วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 259

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 259 ข้าเรียกว่าเฮยเซียง (2)

การกระทำของหลินเหยียนทำผู้คนเอือมระอาและพูดไม่ออก เขามีพลังสูงล้ำ ทั้งมีสถานะสูงส่ง ผู้ใดจะกล้าล่วงเกินหรือกล่าวคำ เป็นสิทธิพิเศษของผู้ถือครองพลังยิ่งใหญ่ พวกเขาได้แต่มองเด็กหนุ่มที่น่ากลัวว่าจะตายด้วยน้ำมือของหลินเหยียน

เฮยเซียงหยุดหลบหนีคล้ายจะทำบางสิ่ง กัดฟันแน่นเตรียมปล่อยหมัดรับฝ่ามือเพลิงของหลินเหยียน สองแขนทรงพลังน่าหวาดหวั่นในสายตาคนธรรมดา หากในสายตาของหลินเหยียนล้วนไม่นับเป็นอันใด ทว่าเมื่อฝ่ามือเพลิงของหลินเหยียนเข้าปะทะกับหมัดของเฮยเซียง นัยน์ตาของเฮยเซียงกลับเป็นประกายโหดเหี้ยมโดยไร้ผู้ใดสังเกต เฮยเซียงระเบิดพลังเหนือล้ำกว่าหลินเหยียนนับไม่รู้กี่เท่า

หลินเหยียนใช้เพียงพลังสองส่วนก็พลันตระหนัก ตระหนกปล่อยเพลิงผลาญทลายท่วมทั่วสนาม เสียงปะทะสะเทือนลั่นทั่วลานประลอง ละอองโลหิตพุ่งจากสี่นิ้วที่แตกหักของหลินเหยียน กระดูกแขนขวายังหักเป็นสี่ส่วน ราวกับถูกเหล็กหนักฟาดใส่ ร่างปลิวไปผ่านฝูงชน พุ่งกระแทกอัดกำแพงจนสะเทือน ร่างคนค่อยๆเลื่อนตกลงพื้น

หากทั้งสองคนใช้พลังเต็มสิบส่วน ผลลัพท์ย่อมไม่อาจทราบได้ ยามเฮยเซียงเอาชนะหลินเสี่ยว ผู้คนล้วนคิดว่าหลินเสี่ยวประมาทจึงพลั้งพลาดถูกพลังหวาดหวั่นของชายหนุ่ม หากใครจะคาดฝันว่าเด็กหนุ่มอายุ 15-16 ปีผู้นี้มีพลังไม่ด้อยไปกว่าหลินเหยียน ดังนั้นเมื่อหลินเหยียนใช้พลังสองส่วนเข้าปะทะเฮยเซียงที่ใช้พลังสิบส่วนเต็ม ทั้งหยินเหยียนยังมุ่งเน้นวิถีเวทย์ทำให้พลังป้องกันอ่อนด้อยตาม ด้วยพลังสิบส่วนดุจวายุคลั่งของเฮยเซียง ผลลัพธ์ย่อมเป็นที่คาดเดาได้

หากหลินเสี่ยวเรียกว่าเจ็บสาหัส หลินเหยียนกลับสลบก่อนร่วงถึงพื้น ผู้ชมทั้งสี่ทิศลุกขึ้นฮือ ตะลึงลานมองเด็กหนุ่มผู้ทำลายหลินเหยียนจนหมดสภาพไม่น่าเชื่อ หลินเหยียนมีพลังขอบเขตสวรรค์ รู้จักในนามนักเวทย์อันดับหนึ่งแห่งเทียนหลง! ท่ามกลางความตกตะลึง ผู้คนตระกูลหลินร่ำร้องแทบหูดับ ส่วนผู้ฝึกฝนโดยเฉพาะตระกูลเวทย์ยิ่งตกตะลึง พลังที่เฮยเซียงระเบิดใส่หลินเหยียนทำให้พวกเขาแทบไม่เชื่อสัมผัสตน นั่นคือพลังที่ปลดปล่อยออกมาได้เมื่ออยู่ขอบเขตสวรรค์เท่านั้น!

และนี่กลับเป็นเพียงเด็กหนุ่มเท่านั้น!

“ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่ได้ตั้งใจ....” เฮยเซียงเห็นว่าตนเอง ‘กำลังประสบหายนะครั้งใหญ่’ กระวนกระวายอยู่บนเวทีแทบจะร่ำร้อง “ปู่คนนั้นแข็งแกร่งมาก ข้ากลัวว่าถ้าบาดเจ็บกลับไปท่านแม่จะดุด่า เลยไม่ทันระวังใช้พลังทั้งหมด ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ....”

“เจ้า....เจ้าตัวบัดซบ....” หลินซานชี้หน้าไปที่เขา ทั้งตกตะลึงและโกรธขึ้ง

“หุบปาก!”

พอตวาดลั่นไปครั้งหนึ่ง หลงหยินก็ลุกยืน หัวคิ้วขมวดมุ่น สายตาปราดมองตะโกนกล่าว “รีบให้คนพาหลินเสี่ยวกับประมุขหลินไปรักษา.... จงจำไว้อย่างหนึ่ง! แม้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบล้ำค่าหรือโอสถเพียงใด ก็ต้องรักษาแขนของประมุขหลินให้จงได้ รีบไปเร็วเข้า!”

กลุ่มนักเวทย์แสงเร่งเคลื่อนย้ายหลินเสี่ยวและหลินเหยียนด้วยความระวัง หลินซานขบฟันกล่าว “ฝ่าบาท เจ้าวายร้ายผู้นี้....”

“ข้าบอกให้หุบปาก!” หลงหยินน้ำเสียงทะมึนขัดจังหวะหลินซาน เขาแค่นเสียงเย็นชากล่าว “เฮอะ! เหนือเวทีประลองไม่ต้องกล่าวถึงบาดเจ็บ แม้ตกตายก็ต้องยอมรับ โทษเพียงตัวเองได้เท่านั้นว่าอ่อนด้อยการฝึกฝน ประมุขหลินกลับฝ่าฝืนกฎด้วยตนเอง ลงมือโดยไร้เหตุผล เขาบาดเจ็บสาหัสล้วนโทษได้แต่เพียงตน เจ้ามีสิ่งใดจะต้องพูด!”

หลินซานโง่งมไปชั่วครู่ ไม่คาดคิดว่าหลงหยินจะถือหางของเด็กหนุ่ม หลินขวงมองตำหนิอย่างเกรี้ยวกราด หลินซานก้มศีรษะลงไวว่องและกล่าวอย่างละอาย “ฝ่าบาททรงตรัสได้ถูกต้อง เป็นบ่าวผู้ต่ำต้อยที่หุนหัน ทูลขอฝ่าบาทโปรดให้อภัย”

หลงหยินพยักหน้าเล็กน้อยถือเป็นการรับคำ จากนั้นหันไปทางเฮยเซียงที่สลดอยู่ หลงหยินยิ้มสรวลขณะถาม “เจ้าชื่ออะไร?”

“ข้าเรียกว่าเฮยเซียง” เมื่อได้ยินเสียงถาม เฮยเซียงกล่าวตอบโดยไม่ทันรู้ตัว

“ที่ข้าถามถึงคือชื่อจริงของเจ้า”

“ชื่อจริง?” เฮยเซียงงุนงงและกล่าวตอบ “ชื่อของข้าคือเฮยเซียง”

“......” เป็นเรื่องผิดปรกติที่ชาวชนบทจะใช้ชื่อประหลาดเรียกตนไปทั้งชีวิตโดยไร้ชื่อจริง หลงหยินเลิกซักไซ้เรื่องนี้ เขาถามต่อ “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่?”

“ปีนี้ข้าพึ่งอายุ 16 ”

“บิดาเจ้าชื่ออะไร?”

“ชื่อของบิดาข้าคือ...” เฮยเซียงที่กำลังจะตอบ กลับพลันระแวดระวัง เขาถามอย่างสงสัย “ทำไมข้าต้องบอกท่านด้วย ท่านถามข้ามากมายแต่กลับไม่บอกเรื่องตัวเองแม้สิ่งเดียว”

“โฮ่” หลงหยินยิ้มเล็กน้อย “ข้าคือจักรพรรดิ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจักรพรรดิคือสิ่งใด?”

“จักร...จักรพรรดิ!?” เฮยเซียงตะลึงค้าง “ท่าน....ท่านคือจักรพรรดิ? ท่านสวมใส่ชุดสีเหลือง....หรือท่านเป็นจักรพรรดิจริงๆ?”

เฮยเซียงดูเหมือนจะหวาดกลัวกับคำว่าจักรพรรดิ เขารีบคุกเข่าลงกับพื้น โขกคำนับต่อเนื่องไม่ยอมหยุด การกระทำผันเปลี่ยนทำผู้คนอดยิ้มไม่ได้ ภาพอันขบขันทำผู้คนแทบไม่อาจเชื่อมโยงกับคนที่เพิ่งทำร้ายหลินเหยียนจนเจ็บหนักราวปีศาจ

“โอ้? ดูเหมือนเจ้าไม่ได้โง่เขลาเสียทีเดียว ไม่ต้องโขกหัวแล้ว เจ้าลุกขึ้นได้” หลงหยินกล่าว

“ท่านแม่บอกว่าในโลกนี้จักรพรรดิคือผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุด หากได้เจอต้องคุกเข่าและโขกคำนับ” เฮยเซียงกล่าวอย่างตื่นตัว

“แล้วแม่เจ้าได้บอกอะไรไว้อีก?” หลงหยินถามอย่างสนใจ

“ท่านแม่ยังบอกอีกว่า หากพบจักรพรรดิ....จะต้องตะโกนว่าทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน จะต้องเคารพเชื่อฟังให้มาก เชื่อฟังให้ยิ่งกว่าท่านแม่ ทำตามคำที่จักรพรรดิบอก” เฮยเซียงตอบหลงหยิน ยังคุกเข่ากับพื้นไม่กล้าลุกขึ้น สีหน้าหวั่นกลัว ยามโค้งคำนับยังลอบมองด้วยแววตาใคร่รู้อยู่บางส่วน บางส่วนของแววตายังอบอุ่น และบางส่วนยังแฝงความนับถือประดุจเทพ

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” หลงหยินหัวเราะลั่น “ถ้าอย่างนั้นข้าขอถาม ครอบครัวของเจ้าอาศัยอยู่ในเมืองอานชิง เหตุใดวันนี้จึงได้มาที่นี่เพื่อเข้าแข่งขัน”

เฮยเซียงจ้องตากว้าง ตะโกนกล่าวคำ “จักรพรรดิช่างยอดเยี่ยมสมคำนัก กระทั่งครอบครัวข้าอยู่แห่งไหนยังรู้จัก.... เดิมทีข้าไม่อยากมาที่นี่ แต่แม่ข้าบอกว่าหากชนะการแข่งขัน จะได้รับตำแหน่งชั้นสูง ข้ามีพลังมากมาย บางทีอาจเอาชนะได้จริงๆ ถึงตอนนั้นเมื่อมีตำแหน่งสูงขั้น พ่อกับแม่ข้าจะต้องดีใจ ดังนั้น ท่านแม่จึงให้คนพาข้ามาที่นี่”

“แบบนี้เอง ในเมื่อแม่เจ้าสอนให้ทำตามคำของจักรพรรดิ ข้าจะให้เจ้าต่อสู้อีกครั้งกับคนผู้หนึ่ง หากเจ้าสามารถเอาชนะเขาได้ ข้าจะมอบตำแหน่างสูงชั้นให้กับเจ้า ทั้งจะรับพ่อแม่เจ้ามาอาศัยอยู่ในเมือง เจ้าจะว่ายังไง?” หลงหยินหัวเราะกล่าว บางทียามนี้นอกจากเฮยเซียงผู้โง่เขลาแล้ว ทุกคนล้วนมองออกว่าหลงหยินมีเจตนาอันใด กล่าวตามจริง หากนับพลังน่าหวาดหวั่นรวมกับอุปนิสัยของเขา ผู้มีลักษณะเช่นนี้ย่อมเหมาะอย่างยิ่งที่จะควบคุมใช้งาน

“จริงเหรอ? ข้าจะได้ตำแหน่งสูงจริงๆนะ? แล้วตำแหน่งนี้ใหญ่กว่าหัวหน้าหมู่บ้านข้าหรือเปล่า?” เฮยเซียงจ้องตาโต ตะโกนกล่าวอย่างตื่นเต้น

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ถูกต้อง เป็นตำแหน่งใหญ่ ใหญ่กว่าหัวหน้าหมู่บ้านที่เจ้ารู้จักนับไม่รู้กี่เท่า” เขาหันไปทางด้านข้าง “อาวุโสหลี่ โปรดลงมือ!”

“พะยะค่ะ!” อาวุโสหลี่ที่เงียบมาพักใหญ่ ตอนนี้กระโดดลงไปบนเวที คำรามเสียงต่ำช้าๆ ผลักฝ่ามือใส่เฮยเซียง

ฝ่ายหนึ่งคือผู้ปกปักษ์ข้างกายหลงหยินอายุ 70 กว่าปี  ผู้ที่ทุกคนในอาณาจักรเทียนหลงต่างหวาดกลัว รับรู้กันทั่วว่ามีพลังขอบเขตสวรรค์ ส่วนอีกฝ่ายอายุ 15-16 ปี เป็นเด็กหลังเขาที่ไม่มีใครรู้จัก ทั่วบริเวณผู้คนล้วนจับจ้องสนใจ ดวงตามองตรึงยังคนทั้งสองที่บนเวที ไม่ว่าผลลัพธ์การประลองครั้งนี้จะจบลงแบบไหน อาศัยพลังหมัดที่ทำร้ายหลินเหยียนของเด็กหนุ่ม ภายหลังจากวันนี้ไป ชื่อของเขาย่อมดังก้องไปทั่วหล้า เพราะแม้กระทั่งเทพทั้งสี่แห่งทวีปเทียนเฉิน ในวัยเพียงเท่านี้ยังไม่อาจบรรลุพลังระดับนี้ได้ ทุกขุนเขาและแผ่นดินที่เด็กหนุ่มผู้นี้ปรากฎกาย จะต้องทำให้ผู้คนตกตะลึงสะเทือนไหว

เผชิญหน้ากับอาวุโสหลี่ที่จู่โจม เฮยเซียงไม่รู้จักคำว่าหลบเลี่ยง เขาไม่ลังเลและปล่อยหมัดเข้าใส่ ทว่าทันใดนั้นเอง อาวุโสหลี่ที่อยู่ตรงหน้ากลับหายตัวไป ปรากฎไปอยู่ด้านซ้ายราวกับภูติผี ฟาดสองฝ่ามือเข้าใส่ไหล่ของเฮยเซียง เสียงปะทะสนั่นก้อง พื้นเวทีแตกยุบลง

พลังโจมตีของอาวุโสหลี่รุนแรงพอทลายภูผา ทว่ายามฟาดถูกเฮยเซียงกลับรู้สึกเหมือนกระทบใส่แผ่นเหล็ก เขากระแทกเฮยเซียงให้กระเด็นไปได้ไม่กี่เมตรเท่านั้น หลังจากฟาดพลังออกไป ฝ่ามือเขาก็เป็นสีแดงและเจ็บชา ในใจตื่นตะลึงอย่างที่สุด

เฮยเซียงตะกายลุกจากพื้น ปัดฝุ่นออกจากร่างธรรมดา บิดขยับหัวไหล่ซ้าย ใบหน้าเริ่มขึงขัง “ท่านปู่ ท่านแข็งแกร่งจริงๆ พวกเรามาสู้กันอีกสักตั้ง”

เสียงฟาดสนั่นก้อง แสดงให้เห็นว่าฝ่ามือนั้นทรงพลังเพียงใด ทว่าเฮยเซียงกลับมีสีหน้าราบเรียบจนผู้คนตะลึงค้าง ในใจสะท้านหวั่นไหว เด็กหนุ่มไม่เพียงมีหมัดหนักหน่วงดุจเหล็ก กระทั่งร่างกายยังแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า

อาวุโสหลี่เริ่มมีสีหน้าจริงจัง หมัดสองข้างเริ่มกำแน่น หลายปีแล้วที่เขาไม่ได้เอาจริง ไม่คิดฝันเลยว่าวันนี้กลับต้องรับมือเด็กหนุ่มอายุยังไม่ถึงยี่สิบ กลายเป็นว่า ในหมู่รุ่นเยาว์กลับมีผู้กล้าปรากฎตัวออกมาเรื่อยๆ แผ่นฟ้าไพศาลไม่ทราบซ่อนยอดคนอีกไว้เท่าใด เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพลันเคลื่อนร่าง ท่าเท้าราวกับภาพลวงตา จากหนึ่งร่างแยกออกเป็นสองเงา จากนั้นกลายเป็นสี่เงา แปดเงา จนกระทั่งไม่อาจนับ อาวุโสหลี่ไม่เคยใช้ศาตราใด มีเพียงสองมือที่ใช้เป็นอาวุธ และการเคลื่อนร่างที่ไม่อาจคาดเดา

ยามนี้ด้วยการผสานของร่างจริงและร่างเงา เฮยเซียงไม่อาจจำแนกแยกชัด เขามองด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย มีลมเย็นแผ่พุ่งมาจากทางขวา เป็นมือต่างกระบี่ฟันฟาดใส่ลำคอ เฮยเซียงคอสั่นแกว่งไปมา เหวี่ยงหมัดหนักหน่วงใส่ร่างเงา ทว่ากลับถูกเพียงอากาศ เฮยเซียงถูกฟาดใส่อีกครั้งด้วยฝ่ามือรุนแรงเร็วเนื่อง ไม่ต้องกล่าวถึงบุคคล แม้เป็นเหล็กกล้ายังอาจสลาย ทว่าเฮยเซียงกลับปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน

เฮยเซียงฝึกฝนมาทางความหนาแน่นและแข็งแกร่ง พลังโจมตีและป้องกันนั้นน่าตระหนก หากความเร็วและความยืดหยุ่นนั้นดูจะเป็นข้อบกพร่อง เป็นข้อด้อยของเขาอย่างชัดเจน เขาเหวี่ยงหมัดหนึ่งครั้งในขณะที่อาวุโสหลี่โจมตีได้นับสิบหน ทว่าในทิศตรงข้ามกับหมัด ผู้คนบนอัฒจรรย์ต่างรู้สึกกดดันหนักหน่วงแทบไม่อาจหายใจ ในใจเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ แม้อยู่ห่างไกลหมัดยังส่งผลถึงเพียงนี้ หากคนถูกหมัดอัดร่างโดยตรงย่อมกลายเป็นเศษศพโดยไม่ต้องสงสัย!



<<<PREV    .    NEXT>>>