วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 270

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 270 ไว้ทุกข์

ฉู่จิงเทียนหยิกตัวเองและเอ่ยถามอย่างตระหนก “ท่านบอกว่าน้องเย่เป็นเจ้านาย เขาส่งพวกเรามาที่นี่ด้วยวิธีไหน? ท่านสมควรรู้ใช่หรือไม่?”

เล่งหยาดึงเสื้อของเขากลับมาอย่างหนักมือ จากนั้นนั่งลงตรงนั้น เหลือบหางตามองและกล่าวราบเรียบ “เก็บแรงไว้ เรื่องไม่สมควรถามก็อย่าถาม หากเจ้านายต้องการให้พวกเรารู้ เขาก็จะบอกเอง”

หากในใจของเล่งหยาเกิดคลื่นความตระหนกไม่ต่างกัน เย่หวูเฉินบอกเพียงว่าจะส่งผ่านพันลี้ในพริบตา ทว่าสองคนเบื้องหน้ากลับปิดบังพลังสุดหยั่งไว้ สองร่างชรามีกลิ่นอายลึกล้ำสุดขั้วยังเรียกเย่หวูเฉินว่า ‘เจ้านาย’ เท่ากับว่าเบื้องหลังของเย่หวูเฉินไม่เพียงซ่อนสองคนนี้ไว้เท่านั้น แต่ยังมีขุมกำลังน่าหวาดหวั่นที่ไม่มีผู้ใดจินตนาการได้

ฉู่จิงเทียนบ่นอุบ แต่ก็นั่งลงอย่างเชื่องเชื่อ จากนั้นหันไปถามเรื่องอื่นแทน “ท่านปู่ กับท่านย่า ไม่ทราบข้าสมควรเรียกพวกท่านว่าอย่างไร?”

“ฮี่ ฮี่ เรียกข้าว่าต้าสงก็ได้” ชายชราชี้นิ้วไปที่หญิงชรา “ส่วนภรรยาข้า จะเรียกนางว่าซ่งหัวก็ได้”

ฉู่จิงเทียนรีบโบกไม้โบกมือ “จะเรียกแบบนั้นได้ยังไง พวกท่านคือผู้อาวุโส”

“พวกเจ้าคือสหายของเจ้านาย คือแขกทรงเกียรติของพวกเรา เหตุใดจะเรียกไม่ได้”

“งั้น....ข้าจะเรียกท่านว่าปู่ต้าสง กับย่าซ่งหัวก็แล้วกัน” เห็นได้ชัดว่าคนชราทั้งสองนี้อายุอานามคงมากกว่าปู่ของเขาสักรุ่นหนึ่งได้ ทว่าชื่อของพวกเขา....ต้าสง(หอมใหญ่) ซ่งหัว(ดอกหอม)  เมื่อเทียบกับต้าหนิว(วัวใหญ่)ชื่อของเขาแล้ว ก็ทำให้เขาต้องอายเลยทีเดียว

จริงๆชายชรามีชื่อว่าเหยียนชิงหง ส่วนหญิงชราหลังแต่งงานได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อเหยียนชิงปิง ใต้หุบเหวปลิดวิญญาณ ในโลกเล็กๆแห่งนั้นทั้งสองคือผู้อาวุโสสูงสุด ชรากว่าเหยียนเทียนเว่ยถึงหนึ่งรุ่น ใต้รูปลักษณ์ชรานั้นซ่อนไว้ด้วยพลังลึกล้ำ แม้ตอนอยู่ในหุบเหวปลิดวิญญาณ สำนักจักรพรรดิเหนือจะไร้การต่อสู้ แต่การฝึกฝนถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งสำหรับพวกเขา ระดับพลังเฉลี่ยของพวกเขามิใช่สิ่งที่ ‘สำนักจักรพรรดิเหนือ’ อีกแห่งหนึ่งซึ่งไขว้เขวและทะยานจะเทียบได้ ผู้ชราทั้งสองมีฝีมือเป็นรองเพียงเหยียนเทียนเว่ยเท่านั้น ในโลกเล็กๆแห่งนั้น เหยียนเทียนเว่ยมีสายเลือดบริสุทธิ์แห่งจักรพรรดิเหนือได้บรรลุขั้นสูงสุดของขอบเขตเทวะในตำนาน แต่กระนั้นหากเหยียนชิงหงและเหยียนชิงปิงร่วมมือกัน เหยียนเทียนเว่ยก็ไม่อาจกล้าประมาทได้

พวกเขามองสำรวจเล่งหยากับฉู่จิงเทียน ขณะเดียวกันก็อุทานชื่นชมในใจ สมแล้วที่เป็นสหายของเจ้านาย ด้วยอายุเยาว์วัยแต่กลับบรรลุพลังถึงขั้นนี้ แม้เจ้าหนุ่มที่สะพายกระบี่ยาวจะดูทึ่มทื่อเหมือนมีแต่กล้าม แต่คนทั้งสองย่อมมีที่มาและอนาคตไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

เวลาผ่านไปช้าๆอย่างสงบ ท้องฟ้าภายนอกเริ่มหรี่แสง เล่งหยานั่งขัดสมาธิอยู่ลืมตาขึ้นพร้อมกับท้องฟ้าที่เริ่มมืดดำ การฝังร่างมารดาตนเองและฟงเฉาหยางในสถานที่เดียวกัน สมควรเป็นเรื่องลำบากยากยิ่ง ทว่าหัวใจของเขากลับสงบผิดธรรมดา ยามนี้ไร้ความกังวลแม้แต่น้อย เย่หวูเฉินทำให้เขาเชื่อมั่น เพียงชั่วเวลาสองวัน ความรู้สึกนี้ก็ยิ่งเข้มข้น

ประตูไม้เปิดออกเสียงดัง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ หญิงชรายื่นศีรษะเข้ามายิ้มแย้มและกล่าว “มาเถอะ พร้อมกันแล้ว”

ท้องฟ้ามีเมฆมืดบดบัง ไม่อาจเห็นดาราและดวงจันทร์ รัตติกาลยังไม่เคลื่อนคลานเข้ามาเต็มที่ เล่งหยาแบกโลงศพ , ฉู่จิงเทียน และสองคนชรามุ่งหน้าไปยังทางทิศตะวันตก ผืนดินใต้เท้ามิได้ราบเรียบ แต่เล่งหยาก็พยายามทรงกายไม่ให้โงนเงนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มิใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อมารดาผู้งมงายและน่าสงสารของเขา

หลังผ่านไปนาน ในที่สุดพวกเขาก็เดินมาถึงจุดหมาย แววตาของเล่งหยาทอแสงเย็นคมกล้าในความมืด เบื้องหน้าห่างออกไปไม่ถึงร้อยเมตร มีกลุ่มคนกำลังป้องกันอยู่ คำนวณคร่าวๆมีไม่น้อยกว่าร้อยคน

หากสองคนชราราวกับไม่เห็นสิ่งใดตรงหน้า ฝีเท้ายังคงหนักแน่นตามปกติ ราวกับว่าทั้งสองเป็นคนแก่ธรรมดา เวลานี้เอง เล่งหยาลอบมองด้านข้างด้วยหางตา มุ่นคิ้วเล็กน้อย ชายชรานำบางสิ่งออกจากแขนเสื้อ เปล่งแสงแดงจางในราตรี และเพียงพริบตามันก็ดับวับไป ทั้งไม่ปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง

“ท่านปู่ต้าสง ท่านย่าซ่งหัว ข้างหน้าคือสุสานของฟงเฉาหยางใช่หรือเปล่า? ดูเหมือนพวกเราต้องเดินผ่านพวกเขา ข้าจะออกไปจัดการคนพวกนั้นก่อน” ฉู่จิงเทียนพูดอย่างเอาจริงเอาจัง

เล่งหยาตบไปทีหนึ่งและส่ายศีรษะ เหยียนชิงหงพูดกลั้วหัวเราะ “ใจเย็น นั่นคือคนของฝ่ายเราเอง”

“คนของฝั่งเรา?” ฉู่จิงเทียนงงงันไปชั่วขณะ

เป็นไปอย่างที่บอก เมื่อพวกเขาเดินไปถึง เหล่าคนที่ป้องกันอยู่รอบทิศ สวมชุดเกราะแผ่ความรู้สึกหนักหน่วง ยืนนิ่งถือกระบี่หอกทวนเล่มยาวอยู่ในมือ หากไม่ได้มองมาที่พวกเขาแม้แต่น้อย ราวกับว่าพวกเขาเป็นอากาศ ฉู่จิงเทียนไม่อาจห้ามความแปลกใจลองโบกมือเหนือหน้าบุคคลผู้หนึ่ง ทว่าบุคคลผู้นั้นไม่ขยับดวงตาแม้แต่น้อย ฉู่จิงเทียนลองจิ้มนิ้วที่หน้าเขาและลอบอุทาน “แปลกจริง หินสลักก็ไม่ใช่....”

คนที่ถูกฉู่จิงเทียนเอานิ้วจิ้มหน้า ริมฝีปากขยับเล็กน้อยจนแทบไม่อาจสังเกต เขาเกือบเอาทวนฟาดฉู่จิงเทียนด้วยอารมณ์ชั่ววูบ

ประตูสุสานถูกเปิดออกโดยคนผู้หนึ่ง ด้านในส่องแสงสว่างจากเปลวเทียน เหยียนชิงหงพาพวกเขาเดินลงบันได ขณะเดียวกันก็กล่าวแนะนำ “หลังจากที่ฟงเฉาหยางตาย ฟงเลี่ยจักรพรรดิแห่งต้าฟงก็สั่งการให้สร้างสุสานยักษ์แห่งนี้ขึ้น เขาจะมาสักการะที่นี่ปีละครั้ง เนื่องจากฟงเฉาหยางตายด้วยมือของเจ้านาย ดังนั้นราวสิบเดือนก่อน เขาได้มาที่สุสานแห่งนี้ ถอนหายใจลึกที่ได้สังหารฟงเฉาหยาง ถึงแม้เขาไม่มีทางเลือก แต่ก็ทำให้สหายตนต้องสูญเสียบิดา เสียใจล้ำลึกอยู่ข้างใน ดังนั้น เจ้านายจึงยอมเสี่ยงครั้งใหญ่ วางแผนแยบยลใช้ทุกวิธี ใช้เวลาหกเดือนจึงเปลี่ยนยามเฝ้าสุสานเป็นคนของตัวเองทั้งหมดได้ในที่สุด เจ้านายเคยกล่าวว่าบุตรของฟงเฉาหยางเป็นลูกกตัญญูอย่างแท้จริง แม้เขาจะไม่ลงรอยกับบิดา แต่เมื่อบิดาเพียงคนเดียวของเขาตายลง เขาย่อมปรารถนามาไว้ทุกข์อยู่ข้างโลงศพสักช่วงเวลา เพื่อทำหน้าที่ของลูกครั้งสุดท้าย จุดประสงค์ของเจ้านาย คือให้บุตรชายของฟงเฉาหยางได้ใช้เวลาอยู่ที่นี่อย่างสะดวก ไม่ว่าจะเจ็ดวัน หนึ่งเดือน หรือครึ่งปีก็ตาม....”

เล่งหยาสั่นสะท้านไปทั่วร่าง ในอกแผ่พุ่งด้วยความอบอุ่น มุมหางตาเปียกชื้นเล็กน้อย ณ เวลานี้เอง ความรู้สึกขัดแย้งสุดท้ายต่อเย่หวูเฉินได้สลายไปสิ้น

สุสานแห่งนี้ทั้งลึกและยาวมาก อากาศภายในอับชื้น หลังจากเดินเข้าไปเป็นเวลานาน ในที่สุดชายชราก็หยุดเท้าลง เขามองเล่งหยาและถอนใจยาวคราหนึ่ง “ฮ้า ลิขิตฟ้าไม่อาจทำนาย คิดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่แม่ของเจ้าก็....” เขาชี้ไปที่โลงศพซึ่งทำขึ้นจากหินสีฟ้า “นั้นคือที่ๆฟงเฉาหยางหลับไหลอย่างสงบ เจ้าเข้าไปเถอะ จงใช้เวลานานเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่ต้องห่วงเรื่องคนรบกวน อาหารสามมื้อต่อวันจะมีคนนำมาส่งให้เจ้า เมื่อถึงวันชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน จะมีคนมาแจ้งข่าวแก่เจ้าเอง”

เล่งหยามองไปยังโลงหินฟ้า เดินตรงเข้าไปหาอย่างเงียบงัน ค่อยๆวางโลงของมารดาตนไว้ข้างๆ จากนั้นคุกเข่าหนักหน่วงลงกับพื้น

เหยียนชิงหงหันตัวกลับ เดินไปได้หนึ่งก้าวก็หันกลับมา มองที่ฉู่จิงเทียนและยิ้มกล่าวอย่างอ่อนโยน “ระหว่างนี้ เจ้ามาอยู่กับตาแก่อย่างข้าก็แล้วกัน”

ฉู่จิงเทียนเอามือลูบศีรษะและกล่าวอายๆ “ข้าจะอยู่ไว้ทุกข์เป็นเพื่อนเจ้าหน้าน้ำแข็ง รบกวนช่วยส่งอาหารเผื่อข้าด้วยนะ”

เหยียนชิงหงชะงักขณะหนึ่ง จากนั้นหัวเราะ พยักหน้า และเดินออกไป

ฉู่จิงเทียนเดินไปคุกเข่าลงข้างเล่งหยา เล่งหยาเหลือบตามองและถาม “เจ้าไม่ออกไปหรือ?”

“พวกเราเป็นเพื่อนกัน พ่อแม่ของเจ้าก็คือลุงป้าของข้า ข้าก็ต้องคุกเข่าให้พวกเขาอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ข้าขอคุกเข่าเพียงหนึ่งวัน หลังจากนั้นข้าจะฝึกลมหายใจอยู่ที่นี่” ฉู่จิงเทียนตอบ

เล่งหยามองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถอนสายตากลับ แล้วมองสองโลงศพที่เคียงข้างกันอยู่เบื้องหน้า สายตาค่อยๆเลื่อนมองไปไกล ไม่ได้จดจ้องอยู่ที่ตำแหน่งใด

ท่านแม่ หลังจากที่ท่านตายไป ก็ได้มาอยู่เคียงข้างเขา ท่านสมควรมีความสุขมาก แม้ในที่สุดลูกจะบรรลุความสำเร็จเพียงเล็กน้อย แต่ทั้งชีวิตก็ย่อมไม่อาจตอบแทนพระคุณของท่านได้ ข้าเพียงแต่หวังว่า ชีวิตหน้าท่านจะได้แต่งงานกับคนที่รักท่าน มีชีวิตใหม่ที่ไม่ต้องเผชิญกับเคราะห์ร้าย....แม้ต่อให้เป็นครอบครัวธรรมดาก็ถือว่าพอแล้ว

ฟงเฉาหยาง แม้ท่านจะตาย แต่ก็ตายโดยไร้ห่วง แม้ถูกขนานนามเป็นเทพสงครามผู้ไร้พ่าย ผู้คนนับไม่ถ้วนล้วนชื่นชม แต่สุดท้ายท่านก็ตาย และข้าปรารถนาไล่ตามท่านเพียงเพราะท่านแม่ที่น่าสงสารของข้า ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้กล้าที่ยิ่งใหญ่ หรือจะเป็นขอทานข้างถนน สามารถได้รับความรักจากแม่ข้า ก็นับเป็นวาสนายิ่งใหญ่ที่สุดของท่านแล้ว

เล่งหยาคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่เคลื่อนไหว ราวกับกลายเป็นหินสลัก

.............

.............

เรื่องอื้อฉาวของสองน้าหลานหลินเสี่ยวและจักรพรรดินีหลินซิว แพร่ลามตลอดวันโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ตรงกันข้าม ข่าวนี้กลับโหมกระพือโดยไม่ทราบสาเหตุ แม้แต่ขอทานข้างถนนยังพูดถึงอย่างออกรส ไม่เพียงแค่เมืองเทียนหลงเท่านั้น กระทั่งเมืองน้อยใหญ่ที่อยู่รายรอบก็เริ่มรู้เป็นวงกว้าง จนเมื่อถึงยามค่ำคืน ถนนทุกเส้นในเมืองก็เกิดข่าวลือขึ้นว่ามีการสังหารเพื่อปิดปาก แต่ถึงแม้พวกเขาไม่กล้าพูดเรื่องนี้ในที่แจ้ง หากในที่ลับตาก็ยังถกเถียงกันเป็นประเด็นใหญ่ บางคนหลบเลี่ยงที่กล่าวถึงตรงๆ บางคนเริ่มถอนหายใจกับโลกที่เสื่อมทราม บางคนถอนหายใจเพราะผู้ที่ได้ชื่อว่าสุภาพบุรุษกลับมีจิตใจสกปรก บ้างก็ถอนหายใจอย่างเศร้าสลด แต่ละคนถอนหายใจด้วยเหตุผลแตกต่างกันไป กระทั่งที่ถอนหายใจที่บางตระกูลกลับให้กำเนิดชาติหมูสุนัขเช่นนี้ออกมา....

ส่วนหลงหยินผู้ที่มักสุขุมอยู่เสมอไม่ทราบวันนี้ทำลายข้าวของไปแล้วกี่อย่าง เขาอยากให้เย่หวูเฉินตาย แต่ถึงโทสะจะท่วมทับหัวใจเพียงใดก็ไม่อาจสูญเสียเหตุผลสุดท้ายได้ เขาถูกฉีกหน้าย่อยยับ แต่เขาไม่มีปัญญาสังหารเย่หวูเฉิน ขณะที่เย่หวูเฉินมีทางสังหารเขาได้ อีกทั้ง เขายังไม่อาจโยนความผิดให้เย่หวูเฉินเพราะไม่มีหลักฐานที่จะใช้ยืนยัน ดังนั้นจึงได้แต่นำความโกรธเปลี่ยนไปลงที่หลินเสี่ยว หลินเสี่ยวจะต้องตาย วันนี้ที่ยังปล่อยให้มีชีวิตก็นับว่าไว้หน้าตระกูลหลินเท่าใดแล้ว พรุ่งนี้ เขาจะให้หลินเสี่ยวได้อยู่เป็นวันสุดท้าย หลังจากนี้จะให้คนลอบกำจัดทิ้ง ส่วนหลินซิวไม่อาจสังหารได้ หลินเสี่ยวตายเงียบได้แต่ไม่ใช่กับจักรพรรดินี หากจักรพรรดินีตายทั้งโลกจะต้องรู้ และทุกคนจะทราบทันทีว่า ‘ข่าวลือ’ นี้ไม่ใช่แค่ข่าวลืออีกต่อไป ส่วนหลงหยินก็จะกลายเป็นตัวตลกต่อสายตาคนทั้งทวีป

เช้าตรู่ของวันต่อมา วันนี้ในท้องพระโรงเทียนหลงมีบรรยากาศแปลกแปร่ง ก่อนนี้เหล่าขุนนางที่รอจักรพรรดิเสร็จมาจะพูดคุยกันเสียงดัง หากในวันนี้กลับเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าโง่เอ่ยถึงเรื่องเมื่อวาน พวกเขาเหลือบแลสำรวจสถานการณ์โดยรอบ วันนี้หลินขวงไม่ได้เข้าประชุม แม้ว่าหลินซานจะมาถึงแต่เช้า แต่สีหน้าก็ไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง บางครั้งรอยยิ้มก็น่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้ น้องสาวและลูกชายตนกระทำเรื่องบัดสี ยิ่งกว่านั้นฝ่ายหนึ่งยังเป็นจักรพรรดินี เป็นพระแม่ของแผ่นดิน การที่เขายังกล้าโผล่หน้ามาพบผู้คนนับว่ากล้าหาญอย่างมาก

และสิ่งหนึ่งที่แปลกยิ่งไปกว่านั้น เย่เว่ยผู้ที่ไม่เคยมาสาย ตอนนี้กลับยังไม่ปรากฎตัว

วันนี้หลงหยินมาถึงช้า เขานั่งบนบัลลังก์ท้องพระโรง สีหน้ายังคงภาคภูมิ ไม่มีร่องรอยผิดแปลกแม้แต่น้อย หลังจากที่เหล่าขุนนางคุกเข่าถวายความเคารพเสร็จ พวกเขาก็ลุกขึ้นแยกออกประจำอยู่สองฝั่ง ศีรษะก้มลงเล็กน้อย ไม่มีใครกล้าแสดงสีหน้าผิดธรรมดา เรื่องอับอายใหญ่หลวงเช่นนี้ ไม่มีบุรุษคนใดทนได้ ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงราชาของแผ่นดิน พวกเขารู้ดีว่าตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้หลงหยินข่มกลั้นอารมณ์เพียงใด ดังนั้นพวกเขาจึงต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

หลงหยินปราดตามองดุจสายฟ้าผ่านเหล่าขุนนาง หากกลับพบว่าที่ประจำของเย่เว่ยกลับไม่มีเขาอยู่ หลงหยินขมวดคิ้วและถาม “พวกเจ้าพอมีจะใครบอกข้าได้บ้าง ว่าขุนพลไร้พ่ายหายไปไหน?”

เพียงสิ้นเสียงของหลงหยิน ที่นอกท้องพระโรงก็มีเสียงหนึ่งดังสะท้อนเข้ามา “หวูเฉินมีบางอย่างจะกล่าว”



<<<PREV    .    NEXT>>>