วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 290

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 290 บุตรแห่งเทพมายา

การปรากฎตัวของสำนักจักรพรรดิเหนือ หมายถึงการเริ่มต้นของงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน บรรยาการเปลี่ยนเป็นซับซ้อนในทันที แม้เหยียนซีหมิงจะเป็นนายน้อยแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือ แต่คนที่รู้จักเขามีอยู่น้อยยิ่ง และเหยียนเทียนเว่ยถือเป็นหนึ่งในนั้น กระทั่งเหยียนซีหมิงยังไม่คิดว่าจะมีผู้ใดรู้จักตน เหตุผลที่เขามาในวันนี้เพื่อชมความแข็งแกร่งของผู้คน โดยปกติแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือจะไม่ลงร่วมการประลอง ในอดีตที่ผ่านมา การชุมนุมทุกครั้งล้วนเป็นเช่นนี้ อย่างมากที่สุดคือชมการประลอง ไม่อาจทราบได้เลยว่า ที่พวกเขาไม่ลงแข่งเพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับโลกหล้า.... หรือเพราะว่าไม่มีความจำเป็น

ทุกๆ 25 ปี งานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินมิได้จัดเตรียมเวทีอันยิ่งใหญ่ ไม่มีพิธีกล่าวเปิดอันตระการ สำหรับยอดฝีมือที่แท้จริงแล้ว เรื่องเหล่านี้นับว่าไร้สาระ ในบรรดาคนชราทั้งสี่ ผู้ที่ดูชราสุดค่อยๆก้าวออกมาท่ามกลางสายตาของฝูงชน เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงใจกลางบริเวณ ไพล่มือทั้งสองไว้เบื้องหลัง ดวงตาเย็นเยียบกวาดมองอย่างทรนง เขาเปล่งน้ำเสียงทุ้มลึก “เหล่าสหายผู้กล้าทั้งหลาย ผู้ชราคือหัวหน้าฝ่ายศิษย์อาวุโส เหยียนเจิ้งแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือ ผู้ชราไม่อยากพูดมากกับเรื่องไม่จำเป็น คงต้องเสียมารยาทขอคำชี้แนะจากเหล่าสหายผู้กล้าแล้ว”

จากนั้น เขายกฝ่ามือทั้งสองขึ้นช้าๆ เหนือฝ่ามือปกคลุมไว้ด้วยแสงสีแดง

งานชุมนุมยุทธเวทย์นี้ เป็นที่รวมตัวของยอดฝีมือระดับสูงสุด มีเพียงสำนักจักรพรรดิเหนือหรือสำนักจักรพรรดิใต้เท่านั้นที่สามารถเป็นกรรมการ นอกเหนือจากการเป็นพยาน งานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินแต่ละครั้งจะเปิดงานด้วยพวกเขา และจากนั้นจะเป็นการประลองของยอดฝีมือคู่แรก

เหยียนเจิ้ง หัวหน้าฝ่ายศิษย์อาวุโสแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือ จากชุดของเขา คนชราอีกสามสมควรเป็นอาวุโสคุมกฎเช่นเดียวกัน และชายผู้นี้สมควรมีสถานะสูงสุดในบรรดาทั้งสี่คน นามของเหยียนเจิ้งไม่มีผู้ใดเคยได้ยิน และไม่มีผู้ใดเคยเห็น หากไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินเขา สามารถขึ้นเป็นหัวหน้าฝ่ายคุมกฎอาวุโสในสำนักจักรพรรดิเหนือได้ ล้วนเป็นข้อบ่งบอกที่ชัดเจน

ในทวีปเทียนเฉินมีคนเพียงหยิบมือเท่านั้น ที่สามารถบรรลุพลังขอบเขตสวรรค์ ในอาณาจักรทั้งสี่เฉลี่ยมีอาณาจักรละไม่เกินสิบคน แน่นอนว่าพวกเขาถูกนับเป็นยอดฝีมือชั้นฟ้า ส่วนในสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือนั้น จำนวนยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์ของแต่ละแห่งย่อมมีมากกว่าทั้งสี่อาณาจักรรวมกัน

และเหยียนเจิ้งแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือผู้นี้ จากกลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมารอบกาย เห็นได้ไม่ยากเลยว่าเขาบรรลุพลังที่น่ากลัวยิ่ง อย่างต่ำต้องระดับขอบเขตสวรรค์ชั้นกลาง

ในงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินครั้งก่อน ก็มีผู้ไม่รู้จักนามแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ถูกส่งออกมาเช่นเดียวกัน เป็นชายกลางคนอายุราว 50 ปี มีพลังขอบเขตวิญญาณที่ใกล้บรรลุขอบเขตสวรรค์ สำนักจักรพรรดิเหนือส่งยอดฝีมือชั้นฟ้าลงมาเปิดงาน ทำให้หัวใจของเหล่ายอดฝีมือขอบเขตวิญญาณรู้สึกตกตะลึงในความห่างชั้น

ฉู่จิงเทียนอดไม่ได้อยากก้าวออกไป ทว่าเมื่อเห็นเหยียนเทียนเว่ย , เหยียนชิงหง และอีกหลายคนยังคงไม่เคลื่อนไหว เล่งหยาก็ราวกับรูปสลักน้ำแข็งที่แทบไม่ขยับกาย ฉู่จิงเทียนพลันรู้สึกขาดความมั่นใจและหดคอลง

ท่ามกลางความเงียบสงัด มีเงาคนผู้หนึ่งปรากฎต่อหน้าเหยียนเจิ้งด้วยความเร็วที่ไม่อาจวัดได้ ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันอย่างเงียบงัน คนผู้นั้นไม่ทันเปิดปากก็ได้ยินเสียงเหยียนเจิ้งกล่าวออกมา “เจ้าคือหวู่ซานซื่อ บุตรแห่งเทพมายา - หวู่เชียวชุยแห่งอาณาจักรคุยชุย ผู้มีนามสะท้านขวัญแดนใต้ ไม่มีผู้ใดกล้ากระตุ้นยั่ว”

ชายผู้นั้นหรี่ตาลงและกล่าว “สมแล้วที่เป็นสำนักจักรพรรดิเหนือ มีพลังเหนือล้ำเป็นธรรมดา”

นามของหวู่ซานซื่อผู้นี้ มีคนไม่มากนักที่จะรู้จัก แต่เมื่อเอ่ยออกมาว่า ‘บุตรแห่งเทพมายาหวู่เชียวชุย’ สายตาของผู้คนล้วนเปลี่ยนไปทันที บางคนที่เฉื่อยชาเริ่มมองสำรวจ นี่คือชายกลางคนอายุราว 40 ปี เขามีขนาดร่างกายธรรมดา อาจจะผอมบางเล็กน้อย ภายนอกไม่มีสิ่งใดโดดเด่น หากเขาปะปนอยู่ในฝูงชนย่อมยากยิ่งที่จะสังเกต ผู้คนเริ่มจดจำรูปลักษณ์และนามของเขาไว้

“เขาคือลุงที่เพิ่งคุยกับพวกเราเมื่อครู่นี้ไม่ใช่เหรอ บุตรแห่งเทพสงครามหวู่เชียวชุย? เขาแข็งแกร่งมากมั้ย?” ซื่อหยาจิ้มเหยียนต้วนชางเพื่อถาม

ครั้งนี้ฉู่จิงเทียนเป็นฝ่ายเปิดปาก เขากระซิบเสียงต่ำ “เขา....คิดไม่ถึงเลยว่าเขาคือบุตรแห่งเทพมายาคนนั้น!”

“โอ้? เจ้าเคยได้ยินชื่อเสียงของเขาอย่างนั้นรึ?” เหยียนต้วนชางเอ่ยถามด้วยความสนใจ

ฉู่จิงเทียนสั่นศีรษะ “ไม่เคยได้ยิน แต่ชื่อของเทพมายาหวู่เชียวชุยข้าเคยได้ยินมาหลายครั้ง นับแต่ข้ายังเด็ก ท่านปู่ก็เล่าเรื่องของเขาให้ข้าฟังอยู่บ่อยๆ เขากล่าวว่าการประลองกับหวู่เชียวชุยเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวที่สุดในชีวิต เขาไม่เพียงมีความเร็วที่น่าหวาดหวั่น หากสิ่งที่น่ากลัวสุดคือร่างเงามายาที่ราวกับภูติผี ตอนที่ท่านปู่กับเขาสู้กัน เขาใช้เงามายาถึง 36 ร่าง จนยากยิ่งที่จะแยกตัวจริงและตัวปลอม ตอนนี้แน่นอนว่าเขาต้องน่ากลัวขึ้นกว่าเดิม และคนผู้นี้คือบุตรแห่งเทพมายาหวู่เชียวชุย เขาสมควรแข็งแกร่งเช่นเดียวกับเทพมายาเมื่อ 25 ปีก่อน”

เหยียนต้วนชางส่ายศีรษะเล็กน้อย กล่าวเสียงแผ่วเบา “เทพมายาสามารถเรียกขานได้ว่า ‘เทพ’ เพราะการจะเป็นเทพนั้นต้องแกร่งกร้าวเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่ทุกคนที่คู่ควรจะเป็นได้ แม้ว่าคนผู้นี้จะมีฝีมือสูงส่ง เป็นถึงบุตรชายของเทพมายา แต่หากจะกลายเป็นเทพมายาคนที่สอง อย่างน้อยตอนนี้เขายังไม่คู่ควร”

“เอ๋?” ฉู่จิงเทียนสีหน้าประหลาดใจ

“25 ปีก่อน เทพมายามีอายุรุ่นราวเดียวกับเจ้า และเขาสามารถสร้างเงามายาอันพิศดารได้ถึง 36 ร่าง จงให้ผู้ชรานี้ได้ประจักษ์แก่ใจ ว่าเจ้าสามารถก้าวข้ามเทพมายาในอดีตนั้นได้หรือไม่” เหยียนเจิ้งยกฝ่ามือทั้งสองขึ้น แผ่พุ่งบรรยากาศร้อนแรง

หวู่ซานซื่อยกสองฝ่ามือขึ้นเช่นกัน ทั้งชีวิตนี้เขาไม่เคยใช้ศาตราใดๆ “พรสวรรค์ของบิดาข้า ล้านคนถึงจะพบคนหนึ่ง ข้าน้อยมิกล้าเทียบตนกับท่านพ่อ หากแต่จะไม่ทำให้ท่านพ่อต้องเสียหน้า....ลงมือ”

เมื่อสิ้นเสียงลง ร่างของเขาก็ไหวโยกเล็กน้อย จากนั้นทั้งสีหน้าและร่างกายล้วนนิ่งงันอยู่กับที่ ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ

เวลานี้เอง เหยียนเจิ้งพลันเคลื่อนสายตามองไปยังมุมบนซ้าย ฝ่ามือขวาวาดขึ้นทันที ท่วงท่าเชื่องช้าอย่างประหลาด กลุ่มพลังแรงร้อนควบกลั่นในอากาศไร้สี มันผลักพุ่งออกไป

วิชาหยกวารีแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ และวิชาเพลิงวิญญาญแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือ หากฝึกฝนโดยคนธรรมดาทั่วไปก็จะกลายเป็นเพียงทักษะพื้นๆ เป็นวิชาทั่วไปที่ไร้สิ่งใดเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม หากผู้ที่ฝึกฝนมีสายเลือดของจักรพรรดิเหนือหรือจักรพรรดิใต้ ผู้นั้นจะสามารถเคลื่อนพลังเทวะที่แฝงอยู่ในโลหิต ถึงขนาดกล่าวได้ว่า เพียงออกแรงครึ่งหนึ่งก็ได้ผลลัพธ์ถึงสองเท่า ยิ่งกว่านั้นหลังจากที่ฝึกสำเร็จ โลหิตในร่างยังมีพลังอันยอดเยี่ยม สามารถทำให้ควบคุมพลังได้อย่างอิสระ รวมถึงสามารถถ่ายทอดและรับพลัง

หวู่ซานซื่อหายร่างไปจากอากาศ จากนั้นปรากฎขึ้นในทิศที่เหยียนเจิ้งวาดพลังใส่ เขาเผชิญหน้ากับคลื่นพลังอันร้อนแรง หากไม่ได้หลบเลี่ยงและปะทะโดยตรง เสียงหนักทึบดังขึ้น ร่างของเหยียนเจิ้งไหวเล็กน้อย หวู่ซานซื่อหมุนร่างในอากาศสองตลบ และแตะร่างลงพื้นอย่างสง่างาม

“เจ้าไม่ต้องแปลกใจ ผู้ชรานี้รู้จัก ‘ท่าร่างมายาเลือน’ ของเทพมายา การป้องกันเมื่อครู่จึงกระทำได้ถูกต้อง หากผู้ชรารับมือกับท่าร่างนี้เป็นครั้งแรก ข้าคงพ่ายแพ้ลงแล้ว” เหยียนเจิ้งมองที่เขา และกล่าวอย่างไร้อารมณ์

ท่าร่างมายาเลือน หวู่ซานซื่อเมื่อครู่คล้ายมิได้ขยับ หากเขากลับเคลื่อนตัวไปโผล่ตรงจุดอื่น นี่ย่อมไม่ใช่การเคลื่อนตัดมิติ ดังนั้นภาพติดตาจึงยังไม่เลือนไป ทว่ามันคือการผสานระหว่างความเร็วและการปกปิดกลิ่นอาย คล้ายกลลวงตา อย่างไรก็ตาม หากสามารถมองทะลุการโจมตีชนิดนี้ได้ ย่อมทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในความสับสน

หลังการประมือหนึ่งกระบวนท่า หวู่ซานซื่อสีหน้ายิ่งสง่าขึ้น เขาสูดหายใจลึกมุ่นคิ้วลง ค่อยๆผ่อนลมหายใจและสืบเท้าเชื่องช้าไปหนึ่งก้าว การขยับตัวช้าเช่นนี้ กลับทำให้เบื้องหลังปรากฎภาพเงาที่ไม่สมควรมีอยู่

เขาสืบเท้าไปอีกก้าวหนึ่ง ภาพเงายิ่งปรากฎชัดขึ้น และเมื่อเขาสืบเท้าก้าวที่สาม ภาพเงานั้นก็แจ่มชัดสมบูรณ์ แทนที่จะคล้ายภูติผี มันกลับเหมือนหวู่ซานซื่ออีกหนึ่งคน ขณะที่เขาก้าวเข้ามา ภาพเงาเบื้องหลังก็ติดตาม.... หวู่ซานซื่อหรี่ตาลง ตรงเข้าหาเหยียนเจิ้งพร้อมเสียง ‘ซี่’ เกิดการไหวสลับของภาพเงา ฝีเท้าเหินเบาอย่างยิ่ง ตอนนี้ไม่อาจจำแนกได้ว่าอันไหนคือร่างจริง ทว่าระหว่างที่สับสนอยู่นั้น ร่างจริงกลับร่างเงาดีดออกจากกัน แยกออกเป็นหวู่ซานซื่อที่เหมือนกัน 7 ร่าง แต่ละร่างพุ่งตรงเข้าใส่เหยียนเจิ้งดุจสายฟ้า

ร่างเงาเหล่านี้มิใช่เกิดจากการเคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูง แต่กระนั้นก็ไม่อาจทราบได้ว่าสร้างขึ้นจากวิธีประหลาดใด สามารถสร้างร่างเงาที่เหมือนกับร่างจริงได้ นี่คือทักษะเฉพาะตัวของหวู่เชียวชุยแห่งอาณาจักรคุยชุย จนบัดนี้ก็ไม่อาจมีผู้ใดเข้าใจได้ว่าเงาพวกนี้มาจากไหน การเผชิญหน้ากับร่างเงา คนจำนวนมากมักตกอยู่ในความตระหนก หวู่เชียวชุยอาจไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งสุดในบรรดาสี่เทพ แต่เทพทั้งสามที่เหลือย่อมไม่ปรารถนาจะสู้กับเขา

“นี่คือ ‘เงามายาพันร่าง’ กระบวนท่าเทพมายาที่ท่านปู่เคยพูดถึง? นี่มันเหมือนกับคนจริงๆ ยากยิ่งที่จะจำแนก!” ฉู่จิงเทียนจ้องไปที่หวู่ซานซื่อ ในใจรู้สึกอัศจรรย์อย่างที่สุด ราวกับได้เห็นมายากล และไม่ว่าเขาจะขบคิดอย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ว่าเงาพวกนี้มาจากไหน

หนึ่ง สอง สาม....เจ็ดร่างเงา! ถึงแม้ไม่อาจเทียบกับเทพมายาหวู่เชียวชุย ซึ่งในอดีตสามารถใช้ออกได้ถึง 36 เงาร่าง กระนั้นยังนับว่าเพียงพอให้อัศจรรย์ใจ หลายคนที่ไม่เคยเห็นร่างเงาตอนนี้ได้เปิดหูเปิดตากันเป็นแถว

เจ็ดเงาร่างทั้งจริงและลวง พุ่งเข้าโจมตีเหยียนเจิ้งจากหลายทิศ เหยียนเจิ้งสามารถหลบเลี่ยงและโจมตีสวนกลับได้ แต่หากเขาหลบเลี่ยงหรือโจมตีผิดทิศทาง ผลลัพธ์ย่อมมีเพียงความพ่ายแพ้....อย่างไรก็ตาม ขณะเผชิญหน้ากับเจ็ดร่างเงา เขากลับมิได้ขยับตัว หากทันใดนั้นเขาคำรามเสียงต่ำพร้อมรัศมีสีแดงเคลือบคลุมบนผิวร่าง คลื่นความร้อนแผ่พุ่งกระจายอัดออกเป็นวงกว้าง วิชาเพลิงวิญญาณนั้นมิใช่ ‘ไฟ’ ถึงแม้จะบรรลุขั้นสูงสุดก็เกิดเป็นเพียงคลื่นความร้อนสีแดงเท่านั้น และความร้อนชนิดนี้เกิดขึ้นจากการควบกลั่นของจิตวิญญาณ ยามระเบิดออกมันสามารถกระจายทั่วด้วยความเร็วที่เหนือล้ำ



<<<PREV    .    NEXT>>>