วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 283

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 283 จักรพรรดิต้าฟงถึงขีดจำกัด

จักรพรรดิมารปิดบังใบหน้าไว้ ฟงเลี่ยจึงไม่อาจเห็นอารมณ์ของเขาได้ หากฟงเลี่ยยังพอรู้สึกได้ว่าจักรพรรดิมารแค่นเสียง “จักรพรรดิผู้นี้สังหารเฉพาะเพียงคนเลวทรามและศัตรูของตน โดยเฉพาะกับคนที่จักรพรรดิผู้นี้เกลียดชัง ข้าจะทำให้มัน....มีชีวิตอยู่เหมือนตกตาย....”

น้ำเสียงเย็นเชียบบาดคมดุจกระบี่ ทิ่มแทงจิตใจฟงเลี่ยครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อหน้าจักรพรรดิมาร เขาไม่อาจหยุดกายที่สั่นเทา เพียงนึกถึงหรือได้ยินชื่อ เขาก็ตัวสั่นไปทั้งร่าง บัดนี้ ชั่วชีวิตเขาย่อมไม่มีวันลบลืมเงาจักรพรรดิมารออกไปจากใจได้

เขาเป็นจักรพรรดิแห่งต้าฟง ผู้ที่ตกตายใต้น้ำมือเขานั้นมีอยู่นับไม่ถ้วน เขาไม่อาจรู้เลยว่าปีศาจตนนี้กำเนิดขึ้นจากเรื่องใด คำพูดของจักรพรรดิมารที่กล่าวออกมา ทำให้เขาพอเข้าใจถึงเหตุผลที่มาได้บ้าง ราวกับคนเห็นแสงแห่งความหวังอันเลือนราง เขากล่าวคำอ้อนวอนประดุจผู้น้อย “ข้า....ที่ผ่านมาข้าทำผิดพลาดไว้หลายสิ่ง ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า เป็นข้าที่บัดซบเอง ได้โปรด.... ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย หากเจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งใด.... ข้าจะยอมทุกอย่าง....”

“ในเมื่อรู้ว่าตัวเองบัดซบ เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงไม่ตายเสียตอนนี้?”

ฟงเลี่ยชะงักค้าง ตอนนี้สำหรับเขาความตายอาจทางออกให้หลุดพ้น อย่างไรก็ตาม “ข้า....ข้ายังตายไม่ได้ ข้าเป็นจักรพรรดิ.... ท่านโปรดปล่อยข้าไปเถอะ.... ไม่ว่าท่านต้องการสิ่งใด จะเป็นเงินทอง หรืออำนาจ.... หรือนางสนมของข้า ข้าก็มอบให้ได้....”

สำหรับเขา มีหลายสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิต อย่างเช่น เกียรติยศและความภาคภูมิ รวมถึงตระกูลฟงทั้งหมด หากเขายอมตายหลังจากถูกรังควาน เช่นนั้นความทะยานล้ำทั้งชีวิตคงกลายเป็นเพียงเรื่องตลก และเขาทำนายล่วงหน้าได้เลยว่า หลังจากเขาตายหายนะนี้ย่อมส่งต่อไปถึงฟงหลิง หากฟงหลิงถูกรังควานจนบ้าตายไปอีกคน ตระกลูฟงคงถึงคราวจบสิ้น ดังนั้น เขาจึงขอยืนกรานอดทน ทว่าเมื่อถูกรังควานจนใกล้เสียสติ เพื่อจะรอดพ้นจากฝันร้ายนั้น จักรพรรดิต้าฟงผู้สูงส่งไม่ลังเลที่จะคุกเข่าอ้อนวอนแม้แต่น้อย

“ช่างเป็นข้อเสนอที่ดีเสียจริง ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า....” จักรพรรรดิมารหัวเราะ น้ำเสียงแหบพร่าเหมือนกับเศษแก้วเสียด ฟังแล้วอึดอัดยากจะหายใจ เขาลดเสียงลงและกล่าว “ดีมาก เสียเวลากับเจ้ามานาน ในที่สุดเจ้าก็กล่าวคำพวกนี้ออกมา ดีจริงๆ....”

ฟงเลี่ยไม่เพียงเจ็บปวดรันทดอยู่ในใจ เขาเอ่ยถามเสียงสั่น “ท่าน....ไม่ว่าต้องการให้ข้าทำสิ่งใด....ตราบที่ท่านไม่ปรากฎกายต่อหน้า ข้าจะทำทุกสิ่งที่ท่านต้องการ”

“หากเจ้าเล่นตลก ข้าจะเล่นเจ้าให้หนัก หากเจ้าเชื่อฟัง จักรพรรดิผู้นี้จะไม่ปรากฎตัวในสถานที่นี้อีก อย่างไรก็ตาม เจ้าวางใจได้ว่าจักรพรรดิผู้นี้มิได้ต้องการสถานะหรือบัลลังก์ของเจ้า แต่สิ่งที่จักรพรรดิผู้นี้อยากให้เจ้ากระทำ บางทีอาจเป็นสิ่งที่เจ้าคิดฝัน” จักรพรรดิมารกล่าวคำด้วยดวงตาทมิฬดุจปีศาจ เมื่อเล่นมาจนพอและรังแกมามากแล้ว ทางเลือกดีสุดต่อจากนั้นมิใช่การทำลาย แต่คือทำให้กลายเป็นเครื่องมือ

“ท่าน....อยากให้ข้าทำอะไร?” ฟงเลี่ยกระเหี้ยนกระหืออยากให้มันหายไปพ้นๆและไม่กลับมาอีก

“ยอดเยี่ยม.... จักรพรรดิผู้นี้ชื่นชมท่าทีของเจ้านัก จงจดจำคำพูดของเจ้าในวันนี้ไว้ให้ดี ไม่อย่างนั้น....”

เบื้องหน้าของฟงเลี่ย ฉับพลันมีลมเย็นกรรโชก สายลมพัดแทรกปกเสื้อ นำความเหน็บหนาวเสียดร่างจนกายสั่น หากหลังจากผ่านไปนาน เขาไม่ได้ยินเสียงใดอีก เมื่อเงยศีรษะขึ้นมา ตรงหน้าก็ไม่มีผู้ใดแล้ว จักรพรรดิมารไม่ทราบว่าหายไปไหน

เรี่ยวแรงกำลังทั่วร่างหมดสิ้นเพราะความกลัว เหงื่อเย็นยังเปียกชุ่มผ้าเหมือนตกน้ำ เขาพิงหลังกับเตียงและอ้าปากหอบหายใจ จักรพรรดิมารมิได้กล่าวว่าจะให้เขาทำสิ่งใด หากนั่นหมายถึงมันจะให้เขาทำตามเมื่อใดก็ได้ จักรพรรดิแห่งต้าฟงผู้ทรงอำนาจ กลับกลายเป็นหุ่นเชิดของคนอื่น ทว่าบุคคลนั้นเป็นปีศาจที่ทรงพลัง ส่วนเขาเป็นคนอ่อนแอที่ถูกเหยียบย่ำ ตั้งแต่ฟงเฉาหยางจากไป เขาก็ไม่อาจหาเทพปกปักษ์ที่แกร่งกล้าและภักดีอย่างฟงเฉาหยางได้อีกเลย

จักรพรรดิมารจากไปแล้วแต่ฟงเลี่ยยังตัวสั่น เหน็บหนาวเหมือนตกสู่หลุมน้ำแข็ง เขาดึงผ้าห่มคลุมกาย กระซิบพึมพำซ้ำๆกับตัวเอง “ทนไว้....ทนไว้....ทนไว้....มันจะต้องเผยจุดอ่อนออกมาสักวัน....แล้วข้าจะมอบทุกสิ่งคืนให้อย่างสาสม....”

...............

...............

ข่าวการกลับมาของเย่หวูเฉินกลายเป็นสีสันประหลาดที่ระบาดทั่วทวีปเทียนเฉินอย่างรวดเร็ว เมื่อเย่หวูเฉินกลับสู่ตระกูลได้ครบสัปดาห์ ข่าวก็กระจายไปทั่วทวีปเทียนเฉิน ผู้คนล้วนประหลาดใจกับข่าว ทว่าเมื่อได้ยินว่าเย่หวูเฉินมีร่างกายพิการ ผู้คนต่างเสียดายที่ยอดยุทธวัยเยาว์กลับร่วงตกสวรรค์ กล่าวกันว่าฟ้าคงอิจฉาพรสวรรค์ดุจเทพ

หลังจากที่เย่หวูเฉินกลับมา ตระกูลเย่กลับไม่ได้ร่าเริงเหมือนที่ผู้คนส่วนใหญ่คิด ตรงกันข้าม ตระกูลเย่กลับสงบเงียบยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังมีข่าวลือว่าขุนพลเว่ยหลงป่วยไข้จากการกรำศึกมายาวนาน ขณะที่ขุนพลชราเย่หน้าแดงเปล่งปลั่ง ทุกวันมักออกไปเดินเล่น บางครั้งก็ไม่กลับหลายวัน

หากเมื่อเทียบกับตระกูลเย่แล้ว ตระกูลหลินกลับเงียบงันกว่าจนแทบจะเป็นป่าช้า

เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ว่าเท้าและขาของเย่หวูเฉินอยู่ในสภาพที่ไม่สะดวก ทำให้เย่หวูเฉินที่มักพาหนิงเสวี่ยออกไปเดินเล่นบนท้องถนนเมื่อสามปีก่อน ตอนนี้หายากยิ่งที่จะเห็นเขาออกไป เป็นที่รู้กันว่าบุตรชายตระกูลเย่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนรถเข็น เอนร่างอาบแดดอย่างสบายใจ หรือไม่ก็ไปที่สวนของเย่ฉุ่ยเหยา แล้วใช้เวลานานก่อนจะกลับออกมา ในช่วงแรกที่เขากลับมาถึงตระกูล ทุกวันเขาจะไปที่บ้านตระกูลฮั่ว หลังจากนั้นฮั่วฉุ่ยโหรวที่แทบไม่ออกจากบ้านก็วิ่งแล่นมาหาถึงตระกูลเย่ทุกวัน บางครั้งมาตอนเช้าและกลับเที่ยง นับแต่เมื่อเย่หวูเฉินกลับมา ฮั่วฉุ่ยโหรวที่ใบหน้าผอมบางก็เริ่มแดงเรื่อมีน้ำนวล แผ่เสน่ห์อัศจรรย์ของของหญิงสาวตัวน้อย ชายหนุ่มมากมายที่พบนางบนถนนยังต้องตะลึงค้าง

เย่เว่ยล้มป่วยนอนเตียง แต่หลงหยินกลับไม่เคยมาแวะเยี่ยม เมื่อรวมกับคำพูดน่าตกใจของเย่หวูเฉินในท้องพระโรง เหล่าขุนนางนายพลนับร้อยก็ล้วนได้กลิ่นผิดปกติ ทุกวันจะมีคนไปเยี่ยมเย่เว่ยเพื่อตรวจสอบ “อาการเจ็บป่วย” แต่ทุกคนล้วนไม่พบสิ่งใดผิดปกติ เวลานี้อาณาจักรเทียนหลงกำลังถูกคนนอกจ้องรุกราน หากเกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเย่และราชตระกูล นี่ย่อมเป็นข่าวร้ายสำหรับทั้งอาณาจักรเทียนหลง และ...หากตระกูลเย่คิดที่จะเปลี่ยนผัน....ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานย่อมถูกกระแสต่อต้าน ทว่าหากกล่าวถึงความภักดี ยังจะมีผู้ใดสัตย์ซื่อยิ่งกว่าตระกูลเย่! คนทั่วโลกอาจกลับกลาย แต่ไม่ใช่กับตระกูลเย่!

แต่หากสมมติว่าตระกูลเย่คิดก่อการกบฎจริงๆ.... ทหารกว่าครึ่งแห่งเมืองเทียนหลงล้วนอยู่ใต้บัญชาของตระกูลเย่ ทหารส่วนตัวของตระกูลเย่ยังเก่งกาจเลื่องลือ ตระกูลเย่นับว่ากุมอำนาจเหนือกว่าราชตระกูล ลูกศิษย์และบริวารที่สาบานจะภักดีติดตามปู่เย่มีอยู่มากมายตามหัวเมืองต่างๆ ไม่ทราบรวมแล้วเป็นจำนวนเพียงใด แม้ว่าเมืองหลวงมีกำลังแข็งแกร่ง แต่หากเพียงตระกูลเย่ยกมือสั่งการ อาณาจักรเทียนหลงจะเปลี่ยนฟ้าในทันที หากตระกูลเย่คิดกบฎจริงๆ เหตุใดต้องรอมาจนป่านนี้  เลือกกระทำการในเวลาที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้น เรื่องลึกลับนี้มีเบื้องหลังใดที่ซ่อนอยู่กันแน่?

หากในเวลานี้ สิ่งที่ทำให้ทั่วทั้งทวีปเทียนเฉินหัวใจรัวเร็วด้วยความตื่นเต้น คืองานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินที่ใกล้เข้ามา สายตานับไม่ถ้วนล้วนจ้องมอง แม้ว่างานชุมนุมยุทธเวทย์หนหนึ่งจัดขึ้นทุก 25 ปี แต่ทุกครั้งล้วนเป็นจุดสนใจของคนทั้งทวีป เมื่อ 25 ปีก่อน งานประลองครานั้นได้ผลลัพธ์เป็นสี่บุคคลที่แกร่งกล้าสูงสุด ได้แก่ ฉู่ชางหมิง , ฟงเฉาหยาง , หวู่เชียวชุย , และเสวี่ยหนี่ พวกเขาทั้งหมดมีพลังขอบขั้นเทวะ และสำหรับงานประลองครั้งนี้ นอกเหนือจากฟงเฉาหยางที่ตกตาย ฉู่ชางหมิง , หวู่เชียวชุย และเสวี่ยหนี่ล้วนยังมีชีวิตอยู่ งานประลองครั้งนี้ผู้ที่แกร่งกล้าสูงสุดจะยังคงเป็นพวกเขา.... หรือจะเป็นยอดยุทธหน้าใหม่ที่สร้างความตะลึงโลก

สถานที่จัดงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินยังคงเป็น ณ จุดใจกลางทวีป สถานที่เดิมเมื่อ 25 ปีก่อน ผู้เป็นเจ้าภาพจัดงานคือสำนักจักรพรรดิเหนือ ซึ่งหน้าที่นี้จะเป็นของสำนักจักรพรรดิเหนือหรือสำนักจักรพรรดิใต้เท่านั้น ใต้แรงกดดันของเหล่ายอดยุทธที่มาชุมนุม แต่ละคนล้วนผยองอวดกล้า ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าอวดเบ่งต่อหน้าสำนักจักรพรรดิเหนือและใต้

“เทพกระบี่ , เทพสงคราม.... พวกเขาคือตัวตนที่แข็งแกร่งสุดในโลกหล้าจริงๆหรือ? บางทีอาจใช่ บางทีอาจไม่” เย่หวูเฉินรำพึงและถอนหายใจ เขาเชื่อว่าในอีกหลายมุมของทวีปเทียนเฉินยังคงมียอดฝีมือที่เร้นกายอยู่ ในหมู่พวกเขาอาจมีบางคนที่ข้ามพ้นขอบขั้นประดุจเทพ ใต้หุบเหวปลิดวิญญาณเป็นตัวอย่างหนึ่งในกลุ่มคนที่เรียกได้ว่า “มีพลังตะลึงโลก”

“ท่านพี่ ท่านเคยบอกว่าพี่ทงซินเก่งกาจเหนือผู้ใด.... ฮี่ๆ นางกระทั่งเก่งกว่าท่านปู่ฉู่อีก” หนิงเสวี่ยป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆเขา

“ทงซินนางไม่เหมือนกัน นางไม่ใช่คนของโลกนี้” เย่หวูเฉินกล่าวคำขณะที่เผยสีหน้าซับซ้อนออกมา เขาจับมือหนิงเสวี่ยกับทงซินไว้คนละข้าง

“เอ๋?” หนิงเสวี่ยกระพริบตาปริบ ความสงสัยฉายชัดเต็มใบหน้า

เขาออกมาอาบแสงแดดอ่อนๆได้เป็นเวลานาน เย่หวูเฉินอ้าปากหาวอย่างเซื่องซึม กางแขนออกและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เสวี่ยเอ๋อร์ มาให้พี่ชายเจ้ากอดหน่อย”

“อื้ม” หนิงเสวี่ยยิ้มดีอกดีใจ โยนร่างนุ่มนวลเข้าไปในอ้อมแขน นั่งบนตักพิงร่างลง เพียงไม่กี่ขณะ เปลือกตาก็ค่อยๆปิดลง และหลับไหลไร้สติไป

“เจ้าตัวขี้เซา” เย่หวูเฉินยิ้ม ใบหน้าฉายความองอาจออกมาเล็กน้อย

ราวกับว่า....นางหลงใหลกับการหลับนอนมากเกินไป

ยิ่งในหนึ่งปีที่ผ่านมา อาการของนางก็เป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้นางหลับอย่างน้อย 15 ชั่วโมงต่อวัน

แท้จริงแล้วมันเกิดจากสาเหตุใดกันแน่?



<<<PREV    .    NEXT>>>