วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 254

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 254 หัวใจของฉุ่ยโหรว (2)

เย่หวูเฉินกับฮั่วเจิ้นเทียนนั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังตระกูลฮั่ว หากไม่ทำเช่นนี้ ผู้คนคงได้มุงมองเต็มท้องถนนแน่

ในรถม้า ฮั่วเจิ้นเทียนมองดูรถเข็นที่ไม่เคยห่างกายของเย่หวูเฉิน เขาอดไม่ได้ที่จะถาม “เจ้าหนู เจ้ากลับออกมาได้ยังไง? แล้วตอนนั้นเจ้าใช้กระบี่ผ่าร่างเทพสงครามจริงๆเหรอ?”

ในอดีตคำเล่าขานแพร่กระจายทั่วทวีปเทียนเฉิน คนที่เป็นประจักษ์พยานมีอยู่นับไม่ถ้วน นึกถึงแล้วเขายังไม่อาจเชื่อลง เท่าที่ฮั่วเจิ้นเทียนรู้จักกับเย่หวูเฉิน เมื่อพิจารณาดูก็ยากที่จะทำใจเชื่อ

“ได้กลับออกมาก็นับว่าดีแล้ว ส่วนจะออกมาได้อย่างไรล้วนไม่ใช่สิ่งสำคัญ” เย่หวูเฉินตอบเลี่ยงๆ เขาเงยหน้าขึ้นกล่าวด้วยความสลดใจ “ฟงเฉาหยางถูกข้าสังหารโดยแท้ เขาตายส่วนข้ากลับรอด ในเมื่อยังไม่ถึงจุดจบของข้า เช่นนั้นข้าจะพลิกฟ้าเปลี่ยนเมฆ”

พลิกฟ้าเปลี่ยนเมฆ!?

เพียงวาจาบางเบา ก็ทำให้หัวใจของฮั่วเจิ้นเทียนไหววูบ

เขารู้สึกได้เช่นเดียวกับเย่เว่ย เย่หวูเฉินเปลี่ยนไปมากจากสามปีก่อน ถึงร่างกายของเขายามนี้จะอ่อนแอ แต่กลับแผ่ความรู้สึกที่ทำให้เขากังวล เมื่อพบว่าเย่หวูเฉินไม่ยอมอธิบายต่อ เห็นชัดเจนว่าเขาบอกได้เท่านี้ ฮั่วเจิ้นเทียนจึงไม่ถามเซ้าซี้อีก เขากล่าวดุดัน “ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใดก็ช่าง สิ่งสำคัญคือห้ามเอาชีวิตไปทิ้ง ครั้งก่อนที่เจ้าตกตาย รู้หรือเปล่าว่าทำร้ายคนอื่นไปแค่ไหน เจ้าไม่เคยจำคำของบิดาผู้นี้! หากไม่ใช่เพราะร่างกายของเจ้าปลกเปลี้ย บิดาคงเลาะกระดูกของเจ้าออกมาแล้ว!”

“ข้าทราบแล้ว” เย่หวูเฉินพยักยิ้มตอบ “วางใจได้ จากนี้ไปจะไม่มีผู้ใดเอาชีวิตข้าได้อีก”

น้ำเสียงยังคงแผ่วเบา หากในความเบานั้นกลับแฝงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ฮั่วเจิ้นเทียนทั้งสงสัยและหวั่นเกรง สามปีมานี้เขาประสบสิ่งใด? ในระหว่างตกตายแล้วเกิดใหม่เขาไปรู้แจ้งสิ่งใดมา?

เย่หวูเฉินไม่ได้พาหนิงเสวี่ยกับทงซินมาด้วย เขาให้พวกนางอยู่เป็นเพื่อนกับเย่ฉุ่ยเหยา เมื่อลงจากรถม้า ฮั่วเจิ้นเทียนดันรถเข็นผ่านประตูด้วยมือเดียว เขาไม่ได้มือเบาเหมือนเช่นหนิงเสวี่ยและทงซิน เย่หวูเฉินโงนเงนบนรถเข็นแทบจะร่วง เพียงเข้ามาในตระกูลฮั่ว สายตาของทุกผู้ก็ตวัดมองมาที่เย่หวูเฉิน ทุกคู่ดวงตาเบิกกว้าง ปากอ้ากลมโต แต่ด้วยมีฮั่วเจิ้นเทียนอยู่ข้างๆ บรรดาคนใช้จึงไม่กล้าส่งเสียง

ฮั่วเจิ้นเทียนเคลื่อนเย่หวูเฉินไปหน้าประตูห้องของฮั่วฉุ่ยโหรว เคาะประตูห้องแล้วตะโกน “ยอดยาหยี” เขากระแทกประตูเปิด ผลักส่งเย่หวูเฉินเข้าไป แล้วรีบปิดประตูปัง ถลาออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง พอห่างออกมาได้หลายเมตรก็ระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก แหงนหน้ามองฟ้าแล้วพึมพำ “ดีจริงๆ....แม่ของนังหนู เจ้าเห็นหรือเปล่า สวรรค์ส่งความสุขมาให้ลูกสาวพวกเราแล้ว....”

ฮั่วฉุ่ยโหรวอายุครบ 19 ในปีนี้ ไม่ใช่หญิงสาวไร้เดียงสาหรือขี้อายเหมือนแต่ก่อน เส้นผมที่สวยงามหากดูแห้งลง กระทั่งอาภรณ์ที่สวมใส่ยังดูธรรมดา หญิงสาวยังไม่ทันแต่งงานกลับดูคล้ายสตรีออกเรือน หากความละเอียดอ่อนที่ฝังลึกนั้นไม่อาจเปลี่ยน เรือนร่างยังคงงดงามและบอบบาง

ในตอนนี้ นางกำลังเย็บปักเสื้อคลุมหนาในแบบที่เขาชอบอยู่ ฝีมือชำนาญช่ำชอง คอยมองอย่างอ่อนโยน แววตาแฝงความเศร้าหมอง เป็นความสุขและความระทม เมื่อได้ยินเสียงนางเงยศีรษะขึ้น พลันพบสบตาของเย่หวูเฉินที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด  ในหัวของนางสว่างวูบ เข็มปักในมือร่วงลงบนตัก

นางกลายเป็นโง่งม ในสมองขาวโพลน สายตามีเพียงภาพของเย่หวูเฉิน ภาพนั้นคล้ายกับหมอก สายตาเริ่มพร่ามัว จนกระทั่งสีสันของโลกนี้หายไป

ด้วยแรงกระทบครั้งใหญ่ นางก็เป็นลมหมดสติไป

เมื่อตื่นขึ้นมา นางอยู่ในอ้อมแขนของคนผู้หนึ่ง ในจมูกได้กลิ่นบุรุษคุ้นเคยที่หายไปนาน นางเงยหน้าขึ้น มองยังสายตา ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้า เอื้อนเอ่ยอ่อนโยน “ข้าคงกำลังฝันอยู่....แต่ถึงจะเป็นเพียงฝัน แค่ได้เห็นสามีข้าก็มีความสุขที่สุดแล้ว ข้าหวังเหลือเกินว่าจะไม่ตื่นขึ้นมา ความฝันนี้จะได้ไม่ต้องจบลง....”

เย่หวูเฉินวางมือลูบใบหน้านาง ในใจสงสารและปวดร้าว เขากล่าวอย่างอ่อนโยน “นี่ไม่ใช่ความฝัน เป็นข้าที่ไม่ยอมถอดใจในตัวเสี่ยวโหรวโหรวและกลับออกมา แต่ข้ากลับมาช้านัก ทำให้เจ้าต้องเจ็บปวดอย่างไม่ยุติธรรม ในความฝันนั้นไร้เสียง ไร้สัมผัสและไร้กลิ่น แต่ว่าเจ้าได้ยินคำข้าพูด ได้สัมผัสกายและสูดกลิ่น ถูกไหม?”

ในห้องของฮั่วฉุ่ยโหรว เกิดเสียงร้องไห้โฮเหมือนฟ้าจะถล่มดินทลาย เสียงโศกครวญเย็นจับจิต ไกลออกไปแทบทุกคนในตระกูลฮั่วล้วนได้ยินชัด ในใจต่างรู้สึกบีบรัด คุณหนูผู้มักอ่อนโยน ไม่ทราบเก็บงำความทุกข์โศกไว้เพียงใด น้ำตาและเสียงสะอื้นไห้กรีดชำแรกจิตใจ ฮั่วเจิ้นเทียนที่ปวดใจในที่สุดก็ผ่อนคลายลง ครานั้นเมื่อทราบข่าวการตายของเย่หวูเฉิน นางไม่ได้ร้องไห้เหมือนตอนนี้ เขาทุบอกตัวเอง สาดตามองไปยังพวกคนใช้ “พวกเจ้ามัวทำอะไร ไปทำงานได้แล้ว! เสี่ยวซาน ไปบอกเฒ่าแปดให้เตรียมอัสนีลั่นสะเทือนฟ้า 100 ลูก ดูซิว่าใครจะกล้าทำร้ายลูกเขยข้าอีก!”

พอคำรามเสร็จ เขาก็เข้าไปในสวนด้วยความเร่งรีบ ด้วยไม่เหี้ยมหาญพอที่จะทนฟังเสียงสะอื้นไห้ของลูกสาวตน

“เด็กดี อย่าร้องไห้เลย เจ้าจะร้องจนหัวใจสามีเจ้าแตกสลายอย่างนั้นหรือ?” เย่หวูเฉินใช้มือลูบบนใบหน้านางแผ่วเบา เช็ดหยาดน้ำตาออก มองมือที่เปียกโชกด้วยน้ำตา แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวโหรวโหรวของข้าชอบร้องไห้ขนาดนี้ มิน่าเล่าถึงชื่อฉุ่ย” 
(โน๊ต: ฉุ่ย แปลว่า น้ำ)

ฮั่วฉุ่ยโหรวร้องไห้ มีความเศร้ามากมายให้ปลดปล่อย สะอื้นจนไม่ได้ยินคำของเย่หวูเฉิน เขากอดนางไว้เนิ่นนาน นางก็ร้องไห้อยู่นานเนิ่น ร้องจนเหน็ดเหนื่อยด้วยน้ำตาหลั่งริน เสียงสะอื้นค่อยๆเบาลง หากปากยังคงพึมพำเป็นบางครั้ง ไหล่บางค่อยๆห่อคู้

ตาแดงด้วยร้องไห้ ใบหน้าดอกไม้เปียกปอนหยาดน้ำใส เสื้อผ้ายังชุ่มเป็นวงใหญ่ เรี่ยวแรงราวกับสูญสิ้นไปกับน้ำตา ร่างอ่อนนุ่มเพียงต้องการพิงพักกับเขา ยังไม่ปรารถนาลุกขึ้น

“คนที่ทำเจ้าร้องไห้ สมควรเป็นตัวเลวร้ายที่สุดในโลก” เย่หวูเฉินอดอั้นหัวใจที่เจ็บปวด ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาบนใบหน้านาง เพียงไม่นานแขนเสื้อก็เปียกชุ่ม

“ไม่ใช่เสียหน่อย....” นางยังคงสะอื้น กล่าวค้านเสียงแผ่ว “เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกต่างหาก”

“หากเป็นคนยอดเยี่ยม แล้วเหตุใดถึงยังทำให้เจ้าร้องไห้”

“เพราะว่าเขากลับมาแล้ว ทำให้ข้า มีความสุขมาก....” นางแนบกายชิดกับเขา แม้หยุดสะอื้นแล้ว แต่น้ำตายังคงไหลอยู่ “ดีจริงๆ นี่ราวกับความฝัน ข้าคิดมาตลอดว่าชั่วชีวิตนี้ คงไม่ได้เจอท่านอีกแล้ว”

“ได้ยังไง ข้ายังไม่ได้แต่งงานกับเสี่ยวโหรวโหรวของข้า ไหนเลยจะยอมตายได้” เย่หวูเฉินเอ่ยอ่อนโยน เคราะห์ดีอย่างยิ่งที่เขารอดชีวิตกลับมาจากความเป็นตายในครั้งนั้นได้ ไม่อย่างนั้น ชีวิตของหญิงสาวผู้นี้คงถูกทำลายลงเพราะเขา และนางจะเดียวดายไร้คนให้พึ่งพิงไปทั้งชีวิต

นั่นคือบาปอันใหญ่หลวง

“สามี....”

“หืม!”

“สามี....”

“อืม ข้าอยู่นี่”

“สามี สามี....”

“เอาละๆ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังอีก ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นภรรยาที่มีความสุขที่สุดในโลก....”

“อื้ม....สามี ข้าอยากเรียกท่านแบบนี้ทุกวัน”

“สามปีเสี่ยวโหรวโหรวของข้าก็โตแล้ว แต่ทำไมยังชอบร้องไห้เป็นเด็กอีก”

“ข้า....เพราะสามีนั่นแหละข้าถึงร้อง” ฮั่วฉุ่ยโหรวบิดร่างและเอ่ยเสียงแผ่ว

“ถ้างั้น สามีเจ้าก็เป็นตัวเลวร้ายที่สุดในโลก”

“ไม่ใช่เสียหน่อย....”

เย่หวูเฉินยิ้มบาง สายตามองไปที่บางสิ่ง ที่ข้างหมอนของนาง เป็นตุ๊กตาผ้าขนาดครึ่งคน จากมุมที่เขามอง เห็นได้ชัดเจนว่าชุดของตุ๊กตาผ้าปักอักษรงดงามไว้ “สามีผู้ล่วงลับเย่หวูเฉิน”

ในใจของเย่หวูเฉินรวดร้าวขึ้นมาอีกครั้ง บางที ตุ๊กตาตัวนี้อาจเป็นสิ่งที่ปลอบประโลมนาง

ฮั่วฉุ่ยโหรวเงยหน้าขึ้น มองตามสายตาเขาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นพลันเห็นตุ๊กตาผ้าที่นางปักเอาไว้ ใช้กอดนอนหลับในทุกวัน ใบหน้านางแดงเล็กน้อย พอคิดถึงบางสิ่งขึ้นได้ก็รีบกุลีกุจอซ่อนตุ๊กตาไว้ใต้ผ้าห่ม หน้าระเรื่อแดง กระวนกระวายกล่าว “ข้า....ข้าช่างโง่เขลาเสียจริง สามีไม่ได้เป็นอะไรเลยแท้ๆ ข้ากลับ....กลับ....”

นางไม่อาจไม่ตระหนก “สามีผู้ล่วงลับ” สามคำนี้ดูเหมือนคำสาปแช่งสามีของตนเอง

อีกทั้ง นางยังรีบวิ่งไปที่โต๊ะธูปหอม เก็บแผ่นป้ายไม้ที่ตั้งอยู่ แม้นางจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่เย่หวูเฉินก็ทันเห็นข้อความชัดเจนว่า “สถานที่ของสามีผู้ล่วงลับเย่หวูเฉิน”

นางกลับทำป้ายไว้ในห้องนอน

การกระทำจากใจของนาง มักทำให้เขาประทับจับจิตอยู่เสมอ นางปฏิเสธสมรสประราชทาน ไม่ลังเลให้บิดาทูลขอต่อองค์จักรพรรดิ ว่าชาตินี้นางจะเป็นคนของตระกูลเย่เท่านั้น ไม่มีวันแต่งงานกับผู้ใด นี่ไม่ใช่การกระทำหุนหันของหญิงสาวไร้เดียงสา หากเป็นความผูกผันล้ำลึก และมั่นคงยืนกราน

“เสี่ยวโหรวโหรวจะไม่เก็บเอาไว้หรือ?”

“แต่ว่า พวกมัน....ข้า....”

“อย่าได้ทิ้งเลย” เย่หวูเฉินสั่นศีรษะเบาๆ “เพราะของเหล่านี้คือสิ่งยืนยันว่าเสี่ยวโหรวโหรวคิดถึงข้ามาก ข้าไม่อยากให้ทิ้งมันไป ข้าอยากเห็นมันบ่อยๆเพื่อย้ำเตือนว่าเสี่ยวโหรวโหรวรักข้าเพียงใด”

ฮั่วฉุ่ยโหรวนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นออกแรงพยักหน้าและยิ้มอย่างมีความสุข รอยยิ้มประดับด้วยน้ำตา งดงามดั่งลูกแพร์หลังฝนพรม



<<<PREV    .    NEXT>>>