วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 271

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 271 หยามอัปยศ

…..

หลงหยินสีหน้าเปลี่ยนทันที เหล่าขุนนางพากันเคลื่อนสายตามองไปทางต้นเสียง แววตาหลากอารมณ์มองยังคนที่ครั้งหนึ่งเคยสังหารเทพสงคราม ยอดผู้เยาว์อัศจรรย์ที่ผลาญทลายกองทัพหมื่นศัตรู หลังจากสร้างตำนานสะเทือนฟ้า เขาก็โดดลงสู่หุบเหวปลิดวิญญาณ หากยังกลับออกมาได้อย่างลึกลับ แม้เป็นที่รู้กันว่าร่างกายของเขาพิการ ทั้งเป็นไปได้ว่าชั่วชีวิตนี้ไม่อาจฟื้นคืนพลัง แต่เหล่าขุนนางชั้นสูงในราชสำนักล้วนไม่มีผู้ใดมองเขาด้วยสายตาสบประมาทเลยแม้แต่น้อย

ที่หลังรถเข็นของเย่หวูเฉิน มีสาวน้อยสองคนช่วยกันดันทางซ้ายและทางขวา เขายิ้มด้วยแววตาธรรมดา เมื่อถึงกลางท้องพระโรงก็ยกมือขึ้น เขาหยุดอยู่ตรงนั้นเผชิญหน้ากับหลงหยิน “หวูเฉินเจ็บป่วยอยู่ ไม่อาจกระทำคารวะได้ ขอฝ่าบาทโปรดทรงอภัย”

แม้เย่หวูเฉินจะเอ่ยปาก ‘ขออภัย’ แต่ใบหน้ามิได้นอบน้อมแม้แต่น้อย ศีรษะยังเชิดขึ้นอย่างเกียจคร้าน เปลือกตาปิดอยู่ครึ่งหนึ่งราวกับพึ่งตื่นนอน ในใจของเหล่าขุนนางต่างล้วนสงสัย

หลงหยินไม่อาจปล่อยให้ตนถูกหมิ่นหยาม แต่เมื่อตามองเห็นทงซินผู้เป็นดั่งเงามืด หัวใจเขาก็แทบเต้นออกจากอก เขาข่มระงับอาการไว้ ตะโกนออกไปอย่างอาจหาญ “เจ้ามีสิ่งใดก็ว่ามา”

เย่หวูเฉินโน้มกายมาเบื้องหน้า ทันใดนั้นเปลือกตากลับพับปิด อ้าปากหาวหวอดต่อหน้าจักรพรรดิและเหล่าขุนนาง จนพวกเขาต้องจ้องตาแทบถลน หลงหยินใบหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย หากกลับคืนเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เย่หวูเฉินพลันกล่าวออกมา “หวูเฉินมาทูลต่อฝ่าบาทแทนบิดา ว่าเมื่อวานนี้ท่านพ่อข้าถูกอากาศเย็นโดยไม่ทันระวัง ทำให้เขาจับไข้นอนเตียง ดังนั้นหลายวันต่อจากนี้จึงไม่อาจเข้าร่วมประชุมเช้าในราชสำนักได้ จึงขอฝ่าบาทโปรดอย่าได้ถือสาเพราะเรื่องนี้”

เหล่าขุนนางต่างลอบขมวดคิ้ว เรื่องแค่นี้ให้คนถือข่าวมาแจ้งก็พอ ไม่เห็นจำเป็นต้องให้นายน้อยตระกูลเย่ถ่อรถเข็นมาถึงนี่

ในเวลานี้ กระทั่งคนโง่ยังดูออกว่าเรื่องเย่เว่ยมีกลิ่นตุๆบางอย่าง ทั้งเย่หวูเฉินที่แสดงออกไร้ความเคารพอย่างจงใจ ทำให้เรื่องนี้สมควรมีบางสิ่งซ่อนอยู่

หลงหยินบันดาลโทสะอย่างแท้จริง ขมวดคิ้วมุ่นและเอ่ยลั่น “ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปได้ ที่นี่คือท้องพระโรงเทียนหลงของข้า หากครั้งหน้าเจ้าไม่มีเรื่องสำคัญอีก ก็อย่าได้มาที่นี่ เจ้าออกไปได้แล้ว!”

เย่หวูเฉินไม่ได้ออกไป เขากลับยิ้มกล่าว “ฝ่าบาททรงกริ้วเสียแล้ว แต่หวูเฉินยังมีอีกเรื่องจะกล่าว แล้วจากนั้นจะออกไปทันที”

“เรื่องอะไร?” หลงหยินแค่นเสียงเย็น

เย่หวูเฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและยิ้มบาง “หวูเฉินได้ยินมาว่า จักรพรรดินีกับบุตรชายคนโตแห่งตระกูลหลิน หลินเสี่ยวเมื่อวานนี้ได้กระทำเรื่องบัดสี ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่?”

เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ก็ราวกับอัสนีลั่นฟาดลงกลางอากาศ ทุกคนล้วนตื่นตะลึงงัน ต่อหน้าของจักรพรรดิ ต่อหน้าของเหล่าขุนนาง นี่ไม่ต่างจากการเปิดแผลออกมาประจาน ไม่ต่างกับการตบหน้าฉาดใหญ่

หลงหยินและหลินซานสีหน้ากลายเป็นคล้ำม่วง หากยังได้ยินเย่หวูเฉินหัวเราะและกล่าวต่อ “ฝ่าบาท ในเมื่อท่านไม่ปฏิเสธ เช่นนั้นแสดงว่าข่าวลือเป็นความจริง.... นับเป็นเรื่องอื้อฉาวอัศจรรย์ที่ท่านต้องสวมหมวกเขียว ฝ่าบาทคงต้องรู้สึกไม่สบายเป็นแน่แท้”

บรรดาคนที่อยู่ในนั้น บ้างก็เป็นขุนนางชรา บ้างก็เป็นขุนนางใหม่ แต่ไม่ว่าผู้ใดล้วนดวงตาเบิกกว้าง แทบทุกคนคิดว่าหูของตนมีปัญหา หลงหยินสีหน้าม่วงคล้ำ พรวดลุกขึ้นและตวาดลั่น “บังอาจ!!”

เย่หวูเฉินไร้อาการหวาดกลัว ตรงกันข้ามเขากลับเผยรอยยิ้ม “โอ้? ไม่ทราบเหตุใดฝ่าบาทจึงบันดาลโทสะ? หรือว่าหวูเฉินพูดสิ่งใดผิด?”

“ช่างกล้านัก!” บรรยากาศเลวร้ายลงฉับพลัน หลินซานที่หน้าม่วงไม่ต่างกันก้าวออกมาในที่สุด ชี้นิ้วไปที่เย่หวูเฉินอย่างเดือดดาล

“กล้า? ข้าเนี่ยหรือกล้า? ท่านหลินมีบุตรคนโตที่ลอบเล่นชู้ลับหลังจักรพรรดิ ยังกลับกล้าปรากฎตัวต่อหน้าฝ่าบาท พูดถึงเรื่องความกล้าแล้ว หวูเฉินรู้สึกละอายที่จะเทียบกับท่านจริงๆ” เย่หวูเฉินพูดยิ้มๆ ใบหน้าไร้ความหวาดกลัวแม้แต่นิด

หลินซานสั่นระริกทั่วร่าง เขาแทบกระอักออกมาเป็นเลือด “เจ้า....เจ้าพูดพล่ามไร้สาระ! เสี่ยวเอ๋อร์แห่งตระกูลหลินของข้าดำรงตนอย่างดีมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยทำเรื่องผิดศีลธรรม เจ้าเป็นถึงบุตรชายตระกูลเย่ แต่กลับหลงเชื่อวาจาใส่ร้ายของผู้คน ทั้งยังกล้าโอหังต่อหน้าจักรพรรดิ เจ้าคิดจริงๆหรือว่าเป็นศิษย์ของเทพกระบี่ กับสังหารฟงเฉาหยางแล้วจะเมินเฉยต่อฝ่าบาทได้ เจ้ามัน....”

“ใต้เท้าหลินอย่าพึ่งตื่นเต้น โปรดระงับความโกรธไว้ก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวตับของท่านจะเป็นอันตราย ในเมื่อใต้เท้าหลินบอกว่าผู้คนกล่าวร้ายใส่ความ เช่นนั้นข้าขอถาม ว่าตอนนี้หลินเสี่ยวอยู่ที่ไหน เหตุใดถึงไม่ออกมาหยุดข่าวลือ? ตราบเท่าที่เขาปรากฎตัว ข่าวลือพวกนี้ย่อมหยุดระงับไปเอง” เย่หวูเฉินยิ้มกล่าว จับมือเล็กๆของหนิงเสวี่ยไว้ ใช้มือนวดเบาๆอย่างรื่นรมณ์

“เสี่ยวเอ๋อร์....เฮอะ! เสี่ยวเอ๋อร์เพิ่งออกไปทำธุระเมื่อวาน อีกไม่กี่วันถึงจะกลับ....” หลินซานกล่าวด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว ผู้อื่นไม่ว่าจะฟังอย่างไร ก็เห็นได้ชัดว่าคำพูดเขาอ่อนแอและไร้พลังอย่างยิ่ง

คิดไม่ถึงว่าเย่หวูเฉินจะหัวเราะลั่นออกมา “โอ้ ช่างบังเอิญเหลือเกิน หลินเสี่ยวไม่เคยออกบ้านไปไหน แต่ครั้งนี้กลับไม่อยู่....  ที่ว่า ‘ไม่กี่วัน’ ของใต้เท้าหลิน ไม่ทราบแท้จริงแล้วคือกี่วัน? สิบวัน ร้อยวัน พันวัน... หรือไม่กลับมาอีกเลย? คำตอบของคำถามนี้ ข้าคิดว่าฝ่าบาทคงทราบดียิ่งกว่าผู้ใด”

ใบหน้าของหลินซานยิ่งมายิ่งน่าเกลียด เขาคุกเข่าลงต่อหน้าหลงหยินและกล่าวอย่างเศร้าโศก “ฝ่าบาท! บ่าวผู้นี้ทนต่อการเหยียดหยามได้ แต่เจ้าเด็กตระกูลเย่ผู้นี้กลับล่วงล้ำฝ่าบาทต่อหน้าทุกคน ทั้งโอหัง ทั้งเย้ยหยัน จนเทพเทวายังพิโรธ ต่อให้เขาเป็นบุตรชายตระกูลเย่ เป็นศิษย์ของเทพกระบี่.... ฝ่าบาทได้โปรดอย่าทรงอดทนกับเรื่องนี้ มิเช่นนั้น ฝ่าบาทจะเอาพระพักตร์ไปไว้ไหน! วันหน้าเจ้าเด็กนี่ย่อมกลายเป็นตัวหายนะ.... ฝ่าบาท บ่าวผู้ต่ำต้อยขอร้อง ให้ทรงกุดหัวคนผู้นี้เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง! ไม่สิ จะต้องลงโทษสูงสุดด้วยการตัดเฉือนอวัยวะจนดับดิ้น!”

จากถ้อยคำที่เย่หวูเฉินกล่าวออกมา การลงโทษสูงสุดเช่นนี้ล้วนไม่นับว่าเกินเลย

หลงหยินอกแทบระเบิด เขาทุบพนักวางแขนและตวาดลั่น “พวกเจ้าเข้ามา!!”

ทันใดนั้นที่ปากประตูมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น เป็นสององครักษ์ถือกระบี่พุ่งเข้ามาปิดทางเย่หวูเฉินจากข้างหลัง พวกเขาหยุดรอคำสั่งของหลงหยิน บรรยากาศเย็นเยือกลงทันที ชูเกอหวูอี้กำลังจะก้าวออกมาคัดค้าน ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของเย่หวูเฉิน เขาก็หยุดเท้าไว้ด้วยหัวใจตกตะลึง

เย่หวูเฉินไม่ได้เหลียวมองด้านหลังแม้แต่น้อย เขากล่าวราบเรียบ “ท่านหมายว่าอย่างไรฝ่าบาท? ท่านคิดประหารข้าอย่างนั้นหรือ? โอ้ ฝ่าบาท ท่านอย่าออกคำสั่งจะดีกว่า หากพวกเขาเหวี่ยงมือลงมา พื้นท้องพระโรงที่สะอาดเอี่ยมคงได้มีโลหิตสาดกระจาย ข้าไม่คิดว่าฝ่าบาททรงต้องการให้เป็นแบบนั้น ถูกต้องหรือไม่ฝ่าบาท!!”

เมื่อพูดถึงคำว่าโลหิตสาดกระจายในท้องพระโรง เย่หวูเฉินก็จดจ้องไปที่หลงหยิน หัวใจของหลงหยินกระตุกวูบรุนแรง ไม่อาจห้ามตัวเองเหลือบมองเด็กหญิงชุดดำที่อยู่ถัดจากเขา ณ เวลานี้ นางยังคงก้มหน้ามองลงต่ำ สายตาไม่ได้ยกเงยขึ้น หากเพียงนางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ก็เพียงพอทำให้หลงหยินรู้สึกคล้ายหัวใจถูกทับด้วยก้อนหินมหึมา มือที่ยกขึ้นไม่กล้าตวัดลง ความโกรธเกรี้ยวค่อยๆกลายเป็นความกลัว

โลหิตจะสาดกระจายเมื่อเขาสั่ง หากโลหิตที่กระจายนั้นจะไม่ใช่ของเย่หวูเฉิน แต่จะเป็นโลหิตของเขาแทน เย่หวูเฉินกล้าหยามอัปยศต่อหน้าเขา เพราะมันไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง

เผชิญหน้าการยั่วยุของเย่หวูเฉิน กล้ามเนื้อแต่ละส่วนบนใบหน้าของหลงหยินบิดเบี้ยวอย่างหนัก วาจาครึ่งคำไม่อาจกล่าวออก ท่ามกลางบรรยากาศที่กดดันถึงขีดสุด เหล่าขุนนางชั้นสูงต่างตระหนก ในใจของพวกเขาเริ่มผุดความคิดที่น่ากลัว.... ถูกหยามอัปยศถึงเพียงนี้ จักรพรรดิกลับยังไม่สั่งประหาร เห็นได้ชัดว่าเขาหวาดกลัวต่อเย่หวูเฉิน แม้เย่หวูเฉินมีร่างกายพิการ แต่ปัญญายังคงหลักแหลม ถึงขนาดบรรลุสิ่งที่ทำในวันนี้ได้ เขาย่อมต้องมีผู้หนุนหลัง หากไม่ทราบว่าเบื้องหลังของเขาคือสิ่งใด? รวมทั้งจุดประสงค์ที่เขาทำในวันนี้ หรือว่า ตระกูลเย่คิดที่จะ....

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” เย่หวูเฉินหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง กล่าวพร้อมยิ้มเย้ยหยัน “ใต้เท้าหลิน ดูเหมือนจักรพรรดิไม่กล้าสั่งประหารข้า คงทำให้ท่านผิดหวังแล้วจริงๆ บุตรชายในสายเลือดและน้องสาวแท้ๆของท่านมีสัมพันธ์กัน ถึงแม้เป็นเรื่องอื้อฉาว แต่สำหรับหวูเฉินไม่ถือเป็นเรื่องแย่ ฝ่าบาท เมื่อสามปีก่อนท่านยกองค์หญิงเฟยฮวงให้กับข้า แต่ต่อมากลับยกนางให้หลินเสี่ยว ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจยิ่ง ตอนนี้หลินเสี่ยวกระทำเรื่องอื้อฉาว ไม่ทราบฝ่าบาทจะยังทรงรักษาสัญญาการหมั้นไว้อยู่หรือไม่? เมื่อวานฝ่าบาทไปที่ตระกูลเย่ และกล่าวเสียใจที่ได้กลับคำไปคราหนึ่ง ตอนนี้ สวรรค์เป็นใจให้ข้า มอบโอกาสให้ฝ่าบาทได้เปลี่ยนพระทัย ไม่ทราบเมื่อไหร่ฝ่าบาทจะยกองค์หญิงเฟยฮวงให้กลับมาแต่งกับข้าอีกครั้ง? ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่….”

เย่หวูเฉินหันไปแสดงรอยยิ้มให้กับเหล่าขุนนางที่กำลังมีสีหน้าซับซ้อน เขากล่าวด้วยความสุภาพ “วันนี้หวูเฉินสร้างความรำคาญให้แก่พวกท่าน ถ้าอย่างไรขอเชิญใต้เท้าทุกท่านไปเยี่ยมเยือนตระกูลเย่ของข้า หวูเฉินจะกล่าวคำขอโทษต่อพวกท่านทุกคน ข้าขอตัว”

ขุนนางน้อยใหญ่ไม่มีใครกล้ากล่าวตอบ มิเช่นนั้น.... ภายใต้สถานการณ์ยามนี้ ย่อมถูกหลงหยินหมายหัว เย่หวูเฉินไม่กล่าวคำลาต่อหลงหยิน กระทั่งหางตายังไม่เหลือบแล เขาหมุนตัวกลับด้วยความช่วยเหลือของหนิงเสวี่ยและทงซิน จากนั้นกล่าว “อย่างที่หวูเฉินบอกกับฝ่าบาทไว้เมื่อวาน เรื่องขององค์หญิงเฟยฮวง ขอให้ฝ่าบาททรงไตร่ตรองดูให้ดี....”

หลงหยินตัวสั่นไปทั้งร่าง แววตาเจ็บแค้นอย่างหนัก กัดฟันกรอดๆ ทุ่มโถมอดกลั้นด้วยความยากลำบาก

สององครักษ์ถือกระบี่ขวางทางอยู่ เย่หวูเฉินแลหางตาและตวาดเสียงต่ำ “ไสหัวไปซะ”

สององครักษ์ฟังแต่คำสั่งของจักรพรรดิ ดังนั้นจึงไม่ขยับ เย่หวูเฉินจ้องมอง คราวนี้ตวาดลั่น “ไสหัวไปให้พ้น!!” ขณะเดียวกันนั้นเอง ดวงตาทั้งสองข้างของทงซินก็มีแสงทมิฬระยับในฉับพลัน

“ตุบ , ตุบ” สององครักษ์ยังลืมตาอยู่ แต่กลับล้มลงราวกับท่อนไม้ ทว่าพวกเขาไม่ได้สลบไป ดวงตายังคงจ้องค้างไร้การเคลื่อนไหว ราวกับว่าวิญญาณได้หลุดจากร่างไปแล้ว

เย่หวูเฉินยกมุมปากขึ้น กล่าวคำโดยไม่หันหลังไปมอง “ฝ่าบาท ในท้องพระโรงเทียนหลง ขุนนางระดับสูงร่วมประชุมกันทุกวัน องครักษ์พวกนี้ช่างสรรหามาได้ดีจริงๆ เพียงเสียงตวาดเบาๆยังถึงกับเข่าอ่อน ฝ่าบาทกับใต้เท้าทั้งหลายคงต้องกังวลถึงความปลอดภัยเสียแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”

ราวกับฝันร้ายอย่างไรอย่างนั้น เย่หวูเฉินหัวเราะร่าจนหายลับตาหลงหยิน เหนือท้องพระโรงล้วนเงียบงัน ทุกคนลอบแลดูสีหน้าของหลงหยิน พวกเขารู้สึกว่าเรื่องใหญ่บางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น



<<<PREV    .    NEXT>>>