่สั่งว่าหลังจากออกมาแล้วต้องใช้ชื่อจริง ห้ามใช้ชื่อต้าหนิว”

“โอ้! ผู้ใดคือปู่ของท่านกัน?”

“ปู่ของข้าคือฉู่ชางหมิง!”

“โอ้? ถึงกับกล้าบอกว่าปู่ชื่อฉู่ชางหมิง? ก็ได้ งั้นปู่ของข้าชื่อว่าหวู่เชียวชุย!”

“.......”

เย่หวูเฉินออกไปถึงปากประตู ครุ่นคิดบางอย่างแล้วให้หนิงเสวี่ยกับทงซินพากลับเข้ามา ขณะนั้นหวังเวิ่นชูเดินผ่านมาพอดีและถาม “เฉินเอ๋อร์ เจ้าจะไปไหนเหรอ?”

“ข้าจะไปบ้านตระกูลฮั่ว ท่านแม่ช่วยข้าเตรียมรถม้าได้หรือเปล่า?” เย่หวูเฉินตอบ

พอกล่าวถึงตระกูลฮั่ว ใบหน้าของหวังเวิ่นชูก็แสดงความประทับจับจิต “เจ้าสมควรไปเยี่ยมบ้านตระกูลฮั่ว แม่จะรีบ....”

หวังเวิ่นชูยังกล่าวคำไม่ทันจบ ประตูหน้าของตระกูลเย่ก็เกิดเสียง “โครม” ดังสนั่น ยามเฝ้าประตูได้แต่ยิ้มฝืดฝืน เป็นฮั่วเจิ้นเทียนที่เดินเข้าประตูและมองตรงมา ข่าวลือก็คือข่าวลือ มีเพียงต้องเห็นกับตาเท่านั้น เมื่อเห็นเย่หวูเฉิน เขาเบิกตากว้างจ้องสำรวจ ส่วนเย่หวูเฉินกล่าวด้วยความนอบน้อม “ท่านพ่อตา ไม่ได้เจอกันนาน”

ในที่สุดในหัวก็ตอบสนองกับสิ่งที่ตาเห็น หนวดเขาบิดกระตุก เดินย่ำเข้ามาสองสามก้าว ปากพลันตวาดก่อนเท้าก้าวมาถึง “เจ้าเด็กส่ำส่อน คอยดูว่าวันนี้บิดาจะเลาะกระดูกเจ้าได้หรือไม่!!”

พอเห็นท่าทางคุกคาม พร้อมสายตาดุร้ายเกรี้ยวกราด ทงซินเลิกคิ้วงาม แม้ร่างมิได้เคลื่อนไหว แต่ปล่อยกลิ่นอายแผ่ตรึงที่ร่างของฮั่วเจิ้นเทียน คนพลันเย็นเยือกทั่วร่าง เท้าพลันหยุดเดิน

หากเย่หวูเฉินยังคงยิ้มและกล่าว “ท่านพ่อตา ลูกเขยท่านร่างกายไม่เอื้ออำนวยนัก ไม่อาจทนรับการทุบตีของท่านได้ ครั้งนี้อภัยให้ข้าไม่ได้หรือ?”

หวังเวิ่นชูรีบวิ่งมาบังอยู่หน้าเย่หวูเฉิน “ญาติข้า ข้ารู้ว่าท่านขุ่นข้องหมองใจ มีพ่อแม่คนใดบ้างไม่รักบุตรธิดา แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเฉินเอ๋อร์ อีกอย่างหนึ่งเขาพึ่งจะกลับมา ร่างกายก็อ่อนแอมาก ยิ่งเรี่ยวแรงจะเดินยังแทบไม่มี ท่านจะทุบตีระบายอารมณ์กับเขาไม่ได้นะ”

ด้วยความผูกพันกับฮั่วฉุ่ยโหรว หวังเวิ่นชูที่สงสารนางจึงไม่อาจโกรธฮั่วเจิ้นเทียนลง ส่วนฮั่วเจิ้นเทียนก็เพียงแสดงท่าทางไปอย่างนั้น ทำตัวอาละวาดเป็นพายุ เพราะถ้าไม่อย่างนั้น จะเหลือผู้ใดกล้าทำแบบนี้ต่อหน้าเย่หวูเฉิน คำพูดของหวังเวิ่นชูเป็นเพียงลมพัดหูสำหรับเขา

เห็นรถเข็นที่เย่หวูเฉินนั่งอยู่ ฮั่วเจิ้นเทียนขมวดคิ้วมุ่น ก้าวเดินเข้ามาจนใกล้ จับลงตรงข้อมือเพื่อตรวจสอบ เพียงชั่วเวลาสั้นๆ สีหน้าเขาก็พลันกลับกลาย

เย่หวูเฉินเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ แน่นอนเขาดีใจจนแทบกระโดด แต่เมื่อคิดถึงลูกสาวที่ทนทรมานมาตลอดสามปี เขาอดไม่ได้ที่จะโกรธเคือง เขาระงับความดีใจเป็นลิงโลด อดทนรอเย่หวูเฉินที่บ้านอย่างใจจดใจจ่อ กำชับคนใช้ไม่ให้บอกข่าวกับฮั่วฉุ่ยโหรว ไม่อย่างนั้นหากนางรู้เข้า นางจะต้องวิ่งห้อมาตระกูลเย่อย่างไม่คิดชีวิต  เขาต้องรอเย่หวูเฉินมายังตระกูลฮั่ว เพื่อให้ลูกสาวประหลาดใจ เพื่อให้มันกล่าวคำ.... “ขอโทษ”

สุดท้ายเขารอแล้วรอเล่า เย่หวูเฉินมาถึงตระกูลเย่ได้เนิ่นนาน แต่กลับไม่ยอมมาเยี่ยมตระกูลฮั่ว ในที่สุดเขาไม่อาจทนรอและรีบไปที่ตระกูลเย่ หลังทำการตรวจสอบ หัวใจเขาพลันเยียบเย็น ร่างของเย่หวูเฉินว่างเปล่า ว่างเปล่าอย่างน่ากลัว กระทั่งพลังชีวิตยังเหมือนคนใกล้ตาย อย่าว่าแต่เดินหรือวิ่ง ด้วยสภาพอ่อนแอถึงเพียงนี้ เขาคงอยู่ได้อีกไม่กี่ปีเท่านั้น

แต่หากคิดถึงครั้งที่เขากระโดดลงหุบเหวปลิดวิญญาณเมื่อสามปีก่อน แล้วกลับรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ เรื่องนี้มีใครบ้างที่กล้าคิดหวัง? ฮั่วเจิ้นเทียนปล่อยข้อมือเขาออก สีหน้าเปลี่ยนไปและไม่กล้าถามทำร้ายอีก ไม่อย่างนั้นลูกสาวเขาจะต้องร้องไห้น้ำตานองแน่

เขาเงยหน้าขึ้นและตวาด “ข้าไม่สนร่างกายเจ้า หลายปีมานี้เจ้าทำร้ายลูกสาวข้า พอกลับมาถึงกลับไม่ไปเหลียวแล นี่มันหมายความว่ายังไง?!”

“ท่านพ่อตาอย่าเพิ่งโกรธ ข้ากำลังจะออกไปหา และท่านก็เข้ามาพอดี” เย่หวูเฉินกล่าวกลั้วหัวเราะ

“ใช่แล้ว เฉินเอ๋อร์กำลังจะออกไปหาฉุ่ยโหรว เด็กคนนี้เจ็บปวดมามากเหลือเกิน” หวังเวิ่นชูกล่าวสีหน้าสลด

“เฮอะ ทางนี้ก็เหมือนกันแหละ” ฮั่วเจิ้นเทียนพึมพำ ความโกรธบนใบหน้าค่อยๆจางลง ในใจเริ่มบังเกิดความกลัวล้ำลึก

“เย่ซาน ไปเตรียมรถม้าให้พร้อม!”



<<<PREV    .    NEXT>>>