วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 261

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 261 น้ำตาลูกผู้ชาย (1)

หลังจากเฮยเซียงส่งพ่อกับแม่ไปพำนักยังที่อยู่ใหม่อย่างมีความสุข ผู้คุ้มกันชุดเหลืองก็เข้าไปห้องหนังสือของหลงหยิน ถวายรายงานด้วยความเคารพ “ที่นั่นเป็นหุบเขาลึกไม่มีใครอยากอาศัย และมีเพียงไม่กี่ครอบครัวที่อาศัยอยู่ บ่าวผู้ต่ำต้อยใช้เวลานานกว่าจะหาที่นั่นเจอ ฟังจากคนที่นั่นแล้ว เฮยเซียงผู้นี้เรียกว่าเฮยเซียงจริงๆ เขาไม่มีชื่ออื่น บิดาของเขาเรียกว่าต้าเซียง (หมีใหญ่) มารดาของเขาเรียกว่าต้าหัว (บุปผาใหญ่) คนที่นั่นเล่าให้ฟังว่า เฮยเซียงถือกำเนิดแตกต่างจากคนอื่น เกิดมาพร้อมพลังประหลาด อายุ 10 ขวบสามารถถอนโค่นต้นไม้ใหญ่ ทว่ามารดาของเขาเข้มงวดอย่างมาก ไม่ยอมให้เขาใช้พลังรังแกผู้ใด ทั้งยังให้ช่วยเหลือคนอื่นในหมู่บ้าน วันหนึ่งมีนักศึกษาเดินทางเข้าไปในหมู่บ้าน เขากล่าวว่าด้วยความสามารถเหนือล้ำของเฮยเซียง หากเขาเข้าร่วมการประลองในเมืองย่อมชนะเลิศ ถึงตอนนั้นเขาจะได้ตำแหน่งใหญ่ ดังนั้น บิดามารดาจึงส่งเขามาที่นี่”

เมื่อได้พบพ่อแม่ของเฮยเซียง ความสงสัยสุดท้ายของหลงหยินเป็นอันสลาย ยามนี้ที่เขาสงสัยกว่าก็คือพลังประหลาดที่ติดตัวมาแต่เกิด ทำผู้คนได้แต่ถอนหายใจในพรสวรรค์อัศจรรย์ การเรียกพบบิดามารดาของเขา ประการแรกเพื่อตรวจสอบว่านี่เรื่องจริงหรือโกหก ประการที่สองเพื่อมัดใจ ทำให้เขาภักดีและอุทิศตัว ประการที่สามเพื่อป้องกัน ไม่ให้เขามีจิตคิดทรยศ หากวันหนึ่งเขาคิดไม่ซื่อขึ้นมา ก็สามารถใช้บิดามารดาเข้าข่มขู่เพื่อเชื่อฟัง

“นอกจากนั้น บิดามารดาของเฮยเซียงยังปฏิเสธที่จะทิ้งข้าวของๆตระกูล ฝ่าบาทต้องการทอดพระเนตรหรือไม่?”

“โอ้? มันคือสิ่งใด?”

“มีไม่มากนัก....หลักๆก็มีหม้อดินกับกระทะ ฝ้าห่มฝ้าย ผ้าฟูกนอน และยังมีเหยือกน้ำ ถังไม้ ตะเกียบ ขนมอบแข็ง... พวกเขายืนยันว่าจะไม่ทิ้งของเหล่านี้”

หลงหยิน “......”

นับแต่นั้น เฮยเซียงได้กลายเป็นผู้คุ้มกันประจำตัวหลงหยิน ทุกคนในเมืองเทียนหลงล้วนรู้จักนามของเฮยเซียง ไม่ว่าหลงหยินไปที่ใดก็จะนำเฮยเซียงติดตามไปด้วย เฮยเซียงไม่มีทีท่าดื้อดึงแม้แต่น้อย เขาทั้งเทิดทูนและซาบซึ้งในตัวหลงหยิน หากมีใครล่วงเกินหลงหยิน เขาจะพลันเกรี้ยวกราด เพียงหลงหยินเหลือบตาส่งความ เขาจะตรงออกไปเบื้องหน้าประเคนหมัดเข้าใส่พวกมัน บิดามารดาของเฮยเซียงตั้งหลักปักฐานอยู่ในเมืองเทียนหลง ทุกวันใช้ชีวิตเดินเที่ยวอย่างสุขสำราญ พบปะผู้คนหัวเราะร่าเริง แต่ละวันผ่านไปสีหน้ายิ่งเปล่งปลั่ง

........................

........................

เย่เว่ยเล่าที่มาของเฮยเซียงอย่างระมัดระวัง จากนั้นกล่าวสำทับ “ในวันที่ข้าได้ประจักษ์ต่อพลังของเด็กหนุ่มผู้นี้ ข้าทั้งตกตะลึงและหวาดหวั่น เจ้าสมควรระวังสุดยอดพรสวรรค์ผู้นี้ไว้ย่อมเป็นการดี”

“ข้าทราบแล้ว” เย่หวูเฉินพยักหน้า

“เจ้าพึ่งกลับมา อย่างแรกอย่าพึ่งคิดสิ่งใดมาก จงพักผ่อนให้เพียงพอ เย่ซาน พานายน้อยกลับไปส่งที่ห้อง”

“ขอรับ นายท่าน” เย่ซานรับคำ จากนั้นดันเย่หวูเฉินไปยังทางสวนของเขา ทว่าเพียงเดินได้ไม่กี่ก้าว หนิงเสวี่ยกับทงซินก็วิ่งต้อยๆออกมา “พวกเรามาแล้ว พวกเรามาแล้ว....”

เย่ซานขยับถอยออกไป ปล่อยให้สองสาวน้อยเข็นรถ หลังจากกลับเข้ามาในสวนของตนเอง เย่หวูเฉินไม่อาจอดกลั้นอีกต่อไป เขาปล่อยเสียงหัวเราะปลอดโปร่งออกมา

อีกทางฝั่งหนึ่ง

เล่งหยากำลังประคองแขนมารดาตนเอง ค่อยๆพานางออกมาจากห้อง ตอนนี้เล่งชิวไม่ได้มีร่างกายอ่อนแอเหมือนในอดีต ไม่จำเป็นต้องประคองแขน ทว่าการประคองแขนมารดาเป็นสิ่งที่เล่งหยาปฏิบัติจนเคยชิน มารดาของเขา คือคนสุดท้ายในครอบครัวที่เหลืออยู่

แม่ลูกพบหน้า ต่างฝ่ายซบไหล่และร้องไห้ ตลอดสามปีที่ไม่ได้เจอกัน พวกเขามีเรื่องมากมายให้พูดคุย เล่งหยาเล่าเรื่องในสามปีของตน เล่งชิวก็เล่าเรื่องของตนในสามปีเช่นกัน พวกเขาเล่าแต่เรื่องดีๆราวกับตกลงกันไว้ เล่งหยาอวดว่าเขาก้าวหน้าเพียงใดในสามปี โดยไม่กล่าวถึงความยากลำบาก เล่งชิวเล่าว่าได้รับการปฏิบัติอย่างดีจากตระกูลเย่ โดยไม่กล่าวถึงความเศร้าโศกและน้ำตา

นี่คือสวนของฮูหยินตระกูลเย่ เล่งหยาสะบัดมือขวา เพียงพริบตาในมือก็ปรากฎกระบี่สั้นสีเขียวเข้ม เขาชี้กระบี่ไปที่ต้นผลไม้ที่ห่างออกไปสิบเมตร แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่ ดูนี่นะ!”

เขาเคลื่อนกระบี่คร่าสายลมในมือขวาช้าๆ จิตสังหารเย็นเยียบไม่ทราบพวยพุ่งมาจากไหน เขาเกร็งกำลังลงที่มือเขวา กระบี่เขียวเล่มสั้นเปล่งแสงเขียวบาง

เขากู่ร้องเบาๆคำหนึ่ง มือของเล่งหยาฉับพลันตวัดออก คลื่นอากาศไร้สีเสียงแหวกพุ่งไปยังต้นผลไม้ที่อยู่ห่างออกไปสิบเมตร เกิดเสียงตัด ‘ฉับ’ เข้ากลางลำต้นในแนวตั้ง

เล่งหยามองมารดาที่มีสีหน้าไม่อยากเชื่อ เขาค่อยๆเก็บกระบี่คร่าสายลมกลับและกล่าว “ท่านแม่ ตอนนี้ข้าแข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว ภายหลังจะไม่มีใครรังแกท่านแม่ได้อีก นับจากนี้ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่าน ฝึกฝนอย่างหนักทุกวัน จนกว่าจะก้าวข้ามเขาได้.... ข้าจะทุ่มเททุกสิ่งที่มีเพื่อท่านแม่!”

เล่งชิวยิ้มและส่ายศีรษะ “เสี่ยวฟง เจ้าโตขึ้นแล้ว เจ้าบรรลุผลลัพธ์นี้ได้ แม่มีความสุขที่สุด การที่เจ้ามีวันนี้ รวมถึงแม่มีที่พักพิงมาตลอดหลายปี ล้วนแต่เป็นนายน้อยเย่ที่มอบให้ เจ้าคงรู้สึกขอบคุณเขาอย่างยิ่งใช่หรือไม่?”

เล่งหยาเงียบไปขณะหนึ่ง จากนั้นค่อยๆพยักหน้า

เล่งชิวถอนหายใจบาง “เจ้ายังคงรู้สึกขัดแย้ง ที่เขาตายเพราะนายน้อยเย่? วันนั้นเมื่อแม่ได้ข่าวการตายของเขา แม้ใจเกลียดชังแต่ก็ยังโศกเศร้า แต่สำหรับนายน้อยเย่แม่ไม่อาจเกลียดเขาได้ เพราะระหว่างพวกเขาไม่ได้มีความแค้นต่อกัน บางทีนั่นอาจเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกัน พวกเขาต่างต้องสู้เพราะจุดยืนที่แตกต่าง ไม่ว่าผู้ใดตายก็ไม่อาจกล่าวโทษอีกฝ่าย แม่เชื่อว่าหากผู้ที่ตกตายในวันนั้นเป็นนายน้อยเย่ ตระกูลเย่ก็จะไม่ขับไล่ข้า เสี่ยวฟง แม่รู้ว่าเจ้าเข้าใจความจริงข้อนี้ดี ทว่าอย่างไรเขาก็ยังเป็น.... เจ้าไม่อาจเอาชนะอารมณ์ได้ในตอนนี้ อย่ากังวลเลย นี่ถือเป็นเรื่องธรรมดา ข้าเชื่อว่าผ่านไปอีกสักระยะ เจ้าจะสามารถปล่อยวางเรื่องนี้ลงได้ นายน้อยเย่ไม่มีสิ่งใดติดค้างต่อพวกเรา มีแต่พวกเราที่ติดค้างต่อเขามากมายนัก”

“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านแม่” เล่งหยารับคำอย่างจริงจัง

“ในเมื่อเข้าใจ เช่นนั้นหลังจากนี้จงติดตามนายน้อยเย่ ทำงานให้กับเขา ในอดีตแม่ดูออกว่าเขาเป็นบุคคลที่เหนือล้ำไม่ธรรมดา แม้ยามนี้เขาพิการ แต่มังกรที่พิการอย่างไรก็ยังนับเป็นมังกร ย่อมมีทางที่จะพุ่งทะยานขึ้นฟ้า จงเชื่อสายตาของแม่ ด้วยอุปนิสัยของเจ้า เจ้าไม่เหมาะที่จะเป็นนายคน เช่นนั้นจงเลือกราชันที่แท้จริง แล้วกลายเป็นกระบี่คมกล้าให้กับเขา.... เจ้าเข้าใจความหมายของแม่หรือเปล่า?”

“แต่ว่าท่านแม่ ข้าต้องคอยอยู่เป็นเพื่อนท่าน จะปล่อยให้ท่านอยู่คนเดียวได้อย่างไร....”

เล่งชิวกล่าวแทรกขึ้น ปลอบประโลมโน้มนำ “เด็กโง่ ตอนนี้แม่ของเจ้าอยู่ในตระกูลเย่ ไม่ต้องห่วงกังวลเรื่องเสื้อผ้าและอาหาร ฮูหยินเย่ปฏิบัติต่อข้าเสมือนเป็นพี่น้อง เจ้ายังมีสิ่งอื่นให้กังวล อย่าให้แม่กลายเป็นโซ่ตรวนพันธนาการเจ้า เข้าใจไหม?”

“ไม่....ท่านแม่ ข้าอดทนฝึกฝนทรมานตัวเอง เพื่อจะกลับมาอยู่ข้างกายท่านแม่ได้เร็วขึ้น คอยอยู่เป็นเพื่อนและปกป้อง กลายเป็นคนที่ก้าวข้ามเขา ทุ่มเททุกสิ่งให้สำเร็จเพื่อท่านแม่ ไหนเลยข้าจะปล่อยท่านแม่ให้ต้องเดียวดายอีกครั้ง” เล่งหยาส่ายศีรษะหนัก

“เฮ้อ เด็กโง่ เมื่อเป็นแบบนี้ ภายหลังเจ้าค่อยหาเวลาว่างมาอยู่กับแม่.... นายน้อยเย่กลับมาตั้งนานแล้ว ข้ายังไม่ได้ออกไปพบเขา เสี่ยวฟง เจ้าจงไปทักทายผู้นำตระกูลเย่กับฮูหยินเย่ก่อน จากนั้นไปหานายน้อยเย่ กล่าวคำขอบคุณแทนแม่ให้หน่อยได้ไหม?” เล่งชิวมองสำรวจเล่งหยาทั่วร่าง กล่าวคำขณะมองดู นางยื่นมือออกลูบผมของเขาอย่างอ่อนโยน

“อืม ท่านแม่ ท่านกลับเข้าห้องไปพักผ่อนก่อน ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้” เล่งหยาพยักหน้าบาง ทว่ามารดาของเขายามนี้กำลังมองมาด้วยสายตาซับซ้อน เขาพบว่าตนเองไม่อาจเข้าใจความหมายของแววตานั้น

เพียงเล่งหยาหันกายออกไป น้ำตาของเล่งชิวก็ไหลร่วง เมื่อร่างของเล่งหยาหายลับไปจากมุม นางก็มีหยาดน้ำใสอาบเต็มใบหน้า ตาพร่าไม่อาจมองเห็นได้ชัดอีก

.............

สามปีผ่านไป ได้กลับมาใกล้รังตนอีกครั้ง ภายในห้องยังคงไม่เปลี่ยนไป สะอาดหมดจดไร้ฝุ่นผง เตียงนอนไม่อับชื้นแม้แต่น้อย เย่หวูเฉินเอนกายลงบนเตียง ในมือเล่นมุกสีเขียวกระจ่างขนาดเท่ากำปั้น มุกสีเขียวนี้เขาได้มาเมื่อปีก่อน เดิมทีมันอยู่ใต้หุบเหวปลิดวิญญาณ ตรงใจกลางอาณาวายุต้องห้าม เขาได้ค้นพบมุกประหลาดเม็ดนี้

“ท่านพี่ ทำไมท่านถึงชอบเอามันออกมาดูเหรอ?” หนิงเสวี่ยกับทงซินพิงอยู่ทางซ้ายและทางขวา มองดูมุกเขียวกระจ่างที่เปล่งแสงเบาบางด้วยความใคร่รู้ เมื่อเย่หวูเฉินอยู่ในที่ปลอดภัย เขามักนำมันออกมาตรวจดูอย่างจริงจัง

“เพราะมันอาจมีบางสิ่งที่น่าสนใจซ่อนอยู่” เย่หวูเฉินกล่าวตอบ ในอาณาวายุต้องห้าม กระทั่งเหยียนเทียนเว่ยยังกล้าเข้าใกล้ แต่มุกเม็ดนี้กลับปลอดภัยไร้รอยอยู่ตรงกลาง อีกทั้ง.... มันยังมีสีเขียว เป็นสีแห่งธาตุวายุหนาแน่น

เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัย อาณาวายุต้องห้ามอันลึกลับและน่ากลัวแห่งนั้นอาจเกิดขึ้นจากมัน หากเป็นเช่นนั้นจริง พลังที่บรรจุอยู่ในนี้ย่อมมหาศาลเกินจินตนาการ แต่หากไม่.... เช่นนั้นมันทำขึ้นจากวัสดุใด เหตุใดจึงไปปรากฎอยู่ตรงนั้น แล้ววายุน่าหวาดหวั่นพวกนั้นมาจากไหน?

เหนือไหล่ของเย่หวูเฉินวาบแสงสีขาว สาวน้อยผมขาวขนาดพกพาลอยล่องปรากฎอยู่บนไหล่ นางหอบหายใจ ใบหน้าน้อยๆเป็นสีแดง หน้าผากงามมีเม็ดเหงื่อผุด ในมือหอบจดหมายสีขาวที่มีขนาดเกือบเท่าตัวนาง

“ลำบากเจ้าแล้ว เซียงเซียง” เย่หวูเฉินเอานิ้วแตะนางเบาๆ รับจดหมายมาจากมือ เซียงเซียงตัวน้อยส่งเสียง “อิย๊า” เบาๆ จากนั้นกลายเป็นแสงสีขาวกลับเข้าไปในร่างของเขา

“เซียงเซียง พักเยอะๆนะ แล้วตอนกลางคืนค่อยออกมาเล่นกับพวกเราอีก” หนิงเสวี่ยพูดไปทางเย่หวูเฉิน ทุกครั้งที่เซียงเซียงเหน็ดเหนื่อย นางจะกลับเข้าไปพักผ่อนเป็นเวลานาน

เย่หวูเฉินเปิดจดหมาย ปราดมองอย่างรวดเร็ว ถอนหายใจเล็กน้อยขณะพับจดหมายและกล่าว “ไม่มีข่าวคราวของพี่หญิงเมิ่งของเจ้าเลย พวกเขาหาวิธีการหลายอย่างเพื่อเข้าไปในสำนักจักรพรรดิเหนือ ทว่าก็ล้มเหลว ทั้งยังเกือบทำให้พวกมันรู้ตัว” เขาส่งจดหมายให้ทงซิน แล้วมองดูนางใช้แสงทมิฬทำลายจดหมายนั้น เขากล่าว “นางสมควรกลายเป็นฮูหยินของนายน้อยสำนักจักรพรรดิเหนือไปแล้ว ไม่รู้ว่าหลายปีที่ผ่านมา นางยังสุขสบายดีอยู่หรือเปล่า.... เดิมทีข้าคิดว่านางเป็นธิดาของเหยียนต้วนหุน หากข้ารู้ว่านางเป็นคู่หมั้นของนายน้อยสำนักจักรพรรดิเหนือ ข้าคงไม่....”

“ท่านพี่ พี่หญิงเมิ่งต้องสบายดีแน่ นางจะต้องมีความสุขดี” หนิงเสวี่ยรู้สึกได้ว่าเย่หวูเฉินสลดลง จึงกล่าวกระซิบปลอบ

“อืม หวังว่านางจะมีความสุขดี” เย่หวูเฉินถอนหายใจบาง หากไม่มีเรื่องในคืนนั้น เขาคงเลือกที่จะลบลืมนาง ทว่าอย่างไรนางก็เป็นสตรีคนแรกของเขา แต่ด้วยสถานะของนาง.... ทำให้เขาไม่อาจเกิดความรู้สึกที่ไม่ถูกต้อง

“นายน้อย คุณชายเล่งหยาต้องการพบท่าน” ด้านนอกประตู เสี่ยวลู่ส่งเสียงนอบน้อมอ่อนหวาน ในอดีต เมื่อหญิงสาวงดงามนางนี้ได้ข่าว ‘การตาย’ ของเย่หวูเฉิน นางกลับไปรับใช้อยู่ข้างกายหวังเวิ่นชู ตอนนี้เมื่อเย่หวูเฉินกลับมา นางก็กลับมายังสวนนี้อีกครั้ง

“ให้เขาเข้ามา”

ประตูห้องถูกเปิดออก เล่งหยาสีหน้าเย็นชาก้าวเข้ามา ใบหน้าของเขาเหมาะที่จะเรียกว่าน้ำแข็งหรือก้อนหิน ยกเว้นยามอยู่ต่อหน้ามารดา นอกเหนือจากนั้นเขามีใบหน้านิ่งกระด้างอยู่เสมอ เย่หวูเฉินมองสำรวจเขาเล็กน้อย จากนั้นกล่าวยิ้มๆ “เจ้าไม่อยู่เป็นเพื่อนท่านป้าหรือ?”

เล่งหยาเดินเข้ามาสองสามก้าว แล้วกล่าวอย่างจริงจัง “ท่านแม่ให้ข้ามาหาเจ้าเพื่อขอบคุณแทนท่าน หากไม่มีเจ้า ก็ย่อมไม่มีข้าเล่งหยาในวันนี้”

“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า อย่างที่ข้าเคยบอกไว้ ข้าทำไปเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเอง” เย่หวูเฉินกล่าวสีหน้าราบเรียบ ทว่าทันใดนั้น หัวใจเขาพลันกระตุกวูบ แม่ของเล่งหยาตอนนี้ไม่ได้อ่อนแอเหมือนแต่ก่อน นางแข็งแรงไม่ต่างจากคนทั่วไป ยิ่งกว่านั้น เห็นได้ชัดว่านางมาจากตระกูลสูงศักดิ์ แม้ในอดีตดวงตานางจะมืดบอด แต่วาจาและความคิดล้วนหลักแหลมดั่งคนชั้นสูง หลังจากที่เขากลับมา นางย่อมมาพบเขาเพื่อขอบคุณด้วยตัวเอง ไม่มีทางส่งเล่งหยามากล่าวคำแทนตัวเอง

ทันใดนั้น ในสมองลุกวาบดุจไฟลุก หัวใจดิ่งวูบรุนแรง เขาตะโกนกล่าวเสียงดัง “เล่งหยา! รีบกลับไปเร็ว! ไปดูแม่ของเจ้าเดี๋ยวนี้ นางกำลังจะฆ่าตัวตาย! รีบกลับไปเร็วเข้า!”

เล่งหยาสะดุ้งเฮือก จากนั้นพุ่งออกประตูไปอย่างบ้าคลั่ง เย่หวูเฉินขมวดคิ้วแน่น “ทงซิน พวกเราตามไปกัน!”



<<<PREV    .    NEXT>>>