วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 285

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 285 เหยียบย่ำศักดิ์ศรี

เยว่ซือฉีถูกลมหอบร่างขึ้นไป ตรงช่องรูกว้างของหลังคาท้องพระโรงเหนือพื้นกว่าสิบเมตร นางถูกบุคคลผู้นั้นคว้ากอดร่างไว้ เส้นผมสีดำ หน้ากากเงิน อาภรณ์สีเงิน ล้วนเป็นสิ่งบ่งแสดงถึงคนผู้หนึ่งอย่างเจาะจง หากมันยามนี้กำลังลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ ทำผู้คนประหนึ่งเห็นเทพจากฟ้า องครักษ์ยอดฝีมือที่กระโดดขึ้นสู่บนหลังคาต่างหัวใจเต้นระส่ำ ประการแรกด้วยตัวตนของคนผู้นั้น ประการที่สองด้วยทักษะที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศ มันคือทักษะของผู้มีพลังก้าวข้ามขอบเขตสวรรค์ไปแล้วเท่านั้นถึงจะมีได้

เยว่ซือฉีถูกลมล้อมร่าง ยามนี้ใบหน้าขาวซีด อ้าปากหอบหายใจหนักหน่วง หน้าตาแตกตื่น เมื่อเห็นว่าตนลอยอยู่กลางอากาศ จิตใต้สำนึกก็สั่งการให้ดิ้นรนและตะโกนกรีดร้อง หากนางพลันพบว่าที่ข้างใบหูมีเสียงแหบพร่าน่ากลัวดังขึ้น “หากไม่อยากให้ข้าฉีกชุดของเจ้าออก จงหุบปากเดี๋ยวนี้”

การขู่ที่น่ากลัวกว่าคุกคามชีวิต เยว่ซือฉีหวาดกลัวและหยุดดิ้นทันที น้ำตาไหลร่วงออกจากดวงตา อยากตะโกนร้องแต่ก็ไม่กล้า ได้แต่เจ็บช้ำหัวใจ นางเป็นสตรีถูกทะนุถนอมจนกระทั่งถึงวันแต่ง ไหนเลยจะเคยประสบกับคนชั่วช้า นางไม่เคยคิดเลยว่างานแต่งของตนจะเกิดเรื่องน่ากลัวถึงเพียงนี้

นามจักรพรรดิมารน่ากลัวยิ่ง ผู้คนได้ยินยังต้องกลั้นหายใจ ลำคอต้องหดไว้ไม่กล้าปรากฎตัวต่อหน้ามัน กระทั่งเหล่าองครักษ์ที่ห้อมล้อมราวกับคลื่นน้ำ ยามนี้ยังปากสั่นฟันกระทบกัน มารร้ายตนนั้นลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ พวกเขาไม่อาจโจมตีได้อย่างสิ้นเชิง เรื่องนี้พวกเขาได้แต่ลอบถอนใจหดหู่ เพราะจักรพรรดิที่อยู่เบื้องหน้า พวกเขาจะเอาความกล้าจากไหนพุ่งเข้าไป เล่าลือว่าคนที่ตกตายด้วยน้ำมือจักรพรรดิมารล้วนไม่เหลือกระดูก ตอนนี้ฝีเท้าแข็งค้างของพวกเขาแทบจะกลายเป็นถอยหนี

ไหนเลยเยว่หานตงจะไม่รู้จักนามจักรพรรดิมาร แต่ลูกสาวของเขาตอนนี้ตกอยู่ในมือมัน เขาไม่สนใจว่าจักรพรรดิมารจะเป็นมารร้ายมาจากไหน เขาพริ้วร่างกระโดดต่อเนื่องขึ้นไปบนหลังคา “เจ้า....ปล่อยลูกสาวของข้าเดี๋ยวนี้!”

ฟงหลิงหน้าซีดไร้ที่เปรียบ ตลอดงานสมรสครั้งใหญ่ทั้งสองครั้งของเขา ในช่วงพิธีการเดียวกัน กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันซ้ำรอยต่อเนื่อง ครั้งก่อนเป็นเย่หวูเฉินที่บุกรุกเข้ามาชิงตัวเย่ฉุ่ยเหยาออกไป แต่ครั้งนี้เป็นจักรพรรดิมารอันผู้คนในอาณาจักรต้าฟงล้วนหวาดกลัวเมื่อได้ยินนาม มันกลับพรากตัวเยว่ซือฉีออกไปด้วยวายุ

นี่คือการหมิ่นหยามศักดิ์ศรีครั้งใหญ่ มองยังจักรพรรดิมาที่ลอยอยู่กลางอากาศ เขาก็รู้ตัวว่างานสมรสครั้งนี้จบสิ้นแล้ว

จักรพรรดิมารที่ลอยอยู่ส่งเสียงแหบต่ำ “ลูกสาว....เจ้า.... ข้าอยากได้....”

เสียงนี้ทำให้เยว่หานตงโทสะท่วมทะลัก ขณะที่ฟงหลิงอับอายอย่างสุดแสน สามปีก่อน งานสมรสใหญ่ถูกทำลายลงก็นับเป็นเรื่องตลกเสียดสีพอแล้ว ตอนนี้งานแต่งใหญ่ครั้งที่สอง จักรพรรดิมารกลับแย่งเจ้าสาวของเขาไปดื้อๆต่อหน้าธารกำนัล แถมยังพูดออกมาว่า “ข้าอยากได้” มีบุรุษคนใดที่ทนกับความอัปยศเช่นนี้ได้? ยิ่งกว่านั้น เขาคือรัชทายาทแห่งอาณาจักรต้าฟง  หากวันนี้เขาถูกจักรพรรดิมารชิงตัวเยว่ซือฉีไป ตัวเขาฟงหลิงคงกลายเป็นที่หัวเราะของผู้คน

ภายใต้การหมิ่นหยามศักดิ์ศรี ฟงหลิงหัวใจระอุเดือด เขาระงับยั้งความกลัว ขมวดคิ้วแน่นเงยศีรษะขึ้น ตะโกนดังชัดคำออกไป “จักรพรรดิมาร ตระกูลฟงของข้าไม่เคยล่วงล้ำสำนักมารของเจ้า แต่สำนักมารของเจ้ากลับคอยทำลายกองทหารของอาณาจักรต้าฟง เจ้ากับพวกเรา มีความบาดหมางอันใดกันแน่!!”

“บางหมาง? เหตุใดต้องบาดหมาง? สตรีนางนี้ยอดเยี่ยมนัก จักรพรรดิผู้นี้นานครั้งจะพบเจอสักคน จักรพรรดิผู้นี้จะนำนางไปเป็นสาวอุ่นเตียง....” น้ำเสียงจักรพรรดิมารแหบต่ำ หากถ้อยคำยังล้ำลึก

ฟงหลิงสั่นไปทั่วร่าง ไม่อาจหาคำใดมากล่าวกับเหตุผลอันธพาล จักรพรรดิมารแสดงความป่าเถื่อนอย่างชัดแจ้ง ชิงตัวเยว่ซือฉีโดยไม่ใช้แรงจูงใจมาก นอกจากเหตุผลเดียวคือมันชมชอบนาง เรื่องอื่นมันไม่สนใจทั้งสิ้น.... ไม่ต้องกล่าวถึงสถานนะของฟงหลิง ตำแหน่งรัชทายาทไม่อยู่ในสายตามันแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม มันคู่ควรกับการปรากฎกายโดยไร้คำเชิญและหยิ่งผยอง เพราะมันคือจักรพรรดิมาร

“จักรพรรดิมาร! หากเจ้ากล้าแตะต้องลูกสาวข้าแม้แต่ปลายผม....ข้าจะทำให้เจ้าไม่เหลือแม้แต่ศพ!!” เยว่หานตงขบฟันกล่าว หมัดกำแน่นจนเล็บแทบจิกถึงกระดูก ทว่าจักรพรรดิมารลอยอยู่บนอากาศ ซึ่งต่อให้เขาพุ่งเข้าไป ก็เหมือนพยัคฆ์มองฟ้าไม่อาจทำสิ่งใด ได้แต่เพียงขู่คำรามด้วยสายตา

“ลูกสาวเจ้า ถูกจักรพรรดิมารผู้นี้ชมชอบ นับเป็นวาสนาสูงสุดของตระกูลเจ้าแล้ว ติดตามจักรพรรดิผู้นี้ประเสริฐกว่ารัชทายาทขี้เท่อนั้นนับล้านเท่า” จักรพรรดิมารกล่าวอย่างเย็นชา แม้น้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ หากยังนับเป็นการเหยียดหยามฟงเลี่ยถึงขีดสุด

โทสะพุ่งทะลักดันอกแทบระเบิด ฟงหลิงเกิดอารมณ์วูบหนึ่งแผ่รังสีสังหารเข้มข้น

เสียงฝีเท้ารีบร้อนดังเข้ามา พลธนูได้รับคำสั่งด่วนและเร่งรุดด้วยความเร็วสูงสุด พวกเขาน้าวคันธนูเล็งตรงไปที่จักรพรรดิมารและรอคอยคำสั่ง

ทันทีที่ฟงหลิงเห็นหนทางระบายโทสะ เขาก็ตะโกนลั่นสุดปอด หน้าตาทะมึนคล้ำ “มัวลังเลอะไรอยู่อีก ยิงมันเดี๋ยวนี้ ยิงมันให้ตายไปซะ!!”

เยว่หานตงเมื่อได้ยินก็ตระหนก เขารีบตะโกน “ช้าก่อน! ห้ามผู้ใดลงมือวู่วาม!” เขาหันศีรษะมองลงไปและกล่าวอย่างกังวล “องค์รัชทายาท ลูกสาวข้ากำลังอยู่ในมือของมัน ขอโปรดอย่าได้วู่วาม!”

“ฮี่ๆ ฮี่ๆ....” จักรพรรดิมารกอดกระชับเอวบางของเยว่ซือฉี อีกมือหนึ่งลูบใบหน้านางช้าๆ แม้ว่าจะถูกถุงมือเงินกั้นไว้ แต่ยังคงสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวล ปากยกยิ้มด้วยความพอใจ

“รัชทายาทแห่งต้าฟง.... สตรีผู้นี้ จักรพรรดิผู้นี้พอใจเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าขอนำตัวนางไปก่อน หากครั้งหน้าเจ้าแต่งงาน อย่าลืมเชื้อเชิญจักรพรรดิผู้นี้ให้มาร่วมงาน จักรพรรดิผู้นี้จะได้มาหาสตรีที่ต้องตาโดนใจอีก....”

เมื่อสิ้นเสียงลง สายลมก็หอบพัดทันที จักรพรรดิมารกอดเยว่ซือฉีไว้หนึ่งแขน บินลิ่วห่างออกไปประดุจศรสีเงิน หายไปจากครรลองจักษุในพริบตา ราวกับว่าหายลับเข้าไปในหมู่เมฆ

“ซือฉี!!” เยว่หานตงร่ำร้องอย่างเจ็บปวด จักรพรรดิมารผละจากเร็วเกินไป กระทั่งจะตะโกนหยุดไว้ยังไม่ทัน ได้แต่มองนางถูกพาตัวไปอย่างสิ้นหวัง ผู้คนในฉากได้แต่มองโง่งม จักรพรรดิมารร่วงหล่นลงจากฟ้า จากนั้นพุ่งทะยานขึ้นสวรรค์จากไป องครักษ์และยอดฝีมือมากมายล้วนไม่อาจขัดขวาง เพียงมาถึงอย่างเสียเปล่า ในสายตาจักรพรรดิมารนี่ไม่ต่างจากกลุ่มตัวตลก

เขาโผล่มาในอากาศ นอกจากจะบินได้ผู้ใดจะสามารถขัดขวางเขา ทั้งไม่แปลกใจที่ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าของจักรพรรดิมาร ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาคือใคร เพราะแทบไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะจับเขา

“ไล่ตามไปเดี๋ยวนี้! พวกเจ้ายืนโง่อยู่ทำไม ตามไปเร็วเข้า!!”

เป็นครั้งแรกที่บรรดาองครักษ์ได้เห็นโทสะรุ่มร้อนของรัชทายาท ผู้ใดจะกล้าขัดขืนคำสั่ง ต่างพากันเคลื่อนออกไปอย่างตื่นกลัว แต่จักรพรรดิมารได้หายตัวไปจากเส้นขอบฟ้า แล้วจะให้พวกเขาตามอะไร? แล้วตามไปที่ไหน? สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือตามใจรัชทายาท และเร่งเดินออกไป

งานแต่งของรัชทายาทถูกทำลายลงยับอย่างเจ็บช้ำ หากสามปีก่อนเย่หวูเฉินทำลายงานแต่งถูกนับเป็นการตบหน้าฉาดใหญ่ จักรพรรดิมารทำลายงานแต่งครั้งนี้คงถือเป็นการถีบเขาล้มลงและกระทืบซ้ำตรงหน้า ครั้งก่อนยังเป็นการช่วยเหลือพี่สาว แต่ครั้งนี้เพียงเพราะจักรพรรดิมารชอบพอสตรีของเขา มันถึงกับแย่งชิงอย่างไร้ยางอาย และเขา....ทำได้เพียงมองมันแย่งเจ้าสาวไปอย่างหมดหวัง

ความอึดอัดคับข้องจิตทำให้อกแทบแตกออก เกลียดชังจากถูกเหยียดหยามอย่างที่สุด ภาพเบื้องหน้าเริ่มเลือนลง ในหูเสียงรอบข้างกลายเป็นอึงอล ในที่สุดเขาก็กระอักโลหิตออกมา และหงายล้มตึงหน้ามองฟ้า

ผู้คนเข้ามาช่วยเขาอย่างตระหนก เริ่มรู้สึกเสียใจกับรัชทายาทผู้น่าสงสาร ความอับอายร้ายกาจเช่นนี้ไม่ว่าบุรุษใดก็ล้วนยากจะทานทน ไม่ต้องกล่าวถึงรัชทายาทผู้สูงส่ง ทว่า....คงโทษได้เพียงเพราะเขาต้องมาเจอกับจักรพรรดิมาร ตัวตนแกร่งกล้าราวกับเทพ โหดเหี้ยมอำมหิตดุจมาร ทั้งยังลึกลับราวกับภูติผี

หากถ้อยคำสุดท้ายของจักรพรรดิมารยังเป็นเหมือนระเบิดลูกใหญ่ ด้วยคำพูดนี้ลูกสาวตระกูลใดจะกล้าแต่งงานกับรัชทายาทอีก ต่อให้มีคนอยากแต่ง แต่รัชทายาทผู้นี้จะยังมีขวัญกล้าอีกหรือ? นั่นอาจกลายเป็นความอัปยศครั้งใหญ่อีกครา นอกเสียจากว่า สตรีที่ตบแต่งด้วยน่าเกลียดจนไม่อยู่ในสายตาของจักรพรรดิมาร....ไม่งั้นก็แอบแต่งลับๆ? แต่ในอาณาจักรต้าฟงผู้ใดบ้างไม่ทราบว่าจักรพรรดิมารมีหูตาอยู่ทั่วทิศ โลกนี้แทบไม่อาจปิดความลับจากพวกมัน หากใครต้องการข้อมูลลับใด ตราบเท่าที่มีเงินทองมากพอ ไม่ว่าความลับไหนพวกมันก็หามาให้ได้

“พาเขา....ออกไปพัก” บรรยากาศเงียบเชียบแสนอึดอัด ฟงเลี่ยโบกมืออย่างอ่อนแรง ทันทีที่เขาส่งเสียง ผู้คนที่ช่างสังเกตก็พลันตะหนักว่าตั้งแต่ต้นจักรพรรดิมารปรากฎตัวจนกระทั่งจากไป ฟงเลี่ยมิได้กล่าวคำใดๆเลยแม้แต่น้อย

เยว่หานตงกระโดดลงจากหลังคา ก้าวเท้าหนักเร่งออกจากประตู ทันใดนั้นฟงเลี่ยตะโกนเรียกเขาหยุดเสียงเย็น “ขุนพลเยว่ นั่นเจ้าจะไปไหน?”

เยว่หานตงทั่วร่างชุ่มเหงื่อเย็น เขากัดฟันกล่าว “บ่าวผู้ต่ำต้อยจะนำคนไปปิดกั้นทั่วเมืองเทียนฟง สืบหาที่อยู่ของจักรพรรดิมาร และช่วยเหลือซือฉี....”

ฟงเลี่ยโบกมือ สีหน้ากลายเป็นจริงจังยิ่ง เขากล่าวเสียงเคร่ง “อดทนไว้ อย่าไป ข้าแนะนำได้เพียงว่ามันยั่วโทสะของพวกเราเองนั้นดีแล้ว แต่พวกเราอย่าได้ยั่วโทสะมันอย่างเด็ดขาด มันเป็นตัวตนที่น่าสะพรึงยิ่ง....” ฟงเลี่ยจ้องมองใบหน้าตะลึงค้างของเยว่หานตง และกล่าวส่งความนัย “ลูกสาวเจ้าได้รับความชมชอบจากจักรพรรดิมาร กับตระกูลบิดามารดาและภรรยาเจ้า บางทีนี่อาจนับเป็นเรื่องดี”

เยว่หานตงพอได้ยินคำของฟงเลี่ยก็แทบไม่เชื่อหูตัวเอง เขาทำใจเชื่อไม่ลงว่านี่กล่าวออกจากปากของจักรพรรดิ เขากล่าวอย่างแตกตื่น “ฝ่าบาท เหตุใดเรื่องถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้.... ไม่ต้องกล่าวถึงฝ่าบาท กระทั่งบ่าวต่ำต้อยยังสามารถเคลื่อนพลทหารม้านับหลายหมื่นได้ในพริบตา เหตุใดต้องเกรงกลัวจักรพรรดิมารเล็กจ้อยคนนั้นด้วย”

“หลายหมื่น? ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า....” ฟงเลี่ยยิ้มหยันตัวเองอย่างเจ็บปวด “ด้วยพลังของจักรพรรดิมาร ต่อให้เจ้ามีกองทัพนับล้าน หากมันต้องการเอาชีวิตเจ้า เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องยากหรือง่าย?”

เยว่หานตงจ้องมองในคราแรก ทว่าทันใดใบหน้าก็ซีดคล้ำลงฉับพลัน

“มันเรียกตัวเองว่าจักรพรรดิมาร....แม้ไม่ได้สวมใส่ชุดจักรพรรดิเช่นเดียวกับข้า แต่ยามที่มันอยู่ต่อหน้าพวกเรา มันคือจักรพรรดิที่แท้จริง เพราะมันสามารถตัดสินชีวิตและความตายของพวกเราได้อย่างง่ายดาย กระทั่งสำนักมารที่มันควบคุมอยู่ ยังสังหารกองทัพของพวกเราหลายพันได้อย่างเงียบเชียบ ไร้แม้แต่ร่องรอย เพียงชั่วข้ามคืนสามารถทำลายตระกูลเวทย์อันยิ่งใหญ่ ตระกูลหวงฟู และตระกูลไป่ลี่ที่แม้พวกเรายังไม่กล้ายั่วโทสะง่ายๆ พวกมันยังสามารถเสาะหาข้อมูลลับได้ทุกสิ่งราวกับเป็นภูติผี....”

เยว่หานตง “.....”



<<<PREV    .    NEXT>>>