วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 284

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 284 ท้องฟ้าร่วงหล่นจักรพรรดิมาร

.....

ชูเกอเสี่ยวหยูนอนอยู่บนเตียง หนึ่งแขนเท้าคาง แขนอีกค้างจับแผนที่ที่เต็มไปด้วยรอยเขียน จดจ้องอย่างตั้งใจ ดวงตาเคลื่อนมองไม่หยุดหย่อน

ประตูถูกเปิดออก สตรีงดงามวัยกลางคนถือถ้วยน้ำซุปร้อนเดินเข้ามา ยิ้มแย้มขณะมองชูเกอเสี่ยวหยูผู้งดงาม นางวางถ้วยลงบนโต๊ะ เดินมานั่งอยู่ข้างกาย ลูบไล้เส้นผมและกล่าวด้วยความรักใคร่ “พักผ่อนบ้าง เอาจริงเอาจังเกินไปแล้ว”

ชูเกอเสี่ยวหยูพลิกร่างนอนหงายอย่างเกียจคร้าน “ท่านแม่ ข้าเหมือนจะพบว่าตนเองชอบความรู้สึกที่อยู่ในสนามรบ ตอนที่วินิจฉัยรูปการณ์และวางกลอุบายนั้นข้าตื่นเต้นมาก โดยเฉพาะเมื่อศัตรูเพลี้ยงพล้ำในกลลวงที่วางไว้ เวลาที่พวกมันถูกไล่ทุบตี ช่างเป็นความสนุกที่เหนือยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด!”

ฮูหยินชูเกอยิ้มอย่างอดไม่ได้ นางกล่าวอย่างอ่อนโยน “แต่อย่างไรเจ้าก็เป็นสตรี วันหนึ่งวันหน้าเจ้าก็ต้องแต่งออก แม้ข้าไม่เคยคัดค้านเจ้า แต่ข้าก็หวังว่าเจ้าจะได้แต่งเข้าสู่ตระกูลที่ดี เป็นสะใภ้ให้กำเนิดทายาทและช่วยเหลือสามี ถึงแม้แม่ไม่ต้องปวดหัวเหมือนแต่ก่อนที่เจ้าก่อปัญหาทุกวี่วัน แต่แม่เป็นกังวลทุกวันว่าลูกจะไม่กลับมา”

ชูเกอเสี่ยวหยูลุกขึ้นนั่ง กอดคอมารดาไว้และยิ้มกล่าวอย่างมีความสุข “วางใจเถอะท่านแม่ ข้ามีท่านพ่อคอยปกป้องอยู่ตลอด ย่อมไม่มีทางเป็นอะไร ฮี่ ฮี่ ต่อให้ท่านแม่ห้ามข้าไม่ให้ไป ตอนนี้ท่านพ่อก็ขาดข้าไม่ได้แล้ว”

“เฮ้อ” ฮูหยินชูเกอตบหลังนางเบาๆ กล่าวอย่างรักใคร่ “เดิมทีที่เจ้าร่ำเรียนวิชาการแปรทัพ ก็เพราะผิดหวังจากนายน้อยตระกูลเย่ สามปีก่อนตอนเขาประสบเคราะห์กรรมเจ้าก็ไม่เศร้าโศก ตอนนี้พอเขากลับมาเจ้าก็ไม่สนใจ หลายวันมานี้เจ้าไม่เคยออกไปหาเขาสักครั้ง แม่สงสัยเหลือเกินว่าเจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่”

ชูเกอเสี่ยวหยูลอบเม้มปาก กล่าวด้วยความคับข้องใจ “เขาคงไม่มีทางชอบข้า บางที....ข้าคงเป็นคนอื่นที่เขาลืมไปแล้ว ข้าจะไม่ไปหาให้เขาป่วยใจ หากเขายังจำข้าได้ เหตุใดหลายวันมานี้เขาจึงไม่มาเยี่ยมที่ตระกูล”

ถ้อยคำเมื่อสามปีก่อนของเย่หวูเฉิน ยังคงดังก้องในหัวสมองของนาง แม้ว่าจะผ่านมาหลายปี แต่หญิงสาวยังคงยืนกรานจำคำพูดสุดท้ายของบุรุษที่ตนเองชอบกล่าวไว้กับตน นางยังคงเจ็บปวด ไม่เคยลืมแม้เขาจะ ‘ตาย’ ไปในปีนั้น

ฮูหยินชูเกอเป็นคนเฉลียวฉลาด ไหนเลยจะไม่เข้าใจว่าลูกสาวของตนคิดสิ่งใดอยู่ แม้ว่าน้ำเสียงและสีหน้าของนางจะแสดงให้เห็นว่าไม่สนใจเย่หวูเฉินอีกต่อไป ทว่าอารมณ์ของนางยังคงจดจ่ออยู่ที่เขา นางเพียงรักษาหน้าเพื่อจะเอาชนะเดิมพันเมื่อสามปีก่อน เหมือนเช่นที่นางสาบานไว้ในวันนั้น ว่าจะทำให้เขามาขอนางแต่งงานด้วยตัวเอง

“เด็กโง่ ถ้าหากเขาไม่มาหา เจ้าจะไม่ไปพบเขาอีกเลยอย่างนั้นหรือ?” ฮูหยินชูเกอรู้สึกกังวลใจ นางเข้าใจดีว่าถึงแม้ชูเกอเสี่ยวหยูปากจะพูดแบบนั้น แต่หากเย่หวูเฉินปรากฎตัวขึ้นต่อหน้านางทันที.... นางจะตื่นเต้นดีใจขนาดไหน

“ไม่...เฮอะ จนกว่าข้าจะกลายเป็นผู้กล้าเช่นเดียวกับปู่ของเขา ข้าถึงจะยอมไปพบเขา!” ชูเกอเสี่ยวหยูกล่าวด้วยใบหน้าดื้อรั้น

ฮูหยินชูเกอพอได้ยินสีหน้าก็กลับกลายอย่างประหลาด นางกระซิบกล่าว “หยูเอ๋อร์ พ่อของเจ้าอยากให้ข้าบอกบางสิ่ง”

“เอ๋? บอกอะไรเหรอ?” ชูเกอเสี่ยวหยูถามอย่างสงสัย

“พ่อของเจ้าบอกว่าอาณาจักรเทียนหลงอาจถึงคราวเปลี่ยนฟ้า และยังเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า....คนที่เจ้ารักอาจจะเป็นสาเหตุ เจ้าสมควรเตรียมตัวเอาไว้ให้พร้อม” ฮูหยินชูเกอสีหน้าคล้ายซับซ้อนขณะมองดูการตอบสนองของลูกสาว

ชูเกอเสี่ยวหยูมิใช่คนเดิมในอดีตที่รู้จักเอาแต่เล่นเอะอะ สามปีที่ผ่านมานางประสบและเข้าใจหลายสิ่ง เรื่องการกระจายกำลังทัพของอาณาจักรเทียนหลงและขุมอำนาจนางเข้าใจตั้งแต่ต้นยันปลาย ตอนนี้ผู้เดียวที่สามารถพลิกเมฆาเปลี่ยนฟ้าแห่งอาณาจักรเทียนหลง....ก็มีแต่เพียงตระกูลเย่เท่านั้น

พอได้ทราบข่าวอย่างกะทันหัน ชูเกอเสี่ยวหยูก็ตะลึงค้างเป็นเวลานาน

นางก้าวสู่โลกของกองทัพ เพียงเพื่อต้องการการยอมรับจากเย่หวูเฉิน แต่ชูเกอหวูอี้ส่งความหมายอย่างชัดเจนว่า....ตระกูลเย่กำลังจะก่อกบฎต่อต้านราชตระกูล นั่นแปลว่าหากวันนั้นมาถึง นางซึ่งเป็นคนของอาณาจักรจะต้องรบพุ่งกับตระกูลเย่ รวมทั้งเย่หวูเฉิน....

นางเข้าสู่กองทัพก็เพราะเขา.... หากต้องพบกับตระกูลเขาในสนามรบ.... ไหนเลยนางจะยอมรับได้!

.................

.................

อาณาจักรต้าฟง , เมืองเทียนฟง

วันนี้เป็นวันที่รัชทายาทแห่งต้าฟง – ฟงหลิงจะฉลองสมรสใหญ่ ต่างจากสามปีก่อนที่งานสมรสถูกเย่หวูเฉินพังยับ งานแต่งของรัชทายาทถูกประกาศไปทั่วอาณาจักรต้าฟง แขกเหรื่อจำนวนมากนำของขวัญมาถวาย ราชตระกูลต้าฟงยังบำเพ็ญกุศลครั้งใหญ่ ใช้โอกาสนี้ปล่อยนักโทษที่ต้องอาญาไม่ร้ายแรง

หากครั้งนี้ผู้ที่ฟงหลิงจะแต่งงานด้วยคือลูกสาวคนเดียวของขุนพลบูรพาเยว่หานตง นางมีนามว่าเยว่ซือฉี เป็นกุลสตรีเรียบร้อยและบอบบาง การที่ถูกเลือกให้เป็นชายาแห่งรัชทายาทต้าฟง นางสมควรมีรูปโฉมที่เลอเลิศ อย่างไรก็ตาม ผู้คนส่วนใหญ่ในเมืองเทียนฟงเพียงเคยได้ยินชื่อนางเท่านั้น มีคนไม่มากนักที่เคยเห็นนาง

ฟงเลี่ยหน้าตาดูชื่นมื่น ใบหน้าขาวซีดนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เช่นเดียวกับขุนพลบูรพาเยว่หานตง ยามที่เยว่หานตงยังหนุ่มแน่น เขาเปี่ยมพลังรบพุ่งในสงครามอย่างบ้าคลั่ง มีเวลาน้อยนิดให้ใช้กับครอบครัว ดังนั้นเขาจึงมีธิดาเพียงคนเดียวเมื่อล่วงเข้าสู่วัยกลางคน ตอนนี้หัวใจของเขาค่อยๆพัฒนาขึ้นตามวัย รักใคร่เอ็นดูลูกสาวเพียงคนเดียว การที่นางได้แต่งงานกับรัชทายาท ยิ่งกว่านั้นยังเป็นชายาคนแรก มีโอกาสอย่างยิ่งที่จะได้เป็นอัครชายา เขาจึงพึงพอใจอย่างที่สุด นับแต่ข่าวถูกประกาศออกไป ประตูเรือนก็มีคนมาเยือนไม่ว่างเว้น ด้วยสถานะของเยว่หานตง รวมทั้งลูกสาวที่กลายเป็นชายาขององค์รัชทายาท ว่าที่จักรพรรดิแห่งต้าฟง อนาคตของเขาย่อมรุ่งโรจน์จนไม่อาจบรรยาย

ในท้องพระโรงหลวนฟงบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก เหล่าขุนนางนายพล เจ้าเมือง และผู้มีตำแหน่งทุกระดับจากทุกสารทิศ ต่างเข้าร่วมแสดงความยินดีกับจักรพรรดิฟงเลี่ย หลังจากครึกครื้นอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดข้างนอกก็มีเสียงกระดิ่งดัง ขันทีน้อยส่งเสียงแหลมสูงดังฟังชัด สองร่างในชุดแต่งงานค่อยๆเดินเข้ามาเคียงข้างกัน คนหนึ่งคือองค์ชายรัชทายาทฟงหลิง ใบหน้าของเขายังคงสง่างาม สงบสุขุมและปลอดโปร่ง หากเทียบกับสามปีก่อนตอนนี้อาจจะดูด้อยกว่าเล็กน้อย

ข้างกายเขาเป็นสตรีบอบบางในชุดแดงเดินประคองแขนมาโดยนางกำนัลพี่เลี้ยง เพียงมองจากย่างก้าว ก็พอบอกได้ว่านางเป็นสตรีที่อ่อนช้อยและน่าหลงใหลเพียงใด ฟงเลี่ยมองพวกเขาก้าวเข้ามาด้วยรอยยิ้มและพยักหน้า ได้รับสตรีเพียงนี้เข้าสู่ตระกูล เขาล้วนพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

ฟงเลี่ยยกมือขึ้น เสียงคึกคักในท้องพระโรงเงียบลงทันที เขาหัวเราะและกล่าว “หลิงเอ๋อร์ หลายปีมานี้หัวใจของเจ้าถูกฉุดรั้งเอาไว้ ไม่ปรารถนาแสวงหาภรรยา โชคดีที่ข้าพบสตรีที่เจ้ายังต้องชื่นชม คลายปมหัวใจของข้าลงในที่สุด ธิดาแห่งขุนพลเยว่งามล้ำและเปี่ยมพรสวรรค์ แผ่นดินนี้ยากยิ่งที่จะพบเจอ หลังจากวันนี้ไป เจ้าต้องปฏิบัติต่อนางอย่างดี อย่าได้รังแกนางให้เจ็บช้ำ เข้าใจหรือไม่” ฟงเลี่ยยิ้มกล่าว

ถ้อยคำของฟงเลี่ยดูลึกลับอย่างที่สุด ยิ่งประโยคที่กล่าวว่า “คลายปมหัวใจ” ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ต่างรู้ว่าเขาหมายถึงสิ่งใด ฟงหลิงใบหน้ายังคงสงบสง่างาม ไม่เพียงทำให้ผู้คนแปลกใจ แต่ยังทำให้ผู้คนลอบชื่นชมอยู่เงียบๆ งานสมรสใหญ่ครั้งก่อนถูกทำลายลงอย่างน่ากระอักกระอ่วนใจ ตอนนี้เขากำลังจะได้แต่งงานกับธิดาแห่งตระกูลเยว่ แม้จักรพรรดิจะเป็นผู้เลือกตัวนาง แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดหากถูกเลือกแบบนี้ ย่อมถือเป็นพระคุณยิ่ง

เยว่หานตงกล่าวด้วยความตื่นเต้น “ฝ่าบาททรงกล่าวเกินไปแล้ว องค์รัชทายาทจิตใจกว้างขวางและวรยุทธ์สูงส่ง ทั้งยังไม่เคยอวดโอ่ถือตน ไหนเลยเขาจะรังแกลูกสาวข้าให้เจ็บช้ำ มีแต่ลูกสาวข้าที่ต่ำต้อย ได้แต่เกรงว่าจะไม่คู่ควรกับองค์รัชทายาท”

“อะไรกันขุนพลเยว่ เจ้าสงสัยสายตาของข้าอย่างนั้นรึ? ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

“บ่าวผู้นี้ไหนเลยจะกล้า”

“ฮี่ ฮี่ อาวุโสสองคนอย่างพวกเราเลิกพูดมากกันดีกว่า มาเถอะ มาเริ่มกันเลย ข้ารอคอยวันนี้มานานแล้ว”

ขันทีวัยกลางคนก้าวออกมา อ่านขานพิธีการแล้วประกาศเริ่มงานแต่ง

เมื่อถึงขั้นตอนพิธีที่ฟงหลิงต้องเปิดผ้าคลุมศีรษะสีแดงของเจ้าสาว ทันใดเขาก็นึกถึงเรื่องเมื่อสามปีก่อน ในคราวนั้น ขณะที่เขาเตรียมทำแบบเดียวกัน สถานการณ์ก็เปลี่ยนผันทันที งานสมรสใหญ่ถูกทำลายย่อยยับลง ตระกูลฟงของเขายังต้องประสบหายนะใหญ่หลวง

เมื่อคิดถึงครั้งนั้น เขาก็ถอนหายใจบาง จากนั้นค่อยๆเปิดผ้าคลุมศีรษะของเจ้าสาวออกต่อสายตาทุกผู้คน

ฟู่ม.....

เพียงมือสัมผัสผ้าคลุมศีรษะ ทันใดนั้นกลับมีสายลมเย็นพัดเข้ามาจากข้างนอก เป็นสายลมประหลาดที่ผสมความเย็นยะเยือก บรรยากาศอบอุ่นในท้องประโรงหลวนฟงเย็นลงฉับพลัน ทุกผู้คนเริ่มตื่นตระหนก

ฟงหลิงชะงักมือโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นมีสายลมแรงขึ้นพัดกรรโชกเข้ามา เยว่ซือฉีอุทานร้องในลำคอเล็กน้อย ผ้าคลุมศีรษะถูกพัดปลิวตกลงพื้น เผยใบหน้าขาวนวลดุจหิมะที่กำลังตกใจเล็กน้อย คันคิ้วโก่งงามพระจันทร์เสี้ยว แววตาระยับดุจดวงดาว ริมฝีปากสีแดงแสงชาด.... ราวกับดรุณีเยาว์วัยที่หลุดออกมาจากภาพวาด ขณะที่ผู้คนชื่นชมนางในหัวใจ ต่างก็ลอบตกใจด้วย เพราะการที่ผ้าคลุมศีรษะตกลงพื้นนั้นถือเป็นลางร้าย อีกทั้งมันยังไม่ใช่แค่ลม....

“นั่นใคร!” เสียงตะโกนดังมาจากข้างนอก สายลมประหลาดทำให้ยอดฝีมือที่ลอบคุ้มกันอยู่ตะโกนออกมาอย่างตระหนก ถัดจากนั้นผู้คนทั้งหมดในบริเวณนั้นต้องสะดุ้งเฮือกทันที

“ฮี่ๆ ฮี่ๆ....”

เสียงหัวเราะแหบต่ำดังก้องมาจากท้องฟ้า เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะนี้ ฟงเลี่ยที่เกรี้ยวกราดอยู่ก็พลันหน้าซีด ความดุร้ายกลายเป็นความหวาดกลัว เขาตะเกียกตะกายขึ้นยืน ร่างกายสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

ตูม!

เกิดเสียงดังสนั่น หลังคาท้องพระโรงหลวนฟงแตกออกเป็นรูใหญ่ เศษชิ้นกระเบื้องหล่นร่วงใส่ฝูงชนที่อัดเบียดกัน มีสายลมแรงพัดเข้ามาจากรูเปิดนั้น มันพุ่งไปที่เยว่ซือฉี

กรี๊ด.....

“ซือฉี!”

เสียงกรีดร้องแหลมบางของซือฉี และเสียงตะโกนสุดปอดของเยว่หานตง เยว่ซือฉีถูกลมม้วนหอบร่างขึ้นไปกลางอากาศ ผู้คนได้แต่เงยหน้ามองตามทิศที่นางปลิวขึ้นไป ทันใดนั้นทุกคนล้วนตะลึงค้าง

“จักร....จักรพรรดิมาร!!”

เมื่อนามนี้ถูกตะโกนออกมา เงาทะมึนก็เคลื่อนคลุมหัวใจอันหวาดกลัว หัวใจทุกคนเต้นกระหน่ำจนแทบได้ยินเสียง



<<<PREV    .    NEXT>>>