วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 282

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 282 มีชีวิตเหมือนตกตาย

ราวกับพลันตระหนักถึงสีหน้าที่กลับกลายของฟงเลี่ย ฟงหลิงเงยศีรษะขึ้น แลมองสีหน้าที่ซีดขาวของฟงเลี่ย ตั้งแต่หกเดือนก่อนหรืออาจนานกว่านั้น เขาพบว่าบิดาตนผ่ายผอมลงเรื่อยๆ เบ้าตาคล้ำลึกลง ผมหงอกขึ้นถี่แซม ด้วยวัย 50 ปี มีอำนาจและสถานะสูงส่ง เขาไม่น่าชราลงรวดเร็วถึงปานนี้ พวกขุนนางต่างเข้าใจว่าฟงเลี่ยทำงานหนักเพื่อเตรียมการสำคัญ เหล่าบริพารต่างขอร้องให้เขาดูแลสุขภาพ ทว่าเขาเพียงรับคำให้พ้นๆไป ขณะที่ฟงหลิงคลุกคลีฟงเลี่ยทุกวี่วัน ฉะนั้นเขาจึงเห็นความผิดปกติหลายอย่างในช่วงที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่นว่า เขามักเซื่องซึมและเหงื่อออกโดยไม่อาจอธิบาย

“เสด็จพ่อ โปรดรักษาสุขภาพของตนเองด้วย ท่านอยากให้ข้าเรียกหมอหลวงมาช่วยตรวจดูร่างกายหรือไม่?” ฟงหลิงกล่าวอย่างกังวล

คาดไม่ถึงว่าพอฟงเลี่ยได้ยินคำ เขากลับตวาดลั่นด้วยโทสะ “ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าออกไปซะ!”

ฟงหลิงตระหนก เขารีบถอยออกไป ในใจรู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง

ตกถึงกลางคืน ฟงเลี่ยนอนอยู่บนเตียงมังกร คลุมร่างตนเองไว้หนาด้วยผ้าห่ม แม้ตอนนี้มิใช่ฤดูหนาว ทั้งอากาศยังร้อนอบอ้าวอย่างเห็นได้ชัด ทว่าฟงเลี่ยกลับหนาวสั่นอยู่ใต้ผ้าห่ม เป็นเวลาหกเดือนที่เขาไม่อาจหลับนอนได้สนิทใจ ฝันร้ายหลอกหลอนไม่รู้จักจบสิ้น หนึ่งคืนไม่ทราบผวาตื่นกี่ครา เหงื่อเย็นหยดหลั่งเปียกหมอนอยู่เสมอ เพราะเขากำลังหวาดผวาอยู่ในความกลัว

จนกระทั่งถึงเที่ยงคืน ในที่สุดเขาก็ผล็อยหลับไป

ติ๋ง... ติ๋ง... ติ๋ง...

ในความเลือนราง เขารู้สึกคล้ายได้ยินเสียงน้ำหยด เมื่อสติชัดขึ้นได้เล็กน้อย เขาก็เริ่มรู้สึกว่ามีน้ำหยดลงบนใบหน้า ขณะเดียวกัน ในปากก็คล้ายกัดบางสิ่งอยู่ มันทั้งนุ่มและแข็ง สติเขาชัดขึ้นช้าๆ ดวงตาค่อยๆเปิดขึ้น

ในปากมีกลิ่นคาวรุนแรง สายตามองตกลงบนใบหน้า....ไม่ นั่นไม่ใช่ใบหน้า แต่เป็นศีรษะของมนุษย์ มันห้อยอยู่ตรงหน้า แทบจะชิดติดกับหน้าเขา ห้อยมาจากเพดานสูง มีผมกระเซิงยุ่งเหยิง ไร้ดวงตาในเบ้าที่มืดดำ มีเลือดไหลออกมาจากเบ้าตานั้น หยดลงบนใบหน้า จมูก และปากของเขา....

อ๊ากก! ! !

ฟงเลี่ยกรีดร้องราวกับผีพราก พลิกร่างกลิ้งลงเตียงจิตระส่ำ สิ่งที่อยู่ในปากยังตกออกมา กลับปรากฎเป็นมือคนที่ชุ่มเลือด

ฟงเลี่ยหวาดกลัวใบหน้าซีดเผือด ยันร่างบนพื้นเย็นเยียบอาเจียนอย่างเจ็บปวด บริเวณโดยรอบเงียบสนิท ภายในที่ประทับแห่งราชวัง กลับไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงตะโกนกรีดร้องของเขา ขณะที่กำลังรวบรวมความกล้า เสียงฝีเท้าบางก็ดังขึ้น มีเงาทะมึนเคลื่อนมาอยู่ตรงหน้า มันจ้องเขาที่กำลังตื่นตระหนก

ฟงเลี่ยสั่นเทิ้มไปทั่วร่าง จิตใต้สำนึกสั่งร่างให้ไถถอย เมื่อหลังพิงติดเสาก็ชี้มืออันสั่นเทาไปที่มัน “เจ้า.... เจ้า.... ปีศาจ....”

บุคคลที่อยู่เบื้องหน้า สวมใส่หน้ากากเงิน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ถุงมือ หรือรองเท้า ทั้งหมดล้วนแต่มีสีเงินบริสุทธิ์ สายตาที่มองผ่านสองรูบนหน้ากาก กระทบร่างฟงเลี่ยเหมือนไม่ต่างจากมองศพ

หน้ากากเงิน อาภรณ์สีเงิน... จักรพรรดิมาร!

“ปีศาจ? ถูกต้อง ต่อหน้าเจ้า จักรพรรดิผู้นี้คือปีศาจ” จักรพรรดิมารทั้งร่างมิได้ขยับ น้ำเสียงแหบพร่าราวกระดาษทรายขัดดังออกจากปาก ฟังบาดจิตเสียดใจ "แต่สำหรับคนจำนวนมาก บริวารของเจ้านับเป็นปีศาจที่แท้จริง มันกระทำเลวทรามเอาไว้มาก ควักลูกตาเด็กชายหญิงมากกว่า 30 คน ดังนั้น จักรพรรดิผู้นี้จึงควักลูกตาของและตัดมือมันออก”

“นี่ไม่ใช่ความผิดข้า....ไม่ใช่ความผิดข้า....” เมื่อนึกถึงสภาพศพที่ปรากฎ ฟงเลี่ยวตัวสั่นทั้งร่าง เขาทรุดกายคุกเข่าต่อหน้าจักรพรรดิมาร โขกหัวกับพื้นปังๆราวกับโขลกกระเทียม “โปรดละเว้นด้วย ข้าไม่ทำอีกแล้ว....ข้าขอร้อง ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ....”

ไม่ทราบต้องหวาดกลัวเพียงใด จักรพรรดิผู้สูงส่ง ทรงอำนาจ และทะยานย้ำแห่งต้าฟงจึงกระทำการเช่นนี้ได้ จักรพรรดิมารมองดูจักรพรรดิต้าฟงสาบานจริงจังต่อหน้าตน เขามิได้ตอบสนองใดๆ อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิมารก็ต้องนับถือฟงเลี่ยอยู่บางส่วน ฟงเลี่ยก็คือฟงเลี่ย ผ่านมาถึงครึ่งปียังไม่ล้มลงหมดสภาพ จิตใจมิได้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม

จักรพรรดิมารร่วงลงจากฟ้าเมื่อหกเดือนก่อน ปรากฎกายต่อหน้าของฟงเลี่ย นับแต่นั้นฝันร้ายของเขาก็เริ่มขึ้น เขากล้าพูดได้อย่างเต็มปาก ว่าจักรพรรดิมารเป็นตัวตนที่น่าหวาดกลัวที่สุดในผืนแผ่นดิน ตอนที่จักรพรรดิมารปรากฎตัวครั้งแรก เพียงวิธีปรากฎกายก็แทบทำให้เขาเป็นลมแล้ว.... เขาปรากฎกายโดยไม่ทราบที่มา ไร้สัญญาณและสุ้มเสียง เหมือนแหวกออกมาจากอากาศว่าง ฟงเลี่ยตกใจเหมือนเห็นผี เส้นขนชูชันทั่วสรรพางค์ ถอยร่างโซเซแทบร่วงกองกับพื้น

จักรพรรดิมารปรากฎตัวครั้งแรกในยามดึก บริเวณโดยรอบเงียบสงบ เมื่อฟงเลี่ยรวมสติได้ก็เริ่มตะโกน “มือสังหาร” หากเขากลับได้ยินเพียงเสียงสะท้อนของตน ขันทีและนางกำนัลที่เข้าเวรดึก รวมถึงองครักษ์ยอดฝีมือ ไม่มีคนใดที่ขานรับเสียงของเขาสักคน ราวกับว่าโลกนี้เหลือเพียงเขากับเจ้าคนชุดหน้ากากเงิน มันยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้เขาส่งเสียงตะโกนร้อง ประกายแสงเย็นเยียบจากตาทำให้เขาเย็นเยือกจับใจ เขาเริ่มสงสัยว่าตนกำลังอยู่ในฝันร้าย

ในครั้งนั้น ที่น่ากลัวสุดกลับไม่ใช่มันชักกระบี่ หากเป็นความเงียบแห่งความตายที่กำลังกัดทำลายความสงบหนักแน่นของฟงเลี่ยทีละน้อย

นับแต่นั้น ชีวิตของฟงเลี่ยจึงตกอยู่ภายใต้เงาของจักรพรรดิมาร มันอาจปรากฎตัวขึ้นได้ทุกเมื่อ บางครั้งเว้นช่วงหลายสัปดาห์ บางคราเว้นช่วงไม่กี่วัน บางครั้งมาถี่ๆติดกัน แต่ละครั้งที่มันปรากฎตัวขึ้น ไม่ว่าเขาจะตะโกนเรียกเพียงใด ก็ล้วนไม่มีใครขานรับคำ หากเขาพบภายหลังว่าองครักษ์ที่เฝ้านั้นถูกสังหาร เขาคงไม่ต้องกลัวนัก แต่ที่เขาต้องหวาดกลัวยิ่งคือบรรดาขันที นางกำนัล และองครักษ์ทั้งหมดล้วนแต่อยู่ใกล้ๆ หากกลับไม่มีใครมาดูเขาเลยสักคน นี่หากเขาถูกสังหารก็คงไม่มีใครรู้.... ราวกับว่าเจ้าพวกนั้นไม่ได้ยินเสียงใดมาตั้งแต่ต้น!

แรกๆที่จักรพรรดิมารปรากฎกาย เขาเพียงแค่ยืนนิ่งอยู่ ไม่มีแม้แต่จะกล่าวคำ ทำให้ฟงเลี่ยเย็นเยียบหวาดกลัวอย่างไม่เคยเป็น เมื่อจักรพรรดิมารออกไปแล้ว ทั้งเสื้อผ้า เส้นผม และร่างกายล้วนชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็น หัวใจเต้นระส่ำอยู่นานไม่อาจระงับลง ตอนแรกที่จักรพรรดิมารปรากฎชื่อในอาณาจักรต้าฟง เขาแทบไม่สนใจข่าวลือไร้สาระพรรค์นั้น หากเมื่อจักรพรรดิมารปรากฎตัวต่อหน้าของตน เขาจึงได้รู้ว่า ความน่ากลัวของจักรพรรดิมารนั้น พันเท่าจากข่าวลือยังถือว่าน้อยไป

พูดถึงความแน่นหนาของหมู่กององครักษ์ ย่อมยากนักที่จะลอบเข้ามาถึงในวัง กระทั่งยอดฝีมือชื่อดังยังไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้ามา จากคราวที่เย่หวูเฉินสังหารฟงเฉาหยาง ต่อสู้ทัพทหารนับหมื่นจนสุดท้ายถูกกดดันให้โดดลงสู่หุบเหวปลิดวิญญาณ จากครั้งนั้น มีเพียงยอดฝีมือขอบเขตเทวะถึงจะรุกล้ำเข้ามาในราชวังได้ มิเช่นนั้น ย่อมไม่ต่างจากการเอาชีวิตมาทิ้ง

หากจักรพรรดิมารกลับเป็นข้อยกเว้น ทั้งเป็นข้อยกเว้นที่น่ากลัว เพราะเขาราวกับภูติผีและปีศาจ ปรากฎตัวออกมาจากอากาศว่าง ยามจากไปก็หายวับในอากาศเหมือนตอนมา ไร้ร่องรอยหลงเหลือแม้แต่น้อย การเข้ามาเช่นนี้ทำให้กองกำลังแกร่งกล้าหมดความหมายทันที ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเขามีพลังเพียงใด ต่อให้เขาไร้พลังแม้จะหักคอไก่ การคิดจับกุมเขาไว้ล้วนเป็นเรื่องตลกเท่านั้น

ฟงเลี่ยไม่ได้บอกเรื่องจักรพรรดิมารแก่ผู้ใด เพราะเขาตระหนักดีว่าผลลัพธ์ย่อมสร้างความตื่นตระหนกไม่น้อย จากนั้นพวกเขาจะเริ่มสงสัยว่าจักรพรรดิผู้นี้มีสติผิดเพี้ยนไป นำไปสู่การสูญเสียความน่าเคารพ

หลังจากนั้น เขาเข้าบรรทมโดยให้องครักษ์จำนวนมากอารักขาอยู่ข้างเตียง คอยเฝ้าตอนขณะเขาหลับ แต่กระนั้นจักรพรรดิมารก็ยังมาเยือน และสิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวจนหัวใจแทบหยุดนั้น คือ องครักษ์กลับยืนนิ่งอยู่ประจำแหน่ง ไม่มีทีท่าว่าจะขยับแม้แต่น้อย กระทั่งฟงเลี่ยตะโกนสุดเสียงพวกเขาก็ยังไม่ขยับกาย ราวกับว่าพวกเขาไม่เห็นฟงเลี่ยกับจักรพรรดิมารแม้แต่น้อย ทว่าหลังจากที่จักรพรรดิมารหายกลับไปในอากาศ เหล่าองครักษ์ก็กรูมาอยู่ตรงหน้าฟงเลี่ย เอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่าฟงเลี่ยแตกตื่นสิ่งใด ฟงเลี่ยแทบไม่อาจระงับความกลัวที่ท่วมท้นในใจได้

จักรพรรดิมารปรากฎตัวคราแรกเขานิ่งเงียบ เหมือนเป็นเพียงภาพหรือรูปสลักน้ำแข็ง ทำให้ฟงเลี่ยเริ่มสงสัยว่านี่เป็นภาพลวงตา จากการกรำงานหนักจนหลอนไปเอง ทว่าทันใดนั้น จักรพรรดิมารก็ทำให้เขาได้รู้จักปีศาจที่แท้จริง เช่นความหวาดกลัวในคืนนี้ เขาไม่ทราบว่าได้ประสบมาแล้วกี่ครั้ง ในคราแรกที่เจอ เขาตกใจกลัว เมื่อข่มใจสงบลงได้ก็ด่าทออย่างเกรี้ยวกราด ทว่าในครั้งต่อๆมา การทรมานยิ่งน่ากลัวขึ้นนับพันเท่า จิตใจเขาเริ่มพังทลายลงทีละน้อย ต่อหน้าจักรพรรดิมาร เขาไม่เหลือความภาคภูมิแห่งจักรพรรดิ เขาเริ่มอ้อนวานจักรพรรดิมารว่าอย่าได้ปรากฎตัว ถึงขนาดกระทั่งคุกเข่าขอร้อง ในครึ่งปีที่ผ่านมา เขาป่วยไข้อย่างต่อเนื่อง ร่างกายซูบผอมลงทุกวัน หากไม่ใช่เพราะเขามั่งคั่งเงินทอง ใช้ยาชั้นเลิศคอยบำรุงรักษา ตอนนี้เขาคงเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกและป่วยหนักไปนานแล้ว หมอหลวงทั้งหลายในราชวังต่างกล่าวได้เพียงว่า “จักรพรรดิทำงานหนักเกินไป” แม้หมอหลวงบางคนจะรู้ แต่ก็ไม่กล้ากล่าวออกไปว่าสาเหตุที่แท้จริงคือ “หวาดกลัวเกินไป” เพราะพวกเขาเองก็ไม่เชื่อว่าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่มักสงบหนักแน่น จะหวาดกลัวถึงขั้นล้มป่วยได้

แม้ฟงหลิงจะพอเห็นเงื่อนงำบางสิ่ง แต่ทุกครั้งที่สอบถามออกไปก็ต้องถูกฟงเลี่ยดุด่าอยู่ตลอด เขายิ่งเพิ่มความสงสัยในใจขึ้นทวี แต่เขาก็อาจเห็นความผิดปกติอื่นใดนอกจากนั้น

ภายใต้การทรมานอย่างต่อเนื่อง หากมิใช่ฟงเลี่ยมีจิตใจหนักแน่นเกินธรรมดา เขาคงล้มพังไปนานพร้อมสูญเสียจิตใจ แต่กระนั้น ตลอดเวลาทั้งหมดที่ผ่านมา เขาหมดสิ้นความสูงส่งของจักรพรรดิ คุกเข่าคำนับจักรพรรดิมารขอให้ปล่อยไปอย่าได้ปรากฎกายอีกเลย อะไรคือมีชีวิตอยู่เหมือนตกตาย? ตอนนี้เขารู้แจ้มแจ้งแล้ว

“เจ้ามิใช่สิ่งใดนอกจาก ของเล่น ของจักรพรรดิผู้นี้ รอจนกว่าจักรพรรดิผู้นี้เล่นกับเจ้าจนพอใจ วันนั้นข้าจะปล่อยเจ้าไปเอง” จักรพรรดิมารมองมาที่ฟงเลี่ย น้ำเสียงแหบแห้งเย็นเยียบเสียดโสต ทำคนที่ได้ยินให้รู้สึกว่าหัวใจถูกบีบคั้น

ของเล่น.....

ถูกหมิ่นหยามอัปยศให้อับอาย ความรู้สึกต่อต้านพลันพุ่งขึ้น เขาถอยกายและตะโกนกล่าวอย่างสั่นกลัว “เจ้า....เจ้าเป็นใครกันแน่....เจ้ากับข้า....มีความบาดหมางอันใดกัน....”



<<<PREV    .    NEXT>>>