วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 252

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 252 กลับบ้าน (4)

(จารย์มาร์ส : บางคนกลับบ้าน ส่วนบางคนก็ต้องออกจากบ้าน ╮( ╯▽╰) ╭)

“เฉินเอ๋อร์ เจ้ารีบไปพบปู่ของเจ้าก่อน หลังจากที่เจ้าประสบเคราะห์กรรมในครานั้น เขาคิดว่าเพราะตัวเองเป็นคนทำลายชีวิตเจ้า วันๆกล่าวโทษตัวเองอย่างเจ็บปวด เขาลาออกจากราชการเมื่อสามปีก่อน ละทิ้งทุกสิ่งอย่าง สิ้นไร้ชีวิตชีวา ตอนนี้เจ้ากลับมาแล้ว ในที่สุดเขาก็จะได้....” พอนึกถึงเย่หนู่ ในใจของเย่เว่ยก็พลันเจ็บปวด

เย่หวูเฉินพยักหน้า “ท่านพ่อ งั้นเราไปกัน”

สวนของเย่หนู่จัดแต่งอย่างเรียบง่าย เมื่อเทียบสวนของเย่หวูเฉินที่นี่สงบเงียบกว่ามาก หลังจากก้าวเข้ามาก็ไม่เห็นเงาของผู้ใด มีเพียงเสียงเจื้อยแจ้วของนกต่างชนิด

เย่หนู่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เนื้อแข็ง กำลังให้อาหารนกในกรงอย่างจดจ่อ ดูเหมือนการมาของเย่เว่ยกับเย่หวูเฉินนั้นเขาจะไม่ได้ยิน เย่เว่ยโน้มกายลงแล้วค่อยๆเอ่ย “ท่านพ่อ”

“มีอะไรรึ?” เย่หนู่ถามเสียงเบาโดยไม่เงยศีรษะ เขาในยามนี้ชราลงกว่าที่เย่หวูเฉินคาดไว้ สามปีผ่านไป เขากลับดูชราลงมากกว่าสิบปี เย่หวูเฉินอดคิดไม่ได้ว่าการที่เขาเข้าสู่ตระกูลเย่ นับเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขาหรือทำให้เจ็บปวดมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ต้องกล่าวถึงบุคคลเช่นเย่หนู่ ที่ความเจ็บปวดสูงสุดในโลกมิใช่ความตาย หากแต่เป็นความทรมานจากความผูกพัน

“ท่านปู่ ข้ากลับมาแล้ว” ด้วยความละอายใจของเย่หวูเฉิน ทำให้เปล่งเสียงได้เพียงบางเบา ทั้งปลายเสียงยังแผ่วลง ทำชายชราให้ตกตะลึง

เย่หนู่ร่างกายสะท้านวูบ สองมือและร่างกายกลายเป็นค้างแข็ง คนไม่อาจขยับตัว เพียงเสียงเรียกเบาๆก็ทำให้เขาแทบไม่เชื่อหูตน เขานิ่งทื่ออยู่ตรงนั้นราวกับเวลาหยุดลง

ในใจของเย่เว่ยทั้งยินดีและเจ็บปวด ตลอดสามปีที่ผ่าน บิดาเขาโทษว่าตัวเองอย่างสาหัส จ่อมจมระทมทุกข์ทรมาน ราวกับถ่านไฟที่ใกล้มอดดับ เขาคอยมองดูบิดาด้วยหัวใจบีบรัดรวดร้าว

เย่หนู่เงยศีรษะขึ้น ดวงตาสั่นไหวค่อยๆมองไปยังเย่หวูเฉิน ถึงตอนนี้เขายังไม่อาจเชื่อสายตา บุรุษผู้รบราบนหลังม้ามากว่าครึ่งชีวิต โดดเด่นเก่งกล้าด้วยสายตาเฉียบแหลม ผู้คนนับไม่ถ้วนล้วนยำเกรง เป็นขุนพลชราเย่ที่น่าเคารพยกย่อง หากยามนี้ไร้ความสงบสุขุมเหมือนกาลก่อน ดวงตาชราค่อยๆพร่ามัว ในลำคอราวกับมีบางสิ่งจุกอยู่ ริมฝีปากสั่นเครือ กระทั่งเสียงครึ่งคำยังไม่อาจกล่าว

“ท่านพ่อ เฉินเอ๋อร์กลับมาแล้ว! เขายังไม่ตาย! เฉินเอ๋อร์ยังไม่ตาย! เขาร่วงลงสู่หุบเหวปลิดวิญญาณเมื่อในอดีต แต่เขายังไม่ได้ตกตายและมีชีวิตอยู่ ตอนนี้เขามาอยู่ต่อหน้าท่านแล้ว! ท่านพ่อ เฉินเอ๋อร์ยังไม่ตาย!” ข้างๆเย่หนู่ผู้โง่งม เย่เว่ยเปล่งเสียงตะโกนกล่าว ยืนยันกับบิดาว่านี่ไม่ใช่ภาพลวงตา ปลดปล่อยความยินดีที่อัดแน่น

เย่หวูเฉินเอ่ยซ้ำอีกครั้ง “ท่านปู่ ข้ากลับมาแล้ว”

เย่หนู่ราวกับคนที่เพิ่งตื่นจากฝัน สัมผัสทั้งห้าและจิตใจกลับสู่ร่าง สามปีอันยาวนานเขาผ่ายผอมและอ่อนแอลง น้ำเสียงที่พยายามเปล่งออกมานั้นบางเบา “กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว กลับมา....ก็ดีแล้ว”

เขารีบยกมือขึ้นตรงหน้าปาดน้ำตาตน เช็ดน้ำตาชราออกจากเบ้า ทำสายตาให้กลับมาเห็นได้ชัดเจน เบื้องหน้านั้นไม่ใช่ภาพลวงตา ไม่ใช่คนอื่นสวมรอยแอบอ้าง แหวนเทพกระบี่และหนิงเสวี่ยล้วนเป็นข้อยืนยันอันหนักแน่น แม้มิใช่ฝันแต่กลับดูคล้ายภาพลวงตา เขากล่าวเสียงแหบพร่า “....เจ้า เกลียดปู่หรือเปล่า....”

ความเสียใจลึกล้ำ สามปีมีแต่คำโทษกล่าวตัวเองอย่างเจ็บปวด หากไม่ใช่เพราะเขาเกลี้ยกล่อมเย่ฉุ่ยเหยาให้แต่งออกสู่อาณาจักรต้าฟง ไหนเลยจะมีเรื่องนี้เกิดขึ้น เป็นความผิดพลาดร้ายกาจของชีวิต หากไม่ใช่เพราะเขา ไหนเลยเย่หวูเฉินจะตายเพื่อเย่ฉุ่ยเหยาในอาณาจักรต้าฟง เขาเข้าใจว่าการตายของเย่หวูเฉิน คือสวรรค์ลงทัณฑ์ที่เขาทอดทิ้งบุคคลในตระกูล ตลอดสามปีแห่งความเจ็บปวด เขาดูแก่ชราลงนับสิบปี

“เหตุใดข้าต้องเกลียดท่านปู่ด้วยเล่า?” เย่หวูเฉินถามกลับ

เขาเผยยิ้มบางและกล่าว “ทุกชีวิตในอาณาจักรเทียนหลง ทุกผู้คนล้วนอยู่ดีมีความสุข มีอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ขอทานหาเจอได้ยากยิ่ง โจรและขโมยก็มีอยู่น้อยนัก อาณาจักรต้าฟงคอยมองด้วยความอิจฉา รุกรานครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่สำเร็จ ความดีนี้เป็นใครกระทำหากไม่ใช่ท่านปู่? ท่านปู่อาจไม่เคยได้ยินคำกล่าวของผู้คน พวกเขากล่าวว่าหากไร้ท่านปู่ไหนเลยจะมีจักรพรรดิเทียนหลงในวันนี้ ท่านปู่ใช้ครึ่งชีวิตในสงคราม กระทั่งแต่งงานยังอยู่ในสมรภูมิ ช่วยชีวิตชาวเทียนหลงไว้นับไม่ถ้วน นำสันติสุขมาสู่ปวงชน เสียสละกล้าหาญถึงเพียงนี้ มีความดีความชอบอันใหญ่หลวง ด้วยเกียรติยศอันภาคภูมิ ในอาณาจักรเทียนหลงยังมีผู้ใดเสมอเหมือน? อาณาจักรเทียนหลงทั้งเบื้องล่างและเบื้องสูง ไม่มีผู้ใดที่ปู่ของข้าติดค้าง ข้ามีปู่ถึงปานนี้ ยังมีสิ่งใดให้ต้องเกลียดชัง?”

เย่หวูเฉินถอนหายใจคราหนึ่งแล้วกล่าวจริงจังต่อ “ข้าเข้าใจความเจ็บปวดของท่านปู่ในหลายปีที่ผ่าน หากแต่ท่านทำผิดไปสิ่งหนึ่ง คือท่านไม่สมควรชิงชังตัวเอง ท่านจำต้องเลือกระหว่างอาณาจักรกับครอบครัว มีแต่ควรค่าให้คนยกย่อง ส่วนข้าทำไปเพียงเพราะความปรารถนาเห็นแก่ตัว อาณาจักรจะเป็นอย่างไรข้าไม่เคยสนใจ หากจะเกลียด ก็ต้องเกลียดข้าที่หุนหันพลันแล่น ทำให้ท่านพ่อ ท่านปู่ และคนอื่นต้องหัวใจสลาย มีเพียงท่านปู่ต้องเกลียดข้าเท่านั้น ข้าคู่ควรอะไรให้เกลียดท่านปู่? ข้าหวังแต่เพียงท่านปู่จะให้อภัย กับความผิดพลาดร้ายแรงที่ข้ากระทำเอาไว้ หากท่านปู่มีความสุขขึ้นหลังจากนี้ ข้าถึงจะคลายความรู้สึกผิดลง”

ใบหน้าของเย่เว่ยเผยรอยยิ้ม เขาเชื่อว่าถ้อยคำเหล่านี้สามารถคลายปมในใจของเย่หนู่ เย่หนู่ชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตายังมัวด้วยน้ำตา เขาหัวเราะเสียงดังลั่นและลุกขึ้นยืน “สมแล้วที่เป็นหลานชายข้า วาจาน้ำไหลไฟดับของเจ้า ทำผู้คนปฏิเสธไม่ลงอยู่เสมอ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า.....”

ตลอดเวลาสามปี นี่คือครั้งแรกที่เย่เว่ยเห็นเย่หนู่หัวเราะอย่างปลอดโปร่ง ทั้งเขาและเย่หวูเฉินต่างเผยสีหน้าแห่งความสุข ในที่สุดชายชราผู้นี้ก็หลุดพ้นจากความทรมาน ความทุกข์ระทมเจ็บปวด ทั้งหมดพลันสลายไปในอากาศ

เมื่อออกจากสวนของเย่หนู่ หวังเวิ่นชูให้คนจัดเตรียมอาหารที่เย่หวูเฉินชื่นชอบไว้เต็มโต๊ะด้วยความเร็วสูงสุด เมื่อเห็นพวกเขาออกมา นางรีบเข้าหาและกล่าวอย่างห่วงใย “เฉินเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ พวกเจ้าพึ่งกลับมาสมควรจะหิวมาก แม่เตรียมอาหารไว้ให้แล้วรีบไปกินเถอะ ไว้เดี๋ยวสะดวกค่อยคุยกัน”

นางอยากรู้ว่าเย่หวูเฉินประสบสิ่งใดในระหว่างสามปีที่ผ่านมา เย่เว่ยที่อยู่ด้านหลังก็อยากรู้อย่างมากเช่นกัน เคยมีคนมากมายร่วงลงไปในหุบเหวปลิดวิญญาณ บางคนก็ใช้เชือกหยั่งวัด ทว่าความลึกของมันกลับยิ่งไม่อาจคำนวณ อาณาจักรต้าฟงเคยใช้เชือกยาวสามพันเมตรผูกหินหย่อนลงไป แต่ก็ยังไม่อาจหยั่งวัดถึงก้นเหว ด้วยความลึกอันน่ากลัวของมัน การมีชีวิตกลับมาได้นับเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม เป็นปาฏิหาริย์แบบใดที่เกิดขึ้นกับเย่หวูเฉิน?

“นานแล้วที่ไม่ได้ลิ้มรสอาหารของตระกูล ข้าคิดถึงมันมากนัก.... แต่ว่า ข้าอยากไปพบพี่สาวของข้าก่อน” จากนั้นเขาหันไปทางสวนของเย่ฉุ่ยเหยา ยามนี้ข่าวการกลับมาของเขาสมควรแพร่สะพัดไปทั่วเมืองเทียนหลง แต่เย่ฉุ่ยเหยานั้นไม่เคยออกมา ดังนั้นนางจึงยังสมควรไม่ทราบข่าว

“ใช่แล้ว เจ้ารีบไปพบเหยาเอ๋อร์ก่อนเถอะ หลายปีมานี้นาง.... นางต้องดีใจมากแน่เมื่อเห็นเจ้า” หวังเวิ่นชูรีบพยักหน้า

“ข้ากับเสวี่ยเอ๋อร์และทงซินจะไปกันเอง ท่านแม่ช่วยเตรียมอาหารให้ข้านำไปด้วยได้รึเปล่า?” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

คำขอนี้นางจะปฏิเสธได้อย่างไร นางรับคำด้วยความดีใจ ก่อนที่เย่หวูเฉินจะแยกไป เขาหันกลับมาแล้วพลันถาม “เย่หวูหยุนล่ะ?”

เขามักจะเรียกชื่อตรงๆของหวูหยุน แต่หากเป็นไปได้ เขาไม่อยากจะเรียกชื่อของมัน

“เช้านี้เขาออกไปซื้อขายที่ทิศเหนือ อีกไม่นานคงกลับมา ตอนนี้เขาคงได้ยินข่าวว่าเจ้ากลับมาแล้ว” หวังเวิ่นชูกล่าวตอบ

“ซื้อขาย?” เย่หวูเฉินยกยิ้มมุมปาก กล่าวคำคล้ายเสียดสี “มีคนใช้อยู่แต่กลับออกไปเอง ช่างขยันขันแข็งเสียจริง”

หวังเวิ่นชูไม่ได้ยินความหมายอันเหยียดหยัน นางพยักหน้ากล่าวอย่างพอใจ “หลายปีมานี้ตอนที่เจ้าไม่อยู่ ในตระกูลล้วนอับเฉา ทุกสิ่งเป็นหยุนเอ๋อร์คอยจัดการ ทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยทุกวี่วัน ด้วยเขาดูแลจึงไม่มีสิ่งใดต้องห่วง เขายังพูดอยู่เสมอว่าให้วางใจ เด็กคนนี้ช่าง....”

เย่หวูเฉินพยักหน้ายิ้ม หนิงเสวี่ยกับทงซินช่วยกันดันรถเข็นตรงไปยังสวนของเย่ฉุ่ยเหยา เย่เว่ยมองตามหลังด้วยความครุ่นคิด สามปีที่ไม่ได้เจอกัน เย่หวูเฉินอายุครบ 20 ปี แม้จะนั่งอยู่แต่ก็เห็นชัดว่าเขาเติบโตขึ้น ถึงรูปร่างไม่ได้เปลี่ยนไปมาก แต่เป็นผู้ใหญ่อย่างชัดเจน ทว่าความรู้สึกที่สัมผัสได้กลับเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง หากแต่ไม่อาจเข้าใจว่ามันคือสิ่งใด ด้วยเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น

สวนของเย่ฉุ่ยเหยายังคงเดิมไม่มีเปลี่ยน ไม่ทราบกี่ปีแล้วที่สถานที่นี้ไร้ความเปลี่ยนแปลง

ตอนนี้เย่หวูเฉินเข้าไปในห้องนอนโดยตรง ประตูเปิดออกพร้อมกลิ่นหอมโชยอ่อน ภายในห้องไร้เสียงใด รอคอยเขาให้เข้าห้องมา เมื่อประตูปิดพับ ร่างงดงามก็มาอยู่ข้างเขาอย่างรวดเร็ว เอนกายโน้มลง โอบแขนรอบลำคอ ประทับริมฝีปากแดงที่ใบหน้าเขาอย่างอ่อนโยน “เสี่ยวเฉิน ในที่สุดเจ้าก็อยากกลับบ้านเสียที”

“พี่หญิง ท่านไม่กลัวท่านแม่มาเห็นหรือ?” เย่หวูเฉินแตะตรงหน้าที่พึ่งถูกจูบ เขากล่าวด้วยยิ้มบาง

เย่ฉุ่ยเหยาชอบที่เขาเรียกว่าพี่หญิง นางเชื่อว่าพวกตนไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ แต่ทุกครั้งที่เย่หวูเฉินเรียกนางแบบนี้ ในใจจะเกิดความพึงใจอย่างหนึ่งขึ้นมา เป็นความเย้ายวนแห่งเรื่องต้องห้าม

“ไม่กลัว” เย่ฉุ่ยเหยายังยิ้มเล็กน้อย ครั้งหนึ่งเย่หวูเฉินเคยบอกว่านางงดงามที่สุดในยามยิ้ม ต่อหน้ารอยยิ้มของนาง ฉากงดงามล้ำโลกยังอับแสงลง ด้วยเหตุนี้ นางจึงเริ่มเผยรอยยิ้มแก่เขาซึ่งผู้อื่นไม่มีวันได้เห็น ตั้งแต่วันที่เขากลับมา นางก็ไม่มีเหตุผลที่จะโศกเศร้าอีก

“งั้นพี่หญิงก็จูบข้าต่อหน้าท่านแม่สิ” เย่หวูเฉินกล่าวยิ้มๆ

เย่ฉุ่ยเหยาหน้าแดงเรื่อและตีเขาเบาๆ



<<<PREV    .    NEXT>>>