วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 256

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 256 เย้ยหยัน

อาวุโสหลิวแปลกใจและเข้ามาตรวจดูอีกคน จากนั้นส่ายศีรษะหนัก กล่าวสรุปแบบเดียวกับอาวุโสหลี่ หลงหยินถอนใจคราหนึ่งและกล่าวปลอบ “หวูเฉิน อย่าห่วงเลย แผ่นดินนี้กว้างใหญ่ ยอดคนยังมีอยู่มาก ต้องมีวิธีรักษาเจ้าได้แน่ นี่ไม่เพียงเกี่ยวพันกับชีวิตเจ้า แต่ยังรวมถึงตระกูลเย่และอาณาจักรเทียนหลงของข้าด้วย ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้เจ้ามีสภาพเช่นนี้”

กล่าววาจาไหลลื่นเสียนี่กระไร จักรพรรดิหน้าหนาผู้นี้ สันทัดการโน้มนำใจคนโดยแท้ เย่หวูเฉินลอบแค่นเสียงในใจ “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย ไม่ทราบฝ่าบาทมาที่นี่ เพียงเพื่อพบหวูเฉินอย่างนั้นหรือ?”

“ข้ามาในวันนี้ แท้จริงมีเรื่องสำคัญยิ่ง” ใบหน้าภาคภูมิของหลงหยินกลายเป็นซับซ้อน

“ฝ่าบาทโปรดกล่าว” เย่หวูเฉินยิ้มรอ หลงหยินมาเพื่อสิ่งใดนั้น เขารู้อยู่แล้ว

“ขณะที่เจ้ากลับมา สมควรได้ยินเรื่องสุสานบรรพชนเทียนหลงที่ถูกปล้นสะดม” หลงหยินขมวดคิ้ว จับจ้องมองยังดวงตาของเย่หวูเฉินขณะกล่าว

“โอ้?” เย่หวูเฉินเมื่อได้ยินก็มีสีหน้าแปลกใจ

หลงหยิน หลินขวงและหลินซาน ต่างจับจ้องด้วยสายตาเย็นเยือก หากไม่เห็นความผิดปกติใดๆของเย่หวูเฉิน ตอนนี้เองที่หลงหยินเอ่ยถาม “เจ้าจำกระบี่เหล็กที่นำออกจากคลังสมบัติเมื่อก่อนหน้านี้ได้หรือไม่?”

“แน่นอนข้าจำได้ ไม่ทราบเหตุใดฝ่าบาทถึงได้ถามถึงมัน?”

“ตอนนี้กระบี่เหล็กยังอยู่กับเจ้าหรือเปล่า?” ลมหายใจของหลงหยินแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เย่เว่ยและเย่หนู่เริ่มมีสีหน้าตระหนก ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่เคยทราบเรื่องนี้เลย

เย่หวูเฉินส่ายศีรษะเบาๆและกล่าว “แน่นอนว่าไม่อยู่กับข้าแล้ว กระบี่เหล็กสนิมเขรอะธรรมดา เหตุใดข้าต้องเก็บมันไว้กับตัวด้วย?”

หลงหยินพลันขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยถามอย่างจริงจัง “ไม่อยู่กับเจ้า? แล้วเหตุใดในตอนนั้น เจ้าถึงเลือกกระบี่เหล็กธรรมดาออกจากคลังสมบัติ?”

“เหตุผลธรรมดายิ่ง” เย่หวูเฉินเผยยิ้มบางบนใบหน้า กล่าวคำไร้กังวล “อย่างที่ฝ่าบาททรงทราบ ภายในคลังสมบัติเต็มไปด้วยสมบัติหายากจำนวนมาก ทุกสิ่งล้วนล้ำค่าไม่อาจประเมินราคา หากกระบี่เหล็กสนิมเขรอะเล่มนั้นกลับวางอยู่กับสมบัติเหล่านั้น สะดุดตาคนจนไม่อาจไม่สนใจ ของธรรมดาเช่นนี้สมควรไม่ใช่ของธรรมดา ตอนนั้นข้าสงสัยอย่างยิ่ง ด้วยอารมณ์ชั่วแล่นจึงคว้ากระบี่เหล็กเล่มนั้น แต่ภายหลังเมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอยู่หลายวัน กลับไม่พบสิ่งใดเป็นพิเศษ ด้วยความผิดหวังข้าจึงโยนมันทิ้ง”

“โยนทิ้ง?” ทั่วร่างของหลงหยินแข็งค้าง เขาพยายามระงับจิตใจและถาม “โยนทิ้งไว้ที่ใด?”

เย่หวูเฉินยักไหล่เล็กน้อย “กระบี่เหล็กธรรมดาๆ ข้าโยนทิ้งไว้ที่ใดไหนเลยจะจำได้ ฝ่าบาท หรือกระบี่เล่มนั้นมีความลับซ่อนอยู่จริงๆ”

หลงหยินกล่าวอย่างเคร่งขรึม “อาวุโสหลี่ ท่านเป็นคนพาเขาเข้าไปในคลังสมบัติ จงเล่าให้เขาฟัง”

“พะยะค่ะ” อาวุโสหลี่ก้าวออกมา แล้วเริ่มบรรยาย “กระบี่เหล็กเล่มนั้นถูกทิ้งไว้โดยบรรพชนผู้ก่อตั้ง เขาสั่งว่านอกจากอาณาจักรจะล่มสลาย ให้ห้ามทิ้งหรือทำลายกระบี่ จักรพรรดิเทียนหลงสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วรุ่น ล้วนถือปฏิบัติด้วยความเคารพ เก็บรักษาไว้ในคลังสมบัติ หลายยุคสมัยที่ผ่านมา ด้วยความสงสัยจึงเริ่มค้นหาความลับของกระบี่ ทว่าไม่อาจพบสิ่งใดเป็นพิเศษ  ผู้คนเริ่มคิดว่ามันเป็นเพียงกระบี่ที่จักรพรรดิบรรพชนใช้รบในอดีต เป็นสัญลักษณ์การก่อตั้งอาณาจักร หากมันถูกทำลายไป ก็อาจกลายเป็นลางร้ายแห่งการล่มสลาย”

“อย่างไรก็ตาม เมื่อสิบเดือนก่อน สุสานจักรพรรดิบรรพชนถูกบุกรุกโดยกลุ่มคนร้ายลึกลับ ยามคุ้มกันทั้งหมดถูกสังหาร ไม่มีใครเหลือรอดเป็นพยาน เมื่อพวกเราไปถึง สุสานจักรพรรดิบรรชนก็ถูกกวาดค้นไปแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงสมบัติล้ำค่ามากมาย กระทั่งโลงศพของจักรพรรดิบรรพชนยังหายไปในอากาศธาตุ”

“หลังจากเหตุการณ์นี้ ฝ่าบาททรงกริ้วเป็นที่สุด รับสั่งให้สอบสวนเรื่องราว ทว่ากลุ่มคนชั่วช้ากลับมีฝีมือสูงล้ำ ไม่ทิ้งร่องรอยเบาะแสใดๆ หลังสืบเสาะเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม กลับเกิดข่าวลือลามทั่วทวีปเทียนเฉิน ว่ามีผู้ค้นพบโองการลับในแขนเสื้อจักรพรรดิบรรพชน กล่าวว่าก่อนจักรพรรดิบรรพชนจะก่อตั้งอาณาจักร เขาสั่งสมความมั่งคั่งไว้มหาศาล เมื่อเขาขึ้นเป็นจักรพรรดิได้เก็บงำเรื่องนี้เอาไว้ เพื่อใช้ป้องกันคนรุ่นหลังจากการล่มสลาย ซ่อนสมบัติมากมายในสถานที่ลึกลับในทวีปเทียนเฉิน ตีกระบี่เหล็กขึ้นมาเป็นพิเศษ แล้วผนึกแผนที่ใส่ลงไป สั่งเสียทายาทไม่ให้ละทิ้งกระบี่ หากอาณาจักรมิได้อยู่ในคราวขับคันก็ห้ามทำลาย ความมั่งคั่งมหาศาลนั้น ถึงขนาดฟื้นฟูอาณาจักรที่ล่มสลายให้กลับคืนมาได้”

“เพียงหนึ่งเดือนที่ข่าวลือแพร่สะพัดในทวีปเทียนเฉิน แทบทุกคนล้วนทราบข่าว และด้วยเหตุนี้ ในช่วงเวลาเกือบหนึ่งปีได้มีโจรละโมภมากมายคอยบุกรุกราชวัง แม้พวกมันถูกสังหารหมดสิ้นแต่ก็นับว่าสร้างปัญหาให้อย่างมาก ทว่ากระบี่เหล็กที่โองการลับนั้นกล่าวถึง กลับเป็นเจ้าที่นำเอาไป” อาวุโสหลี่กล่าวพร้อมกับมองที่เย่หวูเฉิน จากนั้นถอยกลับไปอยู่เบื้องหลังหลงหยิน

เย่หวูเฉินพยักหน้าช้าๆ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ นับเป็นข่าวลือที่น่าตกใจ ฝ่าบาทเสด็จมาในครั้งนี้ สมควรเพื่อนำกระบี่กลับ”

“ถูกต้อง ข่าวลือที่จักรพรรดิบรรพชนทิ้งกระบี่เหล็กไว้ให้สมควรมิใช่เรื่องหลอกลวง หากอาณาจักรเทียนหลงของข้าได้รับความมั่งคั่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นกองทัพ เกษตรกรรม หรือแรงงาน ย่อมพัฒนาเร็วรุดในเวลาอันสั้น เมื่อถึงตอนนั้น ก็ไม่ต้องหวั่นกลัวอาณาจักรต้าฟงอีกต่อไป” หลงหยินกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

“ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้อง แต่กระบี่เหล็กเล่มนั้นไม่ได้อยู่กับข้าจริงๆ หากข้ารู้แต่แรกว่ากระบี่สำคัญถึงเพียงนี้ ย่อมไม่มีทางโยนมันทิ้ง” เย่หวูเฉินส่ายศีรษะ กล่าวด้วยความเสียใจ

“ไร้สาระ เจ้าคงจ้องฮุบสมบัติของจักรพรรดิบรรพชนอยู่เป็นแน่ ถึงได้ซ่อนกระบี่เหล็กไว้!” หลินซานยืนชี้หน้าเย่หวูเฉินด้วยโทสะ

เย่เว่ยและเย่หนู่สีหน้าพลันเปลี่ยน หันมองกันอย่างมีโทสะ หลงหยินกลับไม่กล่าวคำใด เพียงคอยดูการตอบสนองของเย่หวูเฉิน เย่หวูเฉินเคลื่อนสายตามองไปยังหลินซาน กล่าวคำราบเรียบ “ขุนพลหลิน ถึงแม้ท่านจะอาวุโส แต่ก็ถูกรุ่นเยาว์อย่างข้าสั่งสอนไปแล้วหลายอย่าง สามปีที่ผ่านมา ท่านกลับไม่พัฒนาขึ้น ข้ากำลังคุยอยู่กับฝ่าบาท ท่านกลับกล่าวสอด นี่เท่ากับเป็นการไม่เคารพต่อองค์จักรพรรดิ ทำความผิดซ้ำซากไร้เหตุผล ข้าหวูเฉินร่างกายพิการ เงินทองมากมายล้วนไม่อาจรักษา สมบัติพัสถานหาได้มีประโยชน์อันใด กระทั่งมีแต่จะนำพาหายนะมาให้ เรื่องง่ายๆเพียงนี้ท่านยังมองไม่เห็น กลับกล้ากล่าวคำโง่เขลาออกมา”

หลินซานพลันเสียใจสุดขีด ในอดีตหากโต้ฝีปากกับเย่หวูเฉิน ล้วนเท่ากับแส่หาความหยามหยันมาสู่ตน ตอนนี้แม้เย่หวูเฉินร่างกายพิการ แต่ปากเขายังใช้งานได้ เพียงเย่หวูเฉินกล่าวไม่กี่คำ ก็ทำให้เขาอับจนคำพูด เขาทั้งอับอายและโกรธเคือง กระนั้นยังแค่นเสียงกล่าว “ข้าหลินซานแม้ไร้สามารถ แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะให้ขยะอย่างเจ้า ที่ไม่อาจแม้จะยืนมาคอยสั่งสอน”

เย่เว่ยสีหน้าเปลี่ยนทันที เย่หนู่โทสะพวยพุ่ง สองหมัดกำแน่นจนนิ้วลั่น เขากำลังจะพุ่งออกไปชกหน้าของหลินซาน หากได้ยินเสียงหัวเราะลั่นของเย่หวูเฉินเสียก่อน “พูดได้ดี สมแล้วที่เป็นหลินซาน เป็นถ้อยคำที่โลกนี้คงมีเพียงหลินซานเท่านั้นที่กล่าวได้ เห็นว่าท่านประดับด้วยยศขุนพล เลยอยากถามนักว่าท่านอยู่มาจนอายุปูนนี้ เคยสังหารศัตรูด้วยมือไปแล้วกี่คน.... แต่เท่าที่ข้ารู้คือไม่มี เมื่อคราวสงครามระหว่างเทียนหลงกับต้าฟงเมื่อ 20 ปีก่อน ท่านหลินซานกลับบังเอิญล้มป่วยอย่างประจวบเหมาะ ดูแล้วคงไม่กล้าเข้าสู่สงคราม ถึงได้แสร้งแสดงเป็นป่วย  แม้ข้าเย่หวูเฉินเป็นเพียงคนพิการ แต่ครั้งหนึ่งเคยตัดแขนหนึ่งข้างของต้าฟง เคยสังหารทัพศัตรูนับหมื่นคน เหตุใดจะเทียบกับหลินซานไม่ได้? ข้าไม่คู่ควรสั่งสอนเจ้าตรงไหน? หลินซาน ขุนพลหลิน คำพูดข้าเจ้าคงไม่อยากฟังเท่าใด แต่เจ้าที่ล่วงสู่วัยกลางคนแล้วยังไร้ความชอบนับเป็นขยะโดยแท้ หากเจ้าไร้ตระกูลคอยหนุนหลัง ด้วยความสามารถอย่างเจ้า แม้กลายเป็นขอทานข้างถนน ก็เกรงจะไร้ผู้ใดโยนเศษเหรียญให้กับเจ้า....”

“หุบปาก!” หลงหยินส่งเสียงโกรธเกรี้ยวขัดจังหวะเย่หวูเฉิน “อย่าได้ส่งเสียงเอะอะน่ารำคาญต่อหน้าข้า!”

หลินซานตัวแข็งทื่อด้วยคำพูดของเย่หวูเฉิน โทสะท่วมทับจิตใจจนแทบระเบิดออก

เย่หวูเฉินเคลื่อนสายตามองมาที่หลงหยิน หรี่ตาลงและถามราบเรียบ “ฝ่าบาท ในเมื่อท่านไม่อยากให้พวกเราส่งเสียงน่ารำคาญ เหตุใดเมื่อหลินซานพูดท่านถึงไม่เอ่ยปาก แต่เมื่อหวูเฉินพูดท่านกลับดุด่า กระทำลำเอียงเช่นนี้ ไม่ทรงกลัวเป็นที่ครหาหรืออย่างไร?”

พอเย่หวูเฉินกล่าวจบ บรรยากาศก็ผันเปลี่ยน ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่หวูเฉินจะกล่าวล่วงล้ำองค์จักรพรรดิ เย่หนู่ย่นคิ้ว ตะโกนออกไปเสียงดัง “เฉินเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท”

เพียงสิ้นเสียง ชายเสื้อก็ถูกดึงเบาๆโดยเย่เว่ย เขาสั่นศีรษะเล็กน้อยให้เย่หนู่ เย่หนู่พลันเข้าใจและไม่กล่าวต่อ เย่หวูเฉินมิใช่คนหุนหัน ทั้งความคิดอ่านยังรอบคอบ การที่เขากล่าวล่วงเกินย่อมต้องมีเหตุผล

หลินซานที่เพิ่งถูกทำร้ายจิตใจจนกรอบ ลอบคิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้แท้จริงกลับมีด้านที่ยโสสุดกู่  ถึงขนาดกล้ากล่าวถ้อยคำเช่นนี้ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ

สีหน้าหลงหยินดูไม่ได้อย่างยิ่ง หากเขากลับระงับลงได้หลายส่วนในพริบตา “หวูเฉิน เจ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”

“ความหมายของข้าชัดเจนดีอยู่แล้ว ฝ่าบาทสมควรไม่ใช่คนโง่เขลา นอกจากนั้น หวูเฉินไม่ได้กลับบ้านมาสามปี เข้าใจว่าจักรพรรดิมาเยี่ยมเยียนเป็นพิเศษ ในใจซาบซึ้งเป็นที่สุด แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เขาเพียงมาเพื่อถามหากระบี่เหล็ก ตอนนี้ก็ได้คำตอบแล้ว ฝ่าบาท ท่านจะออกไปได้หรือยัง?”

เย่หวูเฉินยังคงกล่าวราบเรียบ ทว่าสีหน้าทุกคนกลับกลายอย่างใหญ่หลวง กระทั่งอาวุโสหลี่และอาวุโสหลิวสีหน้ายังเปลี่ยนไปตามๆกัน ไม่มีใครคิดฝันว่าเย่หวูเฉินที่เพิ่งกลับมาถึงบ้าน จะก้าวร้าวต่อจักรพรรดิได้ถึงเพียงนี้ เวลานี้เขากระทั่งชี้นิ้วไปที่ประตู



<<<PREV    .    NEXT>>>