วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 273

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 273 แหกคุก

....

นี่คือผ้าปักที่หลงฮวงเอ๋อร์พยายามทำให้เขาเมื่อคราวเดินทางลงใต้ ในครั้งนั้น เพียงมองแว็บเดียวก็เพียงพอทำให้เขารู้สึกตระหนก กระทั่งอยากลืมก็ไม่อาจลืมลง เมื่อเขาเอ่ยถึงมันเมื่อครู่ที่ผ่านมา หลงฮวงเอ๋อร์อับอายอยู่เป็นเวลานาน นางไม่ใช่เด็กไม่รู้ความเช่นอดีต จึงรู้ว่า ‘งานปัก’ ชิ้นนี้น่ากลัวเพียงใด ทว่ามันเป็นของสิ่งแรกที่นางทำให้เขา ดังนั้นนางจึงเก็บรักษามันไว้ไม่กล้าทำลายทิ้ง

เหนือผ้าปักเป็นรูปสองบุคคล....หากมันเรียกแบบนั้นได้นะ หลังจากที่หลงฮวงเอ๋อร์อธิบายแก่เย่หวูเฉินอย่างเขินอาย เขาก็พอเข้าใจได้อย่างยากเย็นว่ามันคือรูปสองคนยืนจับมือกันอยู่ เขาถือมันไว้ในมืออย่างระวัง ไม่สำคัญว่าผ้าปักนี้จะดีหรือแย่ เพราะนางทำขึ้นเพื่อเย่หวูเฉิน ปักออกมาจากหัวใจสาวน้อยที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสา

เพียงออกมาถึงประตูราชวัง คาดไม่ถึงว่าจะพบกับหลงเจิ้งหยางที่ใบหน้าหดหู่ ทันทีที่เห็นเย่หวูเฉิน คราแรกเขาจ้องมอง จากนั้นใบหน้าฉายความดีใจ เขาตรงเข้ามาหาและกล่าว “น้องเย่ ไม่ได้พบกันเสียนาน วันก่อนได้ยินว่าเจ้ากลับมา แต่ข้ากลับไม่อาจไปเยี่ยมเจ้าได้ ร่างกายของเจ้า....เป็นอย่างที่พวกเขาพูดจริงหรือ?”

เย่หวูเฉินยิ้มรับอย่างสงบ ไม่ทราบคิดสิ่งใดอยู่ เขาถามกลับ “พี่ใหญ่หลง ที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง?”

หลงเจิ้งหยางยิ้มขื่นและกล่าวตอบ “ไม่นึกเลยว่า ในปีนั้นเจ้าอาศัยความโกรธ บุกทะลวงเข้าสู่อาณาจักรต้าฟงเพื่อพี่สาว....” เขาส่ายศีรษะตัวเองช้าๆ “เจ้าคงไม่เข้าใจหรอกว่า ข้าอยากมีพลังแกร่งกล้าเหมือนเจ้าเพียงใด”

“ทุกคนล้วนมีทางเดินเป็นของตัวเอง ไม่ว่าพี่ใหญ่หลงจะเลือกเส้นทางใด ข้าก็พร้อมสนับสนุนท่าน หากข้าเป็นท่าน ข้าจะไม่ลังเลอีก” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

สีหน้าของหลงเจิ้งหยางซับซ้อน เขากล่าวอย่างผิดหวัง “แต่ข้าไม่อาจเทียบเจ้าได้ หากข้าได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้า แม้ต้องแลกด้วยอายุขัย 10 ปีข้าก็ยอม ข้ารู้ตัวว่าไม่คู่ควรเกิดมาในตระกูลจักรพรรดิ”

“เพื่อตัวเองแล้ว ท่านเคยกระทำบ้าบิ่นกี่ครั้ง? หากท่านไม่คิดประสบความโหดร้ายในชีวิตเลย เมื่อถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต บางทีอาจมีแต่ความเสียใจ แม้ชีวิตเป็นผู้อื่นมอบให้ แต่ไม่อาจใช้กำหนดตนเองได้ เพราะชีวิตนี้เป็นของเรา ข้าได้พูดทุกสิ่งไปแล้ว ข้าขอตัวก่อน” เย่หวูเฉินกล่าวคำ เมื่อพยักหน้าให้ก็ออกจากราชวังทันที

หลงเจิ้งหยางสายตามองตาม ในสมองทวนคำซ้ำๆที่เขาพึ่งพูด ในที่สุดหลงเจิ้งหยางก็ถอนใจยาว แล้วเดินกลับไปด้วยความหดหู่

ถ้อยสนทนาของพวกเขาแน่นอนว่าไม่ธรรมดา แต่ถึงแม้จะมียามเฝ้าบริเวณใกล้ๆยืนนิ่งฟังอยู่ พวกเขาก็ไม่ได้ฉลาดเท่าใดนัก

ระหว่างทางกลับบ้าน เย่หวูเฉินถอนหายใจ “เขาพูดถูก เขาไม่ควรเกิดมาในตระกูลจักรพรรดิ ยิ่งไม่เหมาะต่อการเป็นรัชทายาท หรือจักรพรรดิเลย.... ทั้งยังไม่อาจเป็นมิตรสหายแท้จริงต่อกัน แต่ว่า....เสวี่ยเอ๋อร์ อย่างไรก็ตามพวกเราติดค้างเขาไว้มาก ข้าไม่ต้องการเป็นหนี้ต่อผู้ใด อย่างน้อย....ข้าจะทำให้เขาได้มีชีวิตตามที่ปรารถนา”

“ท่านพี่ วันนี้ท่านไม่ได้ไปหาพี่หญิงฉุ่ยโหรว นางจะเป็นห่วงเอามากไม่ใช่หรือ?” หนิงเสวี่ยถามเตือน

“อืม ถ้างั้น พวกเราไปบ้านพี่หญิงฉุ่ยโหรวของเจ้ากันเถอะ ไปทานมื้อเย็นที่นั่นกัน”

“เยี่ยมเลย ข้าชอบทานอาหารที่พี่หญิงฉุ่ยโหรวทำที่สุด” หนิงเสวี่ยกระโดดปรบมือด้วยความดีใจ

...........

...........

ยามคืนเดือนมืด กระแสลมกรรโชกในคืนสังหาร

ฟุ่บ....ฟุ่บ....

มีเสียงบางสองสายที่ไม่อาจได้ยิน เหนือคุกใต้ดินยามเฝ้าสองคนมีเส้นสีแดงปรากฎบนลำคอ ดวงตาพวกเขาเหลือกขึ้น ร่างกายอ่อนยวบลง สองร่างในชุดและผ้าปิดหน้าดำแล่นลิ่วออกมาจากความมืด คว้าร่างสองยามเฝ้าไว้ไม่ให้ล้มลงเกิดเสียง

ท้องฟ้าไร้แสงดาว ภายนอกเป็นผืนดำ เป็นช่วงมืดก่อนรุ่งสาง แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็นช่วงที่มืดที่สุด ในคุกใต้ดินมีแสงริบหรี่ นี่คือสถานที่กักขังผู้ต้องอาญาหนัก มียามเฝ้าคุ้มกันหนาแน่น อย่างน้อยสองคนในทุกสิบก้าว และทุกสามสิบก้าวจะมีประตูเหล็ก ทว่าสองเงาที่บุกเข้าประตูคุกใต้ดิน ฝ่าดงยามเฝ้าและสังหารเข้าไปเรื่อยๆ....กลับไม่เกิดเสียงดังให้คนรู้ตัวแม้แต่น้อย

“กริ๊ก” เกิดเสียงคราหนึ่ง ประตูเหล็กถูกไขโดยกุญแจที่ได้จากยามเฝ้า จากนั้นมีบางอย่างหายวับเข้าประตูไป สองเงาร่างพุ่งผ่านแสงสลัวราวกับภูติผี

คุกใต้ดินมีการป้องกันแน่นหนา ไม่เพียงมียามเฝ้ามากมาย แต่ยังมีห้องลับอยู่หลายแห่ง ด้วยพลังเหนือล้ำ แม้ในหมู่ยามเฝ้ามียอดฝีมือระดับ10หลายคน แต่พวกเขาก็ถูกสังหารทันทีด้วยเงาร่างนั้น ไร้เวลาให้ตั้งตัว ไม่ต้องกล่าวถึงการขัดขืน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงล้มลงอย่างเงียบงัน

ทั้งสองเงานั้นเข้าคุกใต้ดินอย่างสะดวกราวกับเข้าบ้านตัวเอง เมื่อเข้าไปถึงลึกสุด ในที่สุดก็พบกับเป้าหมาย

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยสง่างาม หลินเสี่ยวผู้สุภาพและฝึกฝนดียามนี้ผมเผ้ากระเซิงอยู่บนพื้นที่ชื้นแฉะ แม้มีฟางคลุมพื้นอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่แทบเรียกได้ว่าเป็นโคลน เสื้อผ้าราคาแพงของเขาถูกละเลงด้วยโคลนตม

หลินเสี่ยวถูกแยกขังเดี่ยว หลงหยินต้องการให้คนรู้เรื่องนี้น้อยที่สุด ในความมืดมีเสียงดีดหินกรีดอากาศ มันพุ่งเข้าตัดลำคอยามเฝ้าราวกับคมมีด ยามเฝ้าส่งเสียงเจ็บปวดออกมาพร้อมกับร่างที่ร่วงลงพื้น

หลินเสี่ยวเงยศีรษะขึ้นเมื่อได้ยินเสียง มองคนชุดดำทั้งสองหยิบกุญแจออกจากตัวยามเฝ้า พวกเขาไขประตูเหล็กเปิดเข้ามา เพียงไม่ถึงสามวัน หลินเสี่ยวราวกับว่าแก่ลงนับสิบปี ใบหน้ามีแต่ริ้วรอย เบ้าตาคล้ำลึก ดวงตาไร้แววชีวิต ไม่อาจบอกได้ว่าเขาถูกลงโทษทรมานเพียงใด ไม่เพียงเขาต้องตายเท่านั้น แต่ชื่อเสียงยังถูกทำลาย ถูกผู้คนเหยียดหยาม แม้คนอื่นรู้ว่าเขาถูกใส่ความ แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ บางทีทุกคนอาจกระดาก ที่เจ็บปวดยิ่งกว่าก็คือ เขามีสภาพเช่นนี้โดยไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นอย่างไร และทำไมถึงเกิดขึ้น

ไม่รู้เลยว่า โลกนี้จะยังมีคนที่น่าสลดรันทดเท่ากับเขาอยู่อีกหรือไม่

“นายน้อย รีบไปเร็วเข้า” สองคนชุดดำเดินเข้ามา ช่วยกันประคองแขนเขาขึ้น กลิ่นฉุนที่แผ่กระทบ ทำให้พวกเขาต้องลอบขมวดคิ้ว

“ไม่....ข้าไม่ไป หากข้าหนี ก็เท่ากับว่าข้ายอมรับว่าตัวเองผิด ข้าจะหนีไม่ได้....” แม้เขาไม่รู้ว่าสองบุคคลนี้เป็นใคร แต่กล้าเสี่ยงตายเพื่อมาช่วยเขา สมควรมีแต่คนในครอบครัวเขาเท่านั้น

“นายน้อย ท่านต้องไป จักรพรรดิรู้อยู่แก่ใจว่าท่านถูกจัดฉาก ทว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากประหารท่าน.... หากท่านตายจะไม่มีวันได้ล้างมลทิณ ทั้งจะตายโดยเปล่าประโยชน์.... นายน้อย หากท่านไม่คิดถึงตนเอง ก็โปรดคิดถึงนายท่าน นายท่านภักดีต่อจักรพรรดิมาทั้งชีวิต เหตุใดเขาต้องเสี่ยงทำเช่นนี้ท่านไม่รู้เลยหรือ? นายน้อยคนรองขาพิการ ทั้งอารมณ์ยังเดือดดาลง่าย ยิ่งกว่านั้นหมอหลวงยังกล่าวว่าเขาเป็นหมัน หากนายน้อยตายไปอีกคน ตระกูลหลิน....จะไม่มีใครสืบทอดอีก! นายน้อย ไปกับพวกเราเร็วเข้า หนีไปให้ไกล ปิดบังชื่อแซ่ตัวเอง แต่งงานแล้วให้กำเนิดทายาท อย่าให้ตระกูลหลินต้องจบสิ้นลงเพราะเรื่องนี้!” ฟังจากเสียงของคนชุดดำที่กล่าว ดูเหมือนเขาจะเป็นชายวัยกลางคน

ดวงตาไร้ชีวิตของหลินเสี่ยวกลับมีแววขึ้นมาในที่สุด ครั้งนี้เมื่อหนีไปแล้ว เขาย่อมไม่อาจกลับมาเมืองเทียนหลงได้อีก กลายเป็นการยืนยันว่าข่าวลือนั้นเป็นความจริง แต่หากไม่หนีไป.... ไม่เพียงเขาจะตายเท่านั้น แต่ข่าวลือดังกล่าวก็จะยังคงอยู่ไม่ต่างกัน

คนชุดดำทั้งสองพยักหน้า คนหนึ่งยืนประคองแขนของหลินเสี่ยว “เร็วเข้า นายท่านเตรียมการไว้ให้ท่านที่ทิศเหนือ หากไปถึงแล้วให้มุ่งหน้าขึ้นเหนือต่อทันที”

คนชุดดำกล่าวขณะนำหลินเสี่ยวออกห้องขังอย่างรวดเร็ว ทว่าก่อนออกไปนั้น คนชุดดำอีกคนคล้ายจะมองไปที่ยามเฝ้าคนหนึ่งที่ร่วงอยู่บนพื้น ที่ลำคอเปรอะเปื้อนเลือด คนชุดดำเผยยิ้มที่ไม่อาจสังเกต

แม้พวกเขานำหลินเสี่ยวออกมาด้วย แต่ตอนออกก็ใช้เวลาเร็วกว่าตอนเข้า เพราะพวกเขาไม่ต้องระวังสิ่งใด อย่างไรก็ตาม พวกเขามีเวลาให้เข้าออกเพียงสั้นๆ ดังนั้นจึงถูกตรวจพบในที่สุด เมื่อพวกเขาออกมาถึงปากประตู พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องอย่างตื่นตระหนก “มือสังหาร! มีมือสังหารบุกรุกเข้ามาในคุกใต้ดิน!!”

ยามเฝ้าที่อยู่หน้าคุกเดินตรวจตรามาพบในที่สุด หากกลับพบว่าคนชุดดำทั้งสองไม่ได้สับสนแม้แต่น้อย พวกเขาพาหลินเสี่ยวเหินร่างขึ้นฟ้า เหยียบลงบนหลังคาสูงในความมืด เมื่อพวกเขาจากไปก็มีคนกลุ่มใหญ่ถืออาวุธเร่งรุดมาที่คุกใต้ดิน

ยามนี้ ท้องฟ้าเริ่มสว่าง อรุณรุ่งใกล้มาถึง พวกเขาพาหลินเสี่ยวเหินร่างขึ้นลงมุ่งไปทางเหนือ พวกเขาใช้ความเร็วออกเต็มที่โดยไม่สนว่าจะถูกพบตัว ความเร็วเหนือล้ำของพวกเขาทำให้หลินเสี่ยวแตกตื่นในใจ สายลมเย็นพัดผ่านหูอย่างต่อเนื่อง สงสัยว่าตระกูลหลินมีตัวตนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใด

เมื่อพวกเขาออกพ้นราชวัง ก็เห็นได้ชัดว่าในนั้นเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ พวกเขามุ่งหน้าไปทางเหนือต่อ ตรงทะลุออกจากประตูเมือง ไปยังสถานที่ที่จัดเตรียมไว้ถัดออกไปสิบลี้ ที่นั่นมีม้าผูกไว้กับต้นไม้

ทั้งสองแกะเชือกที่ผูกมือหลินเสี่ยวออก “นายน้อย พวกเขาคงตรวจพบแล้ว บางทีอาจจะไล่ตามมาถึงที่นี่ ตอนนี้จะชักช้าไม่ได้แล้ว นายน้อยรีบหนีไปเร็ว พวกเราจะรั้งอยู่ตรงนี้ หากพวกเขาไล่มาพวกเราจะหยุดไว้ให้ นายน้อยโปรดวางใจได้”

คนชุดดำกล่าวขณะที่แกะห่อสัมภาระที่ผูกติดกับเอวออก จากนั้นส่งให้หลินเสี่ยว “ข้างในนี้มีตั๋วเงิน สมควรเพียงพอให้นายน้อยใช้จ่ายได้ทั้งชีวิต มีทั้งเสื้อผ้าอาหารแห้งและของที่นายน้อยแทบไม่ทิ้งห่างกาย ยิ่งกว่านั้นยังมีจดหมายของนายท่าน โปรดเดินทางอย่างระวัง และอย่าหยุดพักได้จะเป็นการดี หลังจากมั่นคงอยู่ทางเหนือแล้ว ให้เผยตัวน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผู้คนทางเหนือย่อมไม่เคยเห็นท่าน เมื่อนายน้อยเติบโตขึ้นและไม่มีใครกล่าวถึงท่านแล้ว นายท่านจะลอบส่งคนไปพาท่านกลับมา ท่านโปรดรักษาตัวด้วย!”

หลินเสี่ยวรับห่อสัมภาระ ลังเลเล็กน้อยและถาม “พวกท่านทั้งสองเป็นใคร?”

สองคนชุดดำมองหน้ากัน หนึ่งในพวกเขาหัวเราะกล่าว “พวกเราติดตามนายหัวชรามาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยเปิดเผยตัว พวกเราคอยดูนายน้อยเติบโตขึ้นแต่เล็ก ด้วยความหลักแหลมของนายน้อย ท่านคงเข้าใจว่าหากตระกูลยิ่งใหญ่ต้องการหยัดยืนอย่างมั่นคง จำเป็นต้องมีด่านป้องกันสุดท้ายที่ไม่เปิดเผยต่อผู้ใด การดำรองอยู่ของพวกเรา แม้กระทั่งจักรพรรดิยังไม่รู้ ไม่อย่างนั้นไหนเลยพวกเราจะช่วยนายน้อยออกมาได้ในวันนี้ หลังจากที่นายน้อยกลับมาในภายหน้า พวกเราปรารถนาจะเป็นแขนขวาให้กับนายน้อย”

หลินเสี่ยวเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง เขาพยักหน้าแล้วขึ้นบนหลังม้า ประสานมือคารวะไว้ตรงอก “ขอบคุณผู้อาวุโสทั้งสอง หลินเสี่ยวขอกล่าวคำลา รบกวนพวกท่านช่วยแจ้งกับท่านพ่อและท่านปู่ด้วย ว่าข้าหลินเสี่ยวแม้จะต้องเดียวดาย แต่ไม่มีวันทำให้ตระกูลหลินเสียชื่อ ข้าต้องลาแล้ว!”

หลินเสี่ยวไม่รั้งรออีก กระชับสัมภาระ หวดแส้ม้าออกวิ่งฝุ่นตลบ

สองคนชุดดำมองเขาจนออกห่างไปไกล กระทั่งไม่ได้ยินเสียงเกือกม้าอีก พวกเขาจึงดึงผ้าปิดหน้าออก เผยใบหน้าของสองวัยกลางคน คนหนึ่งเป็นบุรุษส่วนอีกคนเป็นสตรี มีอายุประมาณ 40-50 ปี เมื่อนำผ้าปิดหน้าออกแล้ว พวกเขาก็ถอดชุดดำออก พวกเขาไม่ได้ทิ้งมันไปแต่พับเก็บไว้ในถุงสัมภาระสีดำ

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ พวกเขาหันมองหน้ากัน ปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มลึกลับ หากตอนนี้พวกเขาอยู่ในเมือง จะต้องมีคนส่งเสียงขึ้นว่า “โอ้ นั่นพ่อแม่ของเฮยเซียงผู้คุ้มกันจักรพรรดิไม่ใช่หรือนั่น เห็นเดินเที่ยวอยู่ในเมืองเป็นประจำ เมื่อก่อนยังผอมบางอยู่เลย ตอนนี้ดูเปล่งปลั่งเชียว”



<<<PREV    .    NEXT>>>