วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 278

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 278 บังคับฆ่าตัวตาย

......

นางไม่ได้ยอมรับเงื่อนไขที่เย่หวูเฉินเสนอ อย่างน้อยตอนนี้ก็ยัง แม้นางฝึกฝนในสำนักจักรพรรดิใต้อย่างดีมาตั้งแต่เด็ก แต่นางก็ไม่อยากวู่วามและเพลี้ยงพล้ำเพราะเย่หวูเฉิน เขาไร้ยางอายเกินไป จึงทำให้นางไม่กล้าลงมือ เพราะการที่เขาเจตนาทำเช่นนี้อาจเป็นหลุมพรางที่ดักนางไม่ให้กลับตัวได้

วันนี้นางลอบเข้ามาอย่างเงียบงัน หากคิดไม่ถึงว่าเย่หวูเฉินกลับรอนางอยู่แล้ว นางตกหลุมพรางมาตั้งแต่แรก ถูกชักจูงไปในทางที่เขาต้องการ ทั้งราวกับว่าเขารู้ทุกคำที่นางจะกล่าว ทำนางอับจนคำพูดในทุกๆครั้ง สุดท้ายเมื่อนางแสดงทีท่าคุกคามออกมา ก็กลับกลายเป็นว่านางถูกเขากดดันซ้ำหนักกว่าเดิม

เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา นางบังเกิดความรู้สึกไร้พลังอย่างลึกล้ำ นางคุ้นเคยกับการควบคุมทุกสิ่งไว้ในมือ ทว่าเขากลับปัดมันทิ้งอย่างง่ายดาย

“ช้าก่อน” เย่หวูเฉินเรียกหยุดนางกะทันหัน หัวเราะกล่าว “ท่านเป็นสตรีเข้าห้องนอนของบุรุษในยามดึกดื่น เห็นแก่ความจริงใจ ข้าจะไม่ให้ท่านกลับไปมือเปล่า ดังนั้น ให้ข้าบอกความลับแก่ท่านอย่างหนึ่งเป็นอย่างไร? เป็นความลับยิ่งใหญ่ของสำนักจักรพรรดิใต้ของท่านเอง!” น้ำเสียงของเย่หวูเฉินหนักแน่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แสดงความองอาจออกมาเล็กน้อย

ฉุ่ยเมิ่งฉานหยุดเท้า แล้วหันกลับมามองเขาอีกครั้ง

“ข้าได้ยินว่าประมุขคนปัจจุบันของสำนักจักรพรรดิใต้ คือบิดาของท่านที่เรียกว่าฉุ่ยหยุนเทียน ทว่าก่อนหน้านี้ ข้าบังเอิญได้ยินข่าวลือที่น่าสนใจยิ่ง.... โอ้ อย่าพึ่งพูดถึงข่าวลือ ข้าขอถามก่อนว่า ท่านเคยสงสัยหรือไม่ว่าเขาไม่ใช่บิดาที่แท้จริง?” เย่หวูเฉินกล่าวราบเรียบ มองดูอาการของฉุ่ยเมิ่งฉานด้วยความสนใจ

อย่างที่เขาคาด นัยน์ตางดงามของฉุ่ยเมิ่งฉานหดลีบอย่างรุนแรง นางมุ่นคิ้วถาม “ท่านหมายความว่ายังไง?”

เย่หวูเฉินเข้าใจชัดแจ้งทันที ภายใต้สายตาที่สั่นไหวฉุ่ยเมิ่งฉาน เขาขยับร่างที่แข็งขัดอย่างเกียจคร้านเปลี่ยนเป็นนั่ง จากนั้นกล่าวไม่ใส่ใจ “เดิมทีข้าไม่มั่นใจ แต่ท่าทีของท่านได้บอกกับข้าแล้ว ท่านเคลือบแคลงสงสัยอยู่จริงๆ....อืม อย่างนั้นข้าขอเดาต่อ น้องชายของท่านที่ชื่อฉุ่ยอู๋เชว ปีนี้คงอายุรุ่นราวเดียวกับข้า หากข้าเดาไม่ผิด ขณะที่สำนักจักรพรรดิใต้ของท่านกำลังเตรียมการครอบงำโลก เขากลับขัดขืนยอมตายดีกว่าทำตามใช่หรือไม่? ดังนั้นเมื่อเหลือเพียงพี่สาวคนโต ท่านจึงต้องแบกรับหน้าที่จัดการ ย้ายมาอยู่ยังเมืองเทียนหลง ขณะที่น้องชายของท่านระหกระเหินเรร่อนไปทั่วใช่หรือไม่?”

ฉุ่ยเมิ่งฉาน “!!”

“ท่านไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะสีหน้าท่านได้บอกหมดแล้ว วางใจเถอะ ข้าไม่ได้แอบสอดแนมท่านแต่อย่างใด ไม่แม้แต่จะเห็นกับตา เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น และที่มาของการคาดเดา....ก็คือข่าวลือที่ว่านั่น” เย่หวูเฉินกล่าวช้าๆอย่างชัดเจน “ข้าได้ยินยอดฝีมือบางคนกล่าวว่า สำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือกำเนิดขึ้นจากเทพจักรพรรดิใต้ และเทพจักรพรรดิเหนือ ในสมัยครั้งบรรพกาล ในกระดูกไหลเวียนด้วยสายเลือดจักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือ ดังนั้นจึงไม่อาจมีคนธรรมดาคนใดที่ทรงพลังเทียบได้ ทว่าผู้ที่สืบสายเลือดบริสุทธิ์ของจักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือ ในหนึ่งรุ่นจะต้องบุรุษเพศเพียงคนเดียวเท่านั้น และคนผู้นั้นย่อมกลายเป็นประมุขของสำนักจักรพรรดิใต้หรือสำนักจักรพรรดิเหนือ เนื่องจาก....ในกระดูกไหลเวียนด้วยสายเลือดบริสุทธิ์ ความภักดีต่อบรรพบุรุษจึงฝังลึกประทับแน่น ไม่มีวันขัดขืนคำสั่งบรรพชน ดังนั้น น้องชายของท่านจึงไม่ลังเลขัดขืนบิดาสุดชีวิตของตน ไม่ปรารถนาฝ่าฝืนคำสั่งของบรรพบุรุษ ทว่าบิดาของท่านกลับ.... โอ นี่คือบิดากับลูกสาวแท้ๆ คือพี่สาวและน้องชายกันจริงๆ? บิดาของลูกสาวกลับกลายเป็นประมุขที่ทะยานล้ำ? หากพี่สาวกับน้องชายเป็นพี่น้องกันจริงๆ เรื่องนี้ก็น่าสนใจยิ่ง ถ้าอย่างนั้นบิดาผู้นั้นคืออะไร? หากว่าเขาคือบิดาตัวปลอม เช่นนั้น....”

เย่หวูเฉินหยุดเสียงลงแค่นั้น นิ่งฟังในความเงียบอย่างชอบอก ฉุ่ยเมิ่งฉานเริ่มหายใจแรง

“ข่าวลือนี้ ผู้ใดเป็นคนบอกแก่ท่าน!” ในใจของฉุ่ยเมิ่งฉานเกิดคลื่นกระเพื่อม หากไม่ใช่เพราะวันนั้นนางแอบฟังบิดากับลุงคุยกันไม่กี่ประโยค วันนี้นางคงไม่สนใจคำพูดของเย่หวูเฉินแม้แต่น้อย ทว่าตอนนี้ คำพูดของเขาแต่ละคำล้วนทำให้หัวใจสั่นไหว ไม่อาจรักษาความสงบนิ่งได้

“ข้าไม่จำเป็นต้องบอกท่าน แต่หากท่านยอมสัญญาข้าก่อน ด้วยเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ บางทีข้าอาจไม่เพียงบอกที่อยู่ของกระบี่หนานฮวง แต่ยังจะบอกท่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย แน่นอน ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อถือคำพูดเลื่อนลอยของข้า เพราะข้าไม่สนใจอยู่แล้ว” เย่หวูเฉินยิ้มชมฉากงดงามที่อยู่เบื้องหน้า มองอกของฉุ่ยเมิ่งฉานกระเพื่อมขึ้นลงอย่างไร้ยางอาย ชื่นชมกับเรือนร่างอันน่ามอง

ฉุ่ยเมิ่งฉานข่มระงับอารมณ์ที่ถาโถม สายตาปราดมองใบหน้าเย่หวูเฉินเล็กน้อย หากยังกล่าวเสียงเบา “ดูเหมือนว่า ที่ข้ารู้สึกมาตลอดจะไม่ผิด ท่านคือบุคคลที่ควรหวั่นกลัว เมื่อถึงเวลาอันควรแล้ว ข้าจะมาหาท่านอีกครั้ง”

ฉุ่ยเมิ่งฉานหมุนกายกลับ ร่างงดงามพริ้วออกไปอย่างเงียบงัน ประตูปิดคืนอย่างเงียบเชียบด้วยเช่นกัน

เย่หวูเฉินหลับตาลง ครุ่นคิดพึมพำออกมา “นานกว่า 20 ปี ต้องทนรับใช้ศัตรูผู้สังหารบิดาตนอย่างเงียบงัน หากเทียบกันแล้ว ยังจะมีสตรีคนใดที่น่าสงสารยิ่งกว่านี้?” เขาเอนร่างลง กอดหนิงเสวี่ยไว้แน่น “ดึกมากแล้วต้องรีบนอน ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้คงนอนถึงเที่ยงแน่”

ฉุ่ยเมิ่งฉานอยู่ในความมืด ยังไม่ทันก้าวออกไปไกลนัก ทันได้ยินเสียงถอนใจกล่าวคำของเขาอย่างคลุมเครือ ทั่วร่างแข็งค้าง ฟันขาวประดุจไข่มุกกัดเม้มริมฝีปาก พริ้วร่างออกห่างไปไกลโดยไม่ได้ปลุกใครในตระกูลเย่

เมื่อนางออกไปไกลแล้ว เย่หวูเฉินที่นอนนิ่งก็พลันเปิดตาขึ้นทันที มุมปากยกเป็นรอยยิ้มลึกลับ หากไม่เกรงใจหนิงเสวี่ยกับทงซินที่นอนอยู่ เขาคงแทบหัวเราะออกมาดังๆ

ขณะเดียวกัน ที่คุกใต้ดินของราชวัง

หลินซานถูกขังในห้องเดียวกับที่เคยใช้ขังหลินเสี่ยว เมื่อตกกลางคืน เขานั่งพิงกำแพงอย่างเหน็บหนาว ไม่มีความง่วงนอนแม้แต่น้อย ที่สกปรกเช่นนี้เขาสามารถอดทน ความหนาวเย็นเขาก็ทนไหว แต่ความเหน็บหนาวในหัวใจไหนเลยเขาจะทนได้

เพียงไม่กี่วัน โลกนี้ราวกับพลิกถล่ม บุตรชายคนโตที่แสนภูมิใจกลับตายลง แต่ความอับอายที่แบกบนบ่าไว้ย่อมไม่มีลบล้าง ตามติดด้วยถูกใส่ความสมบูรณ์แบบ ยัดเยียดใส่หัวของตน สมบูรณ์จนกระทั่งตัวเขาเองยังอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาเป็นผู้ลงมือทำ

วันนี้ แม้แต่พ่อของเขายังไม่เชื่อ ตระกูลหลินกำลังถูกวางแผนใส่ร้าย ทั้งแยบยลจนทุกคนถูกตบตา เขาไม่อาจรู้เลยว่าเป็นฝีมือของผู้ใด

บนพื้นที่อับชื้น ยังเหลือร่องรอยบางจุดที่หลินเสี่ยวฉีกทึ้งผ้าด้วยความคับใจ หลินซานหยิบเศษผ้าจับไว้ในมือ หัวใจรวดร้าว เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าบุตรชายคนโตกลับต้องตายลงเช่นนี้ ตอนแรกที่เขาได้ยินข่าว หลินเสี่ยวก็ถูกจับนำไปคุมขัง ถึงตอนนี้แม้แต่ร่างของเขาก็ยังไม่ได้เห็น

แสงในนี้ริบหรี่เป็นอย่างมาก มีเพียงตะเกียงน้ำมันที่ส่องแสงสลัวอยู่ มียามเฝ้าอยู่หนึ่งคน นั่งเฝ้าเงียบงันขณะหลับยาม

ตอนนี้เอง ประตูกั้นแดนถูกเปิดออก ร่างกำยำก้าวเข้ามาช้าๆ ยามเฝ้าที่หลับอยู่สะดุ้งตื่นลุกขึ้นมาทันที เมื่อเห็นคนผู้นั้นเขาก็ปาดเหงื่อเย็น กล่าวคำด้วยความเคารพ “ใต้เท้าเฮย”

ชายร่างกำยำแขนล่ำผู้นี้ คือเฮยเซียงคนคุ้มกันส่วนตัวของหลงหยิน แม้ยังไม่ทันถึงหนึ่งปี แต่ชื่อของเขาก็เป็นที่รู้จักไปทั่วทวีปเทียนเฉิน หลายคนได้ทราบว่าจักรพรรดิเทียนหลงมีสัตว์ประหลาดอยู่ข้างกาย ด้วยวัย 16 ปีกลับต่อยนักเวทย์ไฟอันดับหนึ่งของอาณาจักรเทียนหลงย่อยยับหมดสภาพ เขาคอยติดตามและกลายเป็นผู้ที่หลงหยินเชื่อใจมากที่สุด อาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นที่เคารพยำเกรงเหนือขุนนางชั้นสูงอื่นๆถึงสามเท่า ผู้คนต่างเรียกเขาว่า “ใต้เท้าเฮย” แม้ว่าใต้เท้าเฮยจะเข้าวังมาได้เกือบปีแล้ว แต่ยังไม่อาจขัดเกลาความโง่งมและชนบทออกจากร่างได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครกล้าดูหมิ่นเขา

เฮยเซียงยิ้มทักทาย ยามผู้นั้นก้าวเข้ามาแล้วกล่าวด้วยความเคารพ “ใต้เท้าเฮย ไม่ทราบมีคำสั่งใดท่านถึงได้มาดึกดื่นเช่นนี้?”

เข้ามาในยามวิกาล ย่อมไม่ชอบมาพากลเป็นแน่

“ฝ่าบาทให้เจ้ามาพาข้าออกไปหรือเปล่า?” หลินซานยืนขึ้น กล่าวอย่างไร้ชีวา เขาไม่คิดว่าหลงหยินจะขังเขาไว้ไม่ถึงหนึ่งคืนแล้วปล่อยออกไปง่ายๆ

“เปล่าๆ” เฮยเซียงปฏิเสธทันควัน มือสอดเข้าไปในอกเสื้ออยู่พักหนึ่ง จากนั้นนำสิ่งที่ดูเหมือนขวดเล็กๆออกมา แล้วสอดมือผ่านลูกกรงยื่นให้ “ฝ่าบาทให้ข้านำสิ่งนี้มาให้ท่าน บอกว่าให้ท่านดื่มลงไป”

หลินซานมองที่มัน ม่านตาหดวูบอย่างรุนแรง สีหน้าเปลี่ยนไปทันที “ผง....ผงผนึกใจ!? เจ้า.... ฝ่าบาท.... ฝ่าบาทอยากให้ข้า ฆ่าตัวตายอย่างนั้นเหรอ?”

หัวใจของหลินซานเย็นวาบ เขาคิดว่าจักรพรรดิส่งเฮยเซียงที่เชื่อใจที่สุดมาที่นี่เพื่อช่วยเขาอย่างลับๆ คิดไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่เฮยเซียงนำมา กลับเป็นผงผนึกใจที่ใช้สังหารคน!

“....ฝ่าบาทน่าจะหมายถึงอย่างนั้น เขายังบอกอีกว่าหากท่านไม่กินมันลงไป ให้ข้าทุบศีรษะของท่านจนแตก เขายังบอกให้ท่านเลือกเองอีกด้วย” เฮยเซียงจับศีรษะและกล่าวอายๆ เพียงมองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าเจ้าหนุ่มนี่ไม่ใช่คนประเภทโกหก แม้แต่หลงหยินยังไม่สงสัยเขา หลินซานยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะแคลงใจในคำพูดเขา

“ฝ่าบาทยังพูดอะไรอีก?” หัวใจของหลินซานราวกับถ่านไฟที่มอดดับ สายตามองจ้องยังขวดที่บรรจุผงผนึกใจ เขาแทบถามออกมาโดยไม่รู้ตัว จักรพรรดิอยากให้เขาตาย.... เขาแทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือความจริง.... เขาถูกใส่ความ หรือต่อให้ไม่ใช่ถูกใส่ความ เมื่อเห็นแก่ความดีความชอบที่ตระกูลหลินภักดีมาตลอดชั่วรุ่น ต่อให้มีโทษร้ายแรงก็ย่อมไม่ถึงกับตาย! ยิ่งกว่านั้น เมื่อวานจักรพรรดิยังบอกว่าเองจะคุมขังชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีการประหาร....

“เอ่อ....” เฮยเซียงคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ฝ่าบาทปลุกข้าขึ้นมาตอนที่หลับอยู่ เขาพูดอยู่หลายอย่าง....อืม ใช่แล้ว รู้สึกเหมือนจะได้ยินเขาพูดว่า ‘ในเมื่อเลี้ยงสุนัขไว้ไม่เชื่อง เช่นนั้นก็วางยาฆ่าทิ้งเสีย วันหน้าจะได้ไม่หันมาแว้งกัดเจ้านาย’ ฝ่าบาทพูดไว้อย่างนี้ นี่หรือว่า....สุนัขที่ฝ่าบาทหมายถึงคือใต้เท้าหลิน? ทำไมเขาต้องพูดถึงท่านแบบนั้นด้วย?” เฮยเซียงถามด้วยความงุนงงเต็มอก



<<<PREV    .    NEXT>>>