วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 263

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 263 คำขอและคำสาบาน

“ตกลง ก่อนหมดวันนี้ ร่างของท่านป้าเล่งจะถูกฝังร่วมกับฟงเฉาหยาง” เย่หวูเฉินกล่าวโดยไร้ความลังเล ความงมงายของนาง ไร้ซึ่งการบ่นว่าหรือเสียใจ แม้ไม่อาจอยู่ร่วมกับฟงเฉาหยางยามมีชีวิต แต่หลังจากตายขอได้อยู่ในสถานเดียวกัน ไม่เพียงเป็นความต้องการของเล่งหยา แต่ยังเป็นความปรารถนาของนางมาทั้งชีวิต

“ห๊ะ? นี่มัน....” เห็นเย่หวูเฉินรับคำอย่างสบายอก ทั้งยังกำหนดเวลาว่าก่อนสิ้นวันนี้! ฉู่จิงเทียนอ้าปากค้าง แทบไม่อาจอดใจเกือบถามออกไปว่าเขามีวิธีการใดให้บรรลุผล

เล่งหยาพอได้ยินคำก็ตั้งมือขวาขึ้น เปล่งวาจาทีละคำอย่างหนักแน่น “ข้าเล่งหยา ขอสาบานต่อฟ้า นับจากนี้ต่อไป จะภักดีต่อเย่หวูเฉิน ให้เป็นนายเหนือหัว ไม่มีวันคิดทรยศ หากผิดคำต่อฟ้าดิน! ขอให้ตายไปไม่ได้ผุดเกิด!”

“นี่มัน.... เฮ้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น!” ฉู่จิงเทียนเค้นสมองคิดก็ไม่อาจเข้าใจได้

“เจ้ารีบกล่าวคำสาบานเช่นนี้ ไม่กลัวหรือว่าข้าจะไร้สามารถไม่อาจทำตามคำที่เจ้าขอ?” เย่หวูเฉินถาม

“เจ้านายกล่าวคำ ย่อมไม่มีผิดพลาด”

เย่หวูเฉินยิ้มสงบ “งั้นก็จงวางใจ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง ในคืนนี้ ร่างของท่านป้าเล่งกับฟงเฉาหยางจะถูกฝังในสถานที่เดียวกัน และ....อีกไม่นานเจ้าจะรู้ว่าแม้ข้าร่างกายพิการ แต่ก็ยังคู่ควรเป็นนายของเจ้า เพียงแต่... ต่อไปอย่าเรียกข้าว่าเจ้านายอีก”

“ตกลง”

เย่หวูเฉินครุ่นคิดครู่หนึ่งและกล่าว “ช่างเถอะ เอาอย่างที่ว่า เจ้าลุกขึ้นก่อน”

เล่งหยาลุกขึ้นจากพื้น ฉู่จิงเทียนเกาศีรษะแกรกๆขณะถาม “น้องเย่ เรื่องนี้ช่างประหลาดนัก เจ้ากับเจ้าหน้าน้ำแข็งกลับไม่ใช่เพื่อนกัน แล้วตอนนี้ยัง....” ฉู่จิงเทียนตบศีรษะตนเอง พยายามทำหัวสมองให้โล่งเพื่อใช้ความคิด

เย่หวูเฉินกล่าวทั้งหัวเราะ “พี่ใหญ่ฉู่ ท่านเคยบอกว่าต้องเดินทางไปเข้าร่วมงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน ตอนนี้บรรดาผู้กล้าเหนือหล้าสมควรพรั่งพรูกันออกมา เวลาของงานชุมนุมใกล้เข้ามาแล้ว สถานที่จัดงานตั้งอยู่ที่ใจกลางทวีปเทียนเฉิน ส่วนทางทิศตะวันออกของเมืองเทียนฟงเป็นที่ฝังร่างของฟงเฉาหยาง จากที่นั้นไปถึงที่จัดงานไม่ไกลกันนัก ท่านควรเดินทางไปเมืองเทียนฟงพร้อมกับเล่งหยาในวันนี้ เมื่อยอดฝีมือของโลกหล้ามารวมกัน ถึงท่านจะยังเยาว์วัยและอาจโดนหัวเราะเย้ยหยัน แต่ยามใดที่ท่านได้แสดงฝีมือ ทั่วหล้าจะต้องจดจำนามของท่านอย่างแน่นอน”

สองตาของเล่งหยาฉายประกายบาง ฉู่จิงเทียนยิ้มเขิน “ข้าไม่ได้ยอดเยี่ยมขนาดที่น้องเย่ว่าหรอก ท่านปู่บอกว่าในโลกนี้ยังมียอดฝีมือแกร่งกล้าซ่อนตัวอยู่อีกมาก พวกเราคนหนุ่มคงไม่อาจนับเป็นสิ่งใดได้”

“แล้วท่านจะเห็นเอง พี่ใหญ่ฉู่ แม้นิสัยใจคอของท่านบริสุทธิ์ดีงาม แต่ในกระดูกฝังความกระหายการต่อสู้ สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน ได้เผชิญหน้ากับยอดยุทธ์ของอาณาจักรทั้งสี่ สมควรทำให้ท่านพึงพอใจเป็นอย่างมาก ด้วยพลังของท่านในวัยนี้ แม้ไม่มีทางได้อันดับหนึ่ง แต่ท่านย่อมจรัสแสงในงานอย่างแน่นอน” เย่หวูเฉินกล่าวอย่างจริงจัง

“ฮี่ๆ คำของน้องเย่ช่างน่าฟังจริงๆ” ฉู่จิงเทียนยิ้มอย่างทึ่มทื่อและจริงใจ จากนั้นสีหน้าเปลี่ยนและเอ่ยถาม “แต่ว่าน้องเย่.... เจ้าดูระดับพลังของพวกเราออกด้วยเหรอ?”

เย่หวูเฉินยิ้มแต่ไม่กล่าวตอบ

“อีกอย่างหนึ่ง น้องเย่ จริงหรือที่เจ้ามีวิธีพาพวกเราไปถึงภายในเวลาหนึ่งวัน....ถึงยังเมืองเทียนฟง?” ฉู่จิงเทียนเริ่มจ้องตากว้างขณะถาม

“เมื่อถึงเวลาแล้วท่านก็จะรู้” เย่หวูเฉินยิ้ม

“แล้วเจ้าจะไปกับพวกเราด้วยมั้ย? ท่านปู่บอกว่างานประลองนี้ 25 ปี ถึงจะจัดขึ้นหนหนึ่ง หากพลาดครั้งนี้ไป ต้องรออีกถึง 25 ปี” ฉู่จิงเทียนถามด้วยความคาดหวัง

“ข้าเหรอ?” เย่หวูเฉินสั่นศีรษะและยิ้มฝืน “ถึงอยากไปก็ไม่อาจไปได้ งานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน หากไม่แกร่งกล้าพอย่อมไม่กล้าเข้าร่วม เพราะการต่อสู้ของตัวตนระดับนั้น หากไร้พลังป้องกันตัวเอง เมื่อพลังของเหล่ายอดยุทธ์หลุดรั่วออกมา คลื่นพลังย่อมพอสังหารคนธรรมดาได้โดยง่าย เหตุนั้นจึงไม่มีคนทั่วไปเข้าร่วมสังเกตุการณ์ ด้วยสถาพของข้าในยามนี้ หากไปร่วมชมก็เท่ากับฆ่าตัวตาย”

“แบบนี้นี่เอง” ฉู่จิงเทียนครุ่นคิด จากนั้นพยักหน้ากล่าว “บางทีถ้าหาก เป็นน้องเย่เมื่อสามปีก่อนที่แกร่งกล้าขนาดฟงเฉาหยางยัง....” น้ำเสียงเขาหยุดชะงักลง ลอบมองไปทางเล่งหยา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “หากเป็นเจ้าในตอนนั้นเข้าร่วมงาน จะต้องชนะเลิศอย่างแน่นอน”

เย่หวูเฉินยิ้มอย่างจนใจ เขาไม่อาจอธิบาย เหตุผลที่ทำให้เขาสังหารฟงเฉาหยางได้ ไม่ใช่เหตุผลเดียวกับที่ผู้คนคิด เขามองไปยังท้องฟ้าที่ยังมืดดำ ทันใดนั้นก็หันไปทางเล่งหยาและกล่าว “ก่อนจะส่งเจ้ากับท่านป้าเล่งไปยังเมืองเทียนฟง ข้ามีเรื่องให้เจ้าไปทำ ทั้งยังถือเป็นการทดสอบความสามารถของเจ้า”

เล่งหยาเงยหน้าขึ้นจ้องยังนัยน์ตา

“ตระกูลหลินทรงอิทธิพล มีการคุ้มกันแน่นหนา เจ้ากล้าลอบเข้าไปหรือไม่?” เย่หวูเฉินยกคิ้วถาม

“เหตุใดจะไม่กล้า!”

“ราชวังก็ป้องกันอย่างแน่นหนา องครักษ์ละลานราวกับเมฆหมอก เจ้ายังกล้าลอบเข้าไปหรือไม่?”

“กล้า!”

เย่หวูเฉินพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นดึงแผ่นกระดาษที่เตรียมไว้ออกจากแขนเสื้อ “เจ้าเคยเจอหลินเสี่ยวแล้ว นี่คือแผนผังของตระกูลหลิน เช่นเดียวกับตำหนักน้อยใหญ่ในราชวัง เรื่องที่ข้าอยากให้เจ้าไปทำก็คือ....”

เล่งหยาฟังเย่หวูเฉินอย่างตั้งใจ เขารับแผนผังกับขวดยาเล็กๆมาโดยไม่กล่าวคำ จากนั้นหมุนกายแล้วออกไป ร่างกายราวกับวายุพัดหายไปในพริบตา เขามักสวมเสื้อผ้าสีดำ ดังนั้นตอนนี้จึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชุดเพื่อพรางตัวในความมืดก่อนรุ่งสาง

หลังจากเล่งหยาออกไป ฉู่จิงเทียนยังคงตะลึงอยู่ ในที่สุดเขาก็ถามออกมา “น้อง.... น้องเย่ หลินเสี่ยวผู้นั้น เป็นคนชั่วช้าหรือ?”

เย่หวูเฉินสั่นศีรษะ “ไม่ใช่ ไม่เพียงเขาไม่ใช่คนชั่วช้า หากยังนับว่าเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริง อุปนิสัยใจคอดี โดดเด่นทั้งทักษะยุทธและอักษร ไม่เคยกระทำชั่วช้าใดๆ ผู้คนล้วนยกย่องชื่นชมเขา”

“ถ้า....ถ้าอย่างนั้นทำไมถึง....”

“เพราะพวกเรามีจุดยืนที่แตกต่างกัน” เย่หวูเฉินตอบ

ฉู่จิงเทียนไม่อาจเข้าใจชัดถึงความหมายของคำว่า ‘จุดยืน’ เขาไม่อาจอดได้และกล่าว “แต่ว่า เพียงมีจุดยืนที่แตกต่าง เหตุใดต้องถึงขนาดกระทำ....โหดร้าย ท่านปู่เคยบอกว่าการสังหารไม่ใช่การทารุณสูงสุด หากเจ้าทำแบบนี้ คนผู้นั้นทั้งชิวิตจะต้องจบสิ้นลง”

“โหดร้าย?” เย่หวูเฉินทวนคำ จากนั้นเงยมองฟ้าแล้วเอ่ยเสียงเบา “ก่อนหน้า ข้าเสียใจที่ไม่ได้โหดร้ายเหมือนตอนนี้.... เพราะว่าข้าไม่โหดร้ายตั้งแต่แรก ข้ากับเสวี่ยเอ๋อร์จึงถูกบีบคั้นให้ร่วงลงหุบเหว หากไม่ใช่เพราะสวรรค์เมตตา ข้ากับเสวี่ยเอ๋อร์คงตายไปแล้ว ตระกูลเย่และเหล่าคนที่ข้าห่วงใย จะต้องโศกเศร้าเพราะข้าไปทั้งชีวิต.... ข้าสำนึกเสียใจว่าเหตุใดถึงไม่โหดร้ายตั้งแต่แรก มัวลังเลและกระดากใจ จะทำสิ่งใดล้วนแต่ครุ่นคิด มือเท้าประดุจถูกผูกไว้ ตอนนี้เมื่อข้ากลับมา ผู้ใดที่มันชิงชังข้า ทำร้ายข้า คิดสังหารข้า บรรดาคนเหล่านั้น ข้าได้เขียนจุดจบของพวกมันไว้ทั้งหมด! เมื่อฟ้าส่งข้ามายังโลกใบนี้ เช่นนั้นข้าจะครอบงำทั้งผืนหล้า”

เสียงของเย่หวูเฉินแผ่วเบาอย่างยิ่ง ราวกับคนหลับฝันละเมอกล่าว ฉู่จิงเทียนพลันรู้สึกเยียบเย็น ขนคอลุกชัน เย็นจับจนไม่อาจห้ามร่างให้สั่นสะท้าน เขาไม่อาจกล่าวถ้อยคำอีก แม้เขาจะอยากถามยิ่ง ว่าเหตุใดเย่หวูเฉินถึงได้เตรียมแผนผังกับขวดยาเล็กๆเอาไว้ก่อน หรือเขารู้อยู่แล้วว่าเล่งหยาจะเข้ามา แล้วรอมอบหมายภารกิจให้เขาทำ?

แววหน้าแห่งความสุขกลับคืนสู่เย่หวูเฉิน เขากล่าว “พี่ใหญ่ฉู่ ท่านไม่ได้พักผ่อนมาตลอดทั้งคืน ตอนนี้สมควรเหน็ดเหนื่อย ตะวันยังไม่โผล่ขอบฟ้า ท่านกลับไปพักที่ห้องเถอะ ฝีมือของเล่งหยาท่านสมควรรู้จักดีกว่าข้า ไม่จำเป็นต้องห่วงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับเขา”

ฉู่จิงเทียนพยักหน้าอย่างโง่งม ว้าวุ่นใจขณะกลับไปยังห้องที่เย่หวูเฉินจัดเตรียมให้ ห้องนั้นอยู่ในสวนเดียวกัน อยู่ถัดจากห้องของเย่ซีและเย่บา เพียงไม่กี่คำพูดของเย่หวูเฉินก็ล้วนทำให้เขาไม่สบายใจ

เขาจำได้ว่าเมื่อสามปีก่อน หลังจากที่เย่หวูเฉินเดินทางไปจากพวกเขา ปู่ของเขาได้บอกไว้ว่า หากสามารถก้าวข้ามเย่หวูเฉินได้จงออกท่องไปทั่วแผ่นดิน ใช้กระบี่ผดุงความถูกต้อง แต่หากไม่สามารถก้าวผ่าน เช่นนั้นจงติดตามอยู่เบื้องหลัง ทว่าตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเย่หวูเฉินร่างกายพิการ เขากลับเกิดความรู้สึกไม่กระจ่างชัดเมื่ออยู่ต่อหน้า เป็นความรู้สึกที่ราวกับว่าเขาด้อยกว่าเย่หวูเฉิน

เขาเคารพและเชื่อฟังปู่ของตนอย่างยิ่ง แน่นอนว่าไม่มีทางฝ่าฝืนคำสั่ง.... จากคำพูดของปู่ตน ตอนนี้เขาเหนือกว่าเย่หวูเฉินอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าความรู้สึกประหลาดนั้นได้ฉุดรั้งเขาเอาไว้ เขาสั่นศีรษะไล่ความคิดออกไป เมื่อกลับเข้าห้องได้เขาก็นอนหลับไหล นอนเตียงไม้มาตลอดพอมาเจอเตียงนุ่มเขารู้สึกสบายราวอยู่บนสวรรค์

...................

...................

ในเวลานี้ ท้องถนนในเมืองเทียนหลงเงียบสงบ ไร้ผู้คนเดินผ่าน เล่งหยาแฝงกายในความมืดราวกับผีปีศาจ เมื่อมาถึงตรงหัวมุม เขานำแผนผังออกมาอ่านอย่างรวดเร็ว จากนั้นกระโจนข้ามกำแพงเข้าไปอย่างว่องไว

ในสวนตระกูลหลินเงียบสงัด มีผู้คุ้มกันเดินลาดตระเวนอยู่ ที่ประตูมีสองผู้คุ้มกันถืออาวุธด้วยเปลือกตาหนักอึ้ง อ้าปากหาวอยู่บ่อยครั้ง ทั้งไม่ตระหนักถึงเงาดำที่ข้ามผ่านกำแพงสูงเข้ามา ยามร่างนั้นแตะสัมผัสพื้นก็ไร้เสียงใดแม้แต่น้อย

เล่งหยาหยุดอยู่ตรงมุมลับสายตา สังเกตทางเดินของผู้คุ้มกันที่ลาดตะเวน จากนั้นขยับเคลื่อนเท้า พุ่งตรงเข้าไปในห้องของหลินเสี่ยวอย่างรวดเร็ว

เพียงชั่วขณะ เล่งหยาก็คว้าหลินเสี่ยวที่กำลังหลับไหลอยู่ แม้จะจับคนตัวหนักอึ้งถือไว้ในมือ แต่การเคลื่อนไหวของเขายังคงเงียบเชียบเหมือนก่อนหน้า ราวกับว่ามันไม่มีผลใดๆ ในตระกูลหลินไม่มีผู้ใดทราบ ว่ายามนี้นายน้อยถูกลักพาตัวไปแล้ว

หลินเสี่ยวหายใจอย่างสงบ ไม่ใช่เขาไม่ตื่นขึ้นจากการหลับ แต่เป็นสลบชั่วคราวด้วยฤทธิ์ยาที่เย่หวูเฉินมอบให้กับเล่งหยา หลินเสี่ยวย่อมสลบเพียงไม่นาน แม้หลินเสี่ยวไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่เขาก็ย่อมไม่ตื่นขึ้นมาเร็วเกินไปนัก



<<<PREV    .    NEXT>>>