วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 258

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 258 ข้าเรียกว่าเฮยเซียง (1)

อาวุโสหลี่และอาวุโสหลิวไม่กล่าวคำใด พวกเขาล้วนรู้เหตุผล ทว่าที่พวกเขาไม่เข้าใจ คือเหตุใดเย่หวูเฉินจึงต้องฉีกหน้าจักรพรรดิเป็นชิ้นๆ หรือเพราะเขาอาศัยความกระหยิ่มได้ใจ เลยมีจิตคิดกบฎ.... แต่ถ้าอย่างนั้น สามปีก่อนเขามีพลังพอสังหารเทพสงคราม เหตุใดตอนนั้นจึงไม่คิดทรยศ ยามนี้ร่างกายเขาพิการ การมีความคิดเช่นนั้นย่อมไม่ถูกต้อง

ทันใดนั้นหลงหยินกระซิบแผ่วเบา “มันสมควรรู้บางอย่างแล้ว ไม่เช่นนั้น มันคงไม่ทำเช่นนี้แน่”

หลงขวงสีหน้าชะงักค้าง ขณะที่หลินซานงุนงง เขาไม่เข้าใจความหมายโดยสิ้นเชิง ทั้งยังไม่กล้าเอ่ยถาม อาวุโสหลี่และอาวุโสหลิวลอบหรี่ตา จากคำพูดของหลงหยิน สามารถเชื่อมโยงถึงได้หลายสิ่ง

หลงหยินยามมีโทสะ ในใจก็สั่นไหวไม่หยุดหย่อน เย่หวูเฉินมีเด็กหญิงชุดดำอยู่ข้างกาย หากมันคิดเอาชีวิตเขา ก็สมควรง่ายเหมือนปอกกล้วย

เขาจะยอมให้ชีวิตถูกตัดสินในมือคนอื่นง่ายๆได้อย่างไร หลงหยินอยากสังหารเย่หวูเฉินให้ได้เสียตอนนี้ หากอาวุโสหลี่และอาวุโสหลิวบอกว่ามันเป็นเพียงคนพิการ ตราบใดที่ข้างกายไร้การปกป้อง การสังหารย่อมง่ายดายยิ่ง เพื่อความปลอดภัยแล้ว หากลงมือเร็วได้ก็ยิ่งดี!

“ฝ่าบาท แล้วการแต่งงานของเจ้าสุนัขนั่นกับองค์หญิง....” หลินซานถามอย่างระมัดระวัง ยามนี้หลงหยินเผยสีหน้ากราดเกรี้ยว ทำให้เขาประหวั่นพรั่นพรึง

“เฮอะ.... หากข้าให้นางแต่งกับเจ้าเด็กตระกูลเย่นั่น ทั่วหล้าคงได้หัวเราะเยาะข้าเป็นแน่!” หลงหยินแค่นเสียงออกจมูกและจากไปด้วยความเดือดดาล

......................

......................

ในคฤหาสน์ตระกูลเย่ เย่เว่ยและเย่หนู่ต่างมองที่เย่หวูเฉิน เป็นเวลานานที่พวกเขาไร้คำพูด

“ท่านปู่ ท่านพ่อ พวกท่านมีสิ่งใดจะถามหรือ?” เย่หวูเฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง ใบหน้าไร้ระลอกกระเพื่อมไหว

“เจ้าย่อมไม่ใช่คนหุนหันหรือแข็งกร้าว จงบอกกับข้าตามตรงว่าสิ่งที่เจ้าทำในวันนี้ แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์ใดกันแน่?” เย่หนู่ถามช้าๆ การกระทำและคำพูดของเย่หวูเฉินต่อหลงหยินทำให้เย่หนู่ประหลาดใจ ทว่าการตอบสนองของหลงหยินกลับทำให้เขาตกตะลึง จากเหตุการณ์นี้ เขาล้วนไม่ทราบเหตุผลที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง

เย่หวูเฉินถอนหายใจบางและกล่าว “ท่านปู่ ท่านพ่อ พวกท่านคลายใจได้ว่าข้าเป็นคนตระกูลเย่ ไม่มีวันทำร้ายตระกูลเย่อย่างเด็ดขาด เมื่อวันเวลานั้นมาถึง พวกท่านทั้งสองจะเข้าใจ”

เย่หนู่พยักหน้าช้าๆ ไม่คาดคั้นถามคำตอบ “เจ้าคือหลานชายข้า ไหนเลยจะไม่เชื่อใจเจ้าได้ เพียงแต่ข้าเหน็ดเหนื่อยเกินไป ในเมื่อเจ้ากลับมาก็ดี ข้าไม่มีสิ่งใดให้เสียใจแล้ว แม้ข้าชราแต่สายตามิได้มืดบอด ถึงร่างกายของเจ้าจะพิการ แต่วาจาและสีหน้าล้วนบอกพวกเราว่าใจเจ้าไม่คิดเหมือนแต่ก่อน กลับมาครั้งนี้ย่อมมีสิ่งสำคัญยิ่งให้กระทำ เจ้าหวนกลับจากชีวิตและความตาย ตลอดสามปีเจ้าประสบสิ่งใดมาบ้าง ข้าอยากรู้ยิ่งนักแต่จะไม่เอ่ยถาม ปล่อยให้คนชราขี้หลงลืมอย่างข้าไม่รู้ย่อมนับว่าดี สิ่งที่เจ้าคิดกระทำสมควรสะเทือนหล้า ข้าเพียงแต่หวังว่า หากคราวใดที่พลาดพลั้ง เจ้าจะรักษาชีวิตตนเองไว้”

เย่หนู่กล่าวพลางหัวเราะ หันกายแล้วค่อยๆเดินจากไป

เย่หวูเฉินนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง มองแผ่นหลังของเย่หนู่และกล่าวเสียงเบา “ขอบคุณท่านปู่”

เย่เว่ยเดินเข้ามาตบไหล่เบาๆ เขากล่าวอย่างจริงจัง “ตั้งแต่เขาได้ยินข่าวการตายของเจ้าเมื่อสามปีก่อน ปู่ของเจ้าก็รู้ว่าสิ่งใดสำคัญสุดในชีวิต สามปีก่อนเจ้าทนเก็บงำสิ่งใดไว้ มีเป้าหมายยิ่งใหญ่ใดให้ไขว่คว้า จงลงมือเต็มที่อย่าได้กังวล ครอบครัวของเจ้าจะไม่มีใครขัดขวาง เพราะเจ้าคือทายาทแห่งตระกูลเย่ ย่อมไม่มีวันทำร้ายตระกูลเย่เรา”

เย่หวูเฉินพยักหน้าหนัก “ท่านพ่อ อีกไม่กี่วันต่อจากนี้ท่านจะเข้าใจเอง หวังว่าท่านพ่อจะพร้อมรับมือ”

“ฮี่ๆ ข้าผ่านพายุใหญ่มาครึ่งชีวิต ยังมีสิ่งใดให้หวั่นเกรง” เย่เว่ยกล่าวพลางหัวเราะ

“อืม.... ท่านพ่อ สหายน้อยข้างกายจักรพรรดิที่เรียกว่าเฮยเซียง มีความเป็นมาอย่างไรกัน?” เย่หวูเฉินถามด้วยท่าทีสนใจ

พอเย่เว่ยได้ยิน สีหน้าก็กลายเป็นจริงจังขึ้น “เฉินเอ๋อร์ ไม่แปลกเลยที่เจ้าจะสนใจ คนผู้นั้นแม้ภายนอกดูน่าเกลียด หากกลับเป็นตัวประหลาดที่มีพลังสะเทือนฟ้า”

“โอ้?” เย่หวูเฉินสีหน้าแปลกใจยิ่ง “ถึงกับทำให้ท่านพ่อเอ่ยปากว่า ‘สะเทือนฟ้า’ คนผู้นั้นสมควรมีพลังแกร่งกล้าอย่างยิ่ง ท่านพ่อช่วยเล่าเรื่องราวให้ข้าฟังได้ไหม?”

เย่เว่ยพยักหน้า เขาเริ่มเล่าถึงที่มาของเฮยเซียงผู้นั้น

.......................

.......................

สิบเดือนก่อน

ภายในราชวิทยาลัยเทียนหลง จัตุรัสกลางหนาแน่นไปด้วยผู้คน ที่ประตูทางเข้าเต็มไปด้วยราชองครักษ์ เนื่องจากอยู่ในยามสงคราม งานประลองสุดยอดพรสวรรค์รุ่นเยาว์ในปีนี้จึงถูกเลื่อนออกไปหลายเดือน ทว่าผู้คนที่เข้าร่วมชมการแข่งขันกลับมากกว่าครั้งอดีตอย่างเห็นได้ชัด วันนี้เป็นวันแข่งขันวรยุทธวันสุดท้าย เหล่าขุนนางสูงศักดิ์แห่งราชสำนัก ต่างร่วมชมงานในจัตุรัสอย่างพรักพร้อม รอชมว่าที่สุดยอดพรสวรรค์แห่งเทียนหลงคนใหม่

อย่างไรก็ตาม นับแต่เย่หวูเฉินปรากฎกายขึ้นบนเวที ท้าประลองกับหลินเสี่ยว ก็ยากหาเจอการประลองใดที่อัศจรรย์ดุจสวรรค์ฟ้าดิน หากเปรียบเทียบกันแล้ว ในปีหลังๆนับว่าจืดชืด

ทว่าการประลองครั้งนี้กลับต้องสะเทือน เนื่องจากการปรากฎตัวของคนผู้หนึ่ง

ความตายของเย่หวูเฉินทำให้ผู้คนได้แต่ถอนหายใจ หลายปีที่หลินเสี่ยวเข้าร่วมจึงไร้คู่แข่ง ระหว่างสองปีที่ผ่านมา เขาปราศจากความกังวล วรยุทธจึงรุดหน้าอย่างรวดเร็ว เขายังอยู่ในเกณฑ์เข้าร่วมประลองได้ หลังพ่ายแพ้เย่หวูเฉินย่อยยับในอดีต เขาไม่กล้า ‘ถือดี’ บนเวทีอีก ในยามเช้าเขาเอาชนะเด็กหนุ่มไปสี่คน พวกเขาพ่ายแพ้โดยที่หลินเสี่ยวยังไม่ทันออกแรงมากนัก

ขณะที่ผู้คนคิดว่าปีนี้หลินเสี่ยวคงได้ครองอันดับหนึ่งอีกครั้ง กลับปรากฎเด็กหนุ่มร่างเตี้ย ตัวอ้วนล่ำและผิวคล้ำก้าวขึ้นมาบนเวทีอย่างขัดเขิน ยามแรกที่เขาปรากฎกาย ผู้คนต่างฮือฮาด้วยแขนกำยำหนาแน่นน่ากลัวคู่นั้น

“คนผู้นี้มาจากไหน เหตุใดจึงมีร่างกายแบบนั้น?” หลงหยินที่ดูการแข่งขันอันชืดชา ยามนี้เอ่ยถามหลินเหยียนผู้จัดงาน

“ทูลฝ่าบาท คนผู้นี้กระหม่อมจับตามองเป็นพิเศษ เขามาจากทางตอนใต้ของเมืองอานชิง เป็นเขตแดนชนบท แทบจะไร้ทักษะวรยุทธใดๆ แต่ราวกับว่าเขาเกิดมาพร้อมพลังประหลาด วันก่อนในรอบคัดเลือกเขาต่อยหมัดใส่คนจนสิ้นสภาพ  ทว่าหลินเสี่ยวนั้นยืดหยุ่นพลิกแพลง สมควรเอาชนะเขาได้ไม่ยาก” หลินเหยียนตอบกลับอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก

หลงหยินอุทานเบาๆ “โอ้?”

เวลานั้น เด็กหนุ่มพลันตระหนักว่าตนชนบทไม่เคยเห็นโลก ใบหน้าอับอายกับกายตน สีหน้าประหม่าไม่คุ้นชินกับเมือง หลังขึ้นเวทีเขายิ้มแหย หัวเราะ ‘แฮ่ๆ’ สองคำ จากนั้นเอามือลูบศีรษะตนเองและกล่าวสุภาพนอบน้อม “สวัสดี ข้าเรียกว่าเฮยเซียง”

หลิวเสี่ยวยิ้มกล่าว “หลินเสี่ยวผู้ต่ำต้อย ขอรับการชี้แนะ”

“มิกล้าชี้แนะ มิกล้าชี้แนะ....” เด็กหนุ่มรีบโบกมือพัลวันอย่างน่าขบขัน พอเขาเห็นหลินเสี่ยวพูดจาสุภาพถ่อมตน จากเคยประหม่าก็พลันหัวเราะ เฮยเซียงยังคงลูบศีรษะขณะกล่าว “เจ้าแข็งแกร่งมาก ดังนั้นข้าจะเพิ่มแรงขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง หากข้าเผลอทำให้เจ้าบาดเจ็บ ได้โปรดอย่าบอกกับแม่ข้า... หากท่านแม่รู้เข้าจะต้องดุว่าข้าแน่”

หลินเสี่ยวยิ้มรับอย่างสงบ “บาดเจ็บบนสนามประลองคือตนด้อยการฝึกฝน ย่อมไม่อาจกล่าวโทษต่อผู้ใด เจ้าสามารถใช้พลังได้เต็มที่ จะไม่มีผู้ใดบอกกับแม่เจ้า”

“ถ้างั้นก็ยอดเยี่ยม เจ้าเป็นคนดีจริงๆ” เฮยเซียงขอบคุณอย่างร่าเริง สองแขนกำยำยกขึ้น ประสานบิดกันเหมือนเป็นการอบอุ่นร่างกาย

นอกเวทีหัวเราะร่วนเป็นแผ่นผืน กระทั่งหลงหยินยังหัวเราะลั่น  “ใช้เพียงพลังกาย ไม่เคยออกมาดูโลก ไหนเลยจะเข้าใจทักษะฝีมือของหลินเสี่ยว ทว่าเด็กหนุ่มที่อาศัยพลังกายผู้นี้ กลับมีนิสัยซื่อตรงและเรียบง่าย กล่าวคำอหังการทำผู้คนคาดไม่ถึง น่าสนใจ น่าสนใจยิ่ง”

เห็นได้ชัดว่าไม่มีผู้ใดคาดคิด ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะเอาชนะหลินเสี่ยวได้

เฮยเซียงขยับข้อมือและกล่าวอย่างจริงจัง “แม่ข้าบอกว่า เวลาเข้ามาประลองในเมือง ต้องให้ผู้อื่นลงมือก่อน ไม่เช่นนั้นจะถือว่าเสียมารยาท”

หลินเสี่ยวไม่ขัดข้องและกล่าว “เช่นนั้นหลินเสี่ยวก็ขอลงมือ”

กระบี่ยาวชูเชิด ตวัดจู่โจมเฮยเซียงอย่างชดช้อย เขาเห็นการต่อสู้ของเฮยเซียงจากเมื่อวาน ทราบว่าเฮยเซียงใช้พลังประหลาดที่ติดตัวตั้งแต่เกิด แม้หลินเสี่ยวมิได้เกรงกลัว แต่เขาไม่อยากต่อสู้ติดพันกับพลังนั้น ดังนั้นจึงต้องการตัดสินผลประลองโดยเร็ว

ขณะที่หลินเสี่ยวทะยานเข้าไปใกล้ เฮยเซียงก็ปล่อยหมัดแหวกฝ่าอากาศ ขยับเท้าเคลื่อนร่าง ส่งหมัดขวาเข้าปะทะกับกระบี่ยาว ทว่ากระบี่กลับพลิกแทงใส่ไหล่ของเขา

หากทันใดนั้น สถานการณ์กลับเปลี่ยน หลินเสี่ยวรู้สึกราวกับถูกภูเขาทับร่าง ทั้งหนักหน่วงและกดดัน กล่าวได้ว่ามีหลินเสี่ยวเท่านั้นที่รู้สึก เหมือนมีขุนเขามหึมากดทับไว้ พลังในร่างถดถอยไปครึ่งหนึ่ง แขนขาราวกับถูกหินยักษ์ถ่วงเอาไว้จนไม่อาจขยับเคลื่อน

หมัดที่เฮยเซียงปล่อยออกมาธรรมดาๆ กำลังเปลี่ยนเป็นหมัดฮุกขวางัดใส่ร่างของหลินเสี่ยว

หมัดเฮยเซียงอัดใส่อกของหลินเสี่ยวอย่างหนักหน่วง หมัดธรรมดาคล้ายมีน้ำหนักมหาศาล ในสมองหลินเสี่ยวราวกับถูกฟ้าฟาด หูสองข้างดังอื้ออึง ที่ปากกระอักโลหิตคำโต ร่างกายปลิวละลิ่วสูงกว่า 20 เมตร พอตกลงมาอย่างหนักหน่วงก็แน่นิ่งหยุดหายใจ

ขณะที่ปลิวออกไปนั้น โลหิตก็พุ่งออกมาเป็นสายละออง เวทีประลองจึงแดงฉานเป็นทางโลหิต

ผู้คนตกตะลึงไม่คาดฝัน ฉากเงียบสงัดงัน ดวงตาผู้คนเบิกค้าง ปากอ้ากว้างขณะมองเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าราบเรียบ คนของตระกูลหลินผุดลุกขึ้นยืน หัวใจแทบแตกสลาย หมัดที่ชกคนลอยขึ้นฟ้ากว่า 20 เมตร หากเป็นคนธรรมดาไม่ทราบตายไปแล้วกี่หน กระทั่งผู้ฝึกยุทธอย่างหลินเสี่ยวยังบาดเจ็บสาหัส

หลินขวงกับหลินซานดวงตาแทบถลน หลินเหยียนระเบิดโทสะกระโดดตรงไปที่เวที แผ่พุ่งเปลวไฟเข้าใส่เฮยเซียง “เจ้าลูกหมาส่ำส่อน บังอาจกล้าทำร้ายเสี่ยวเอ๋อร์!”

ความเจ้าอารมณ์ของหลินเหยียนเป็นที่รู้กันทั่ว ในสนามประลองหากบาดเจ็บย่อมไม่อาจเอาผิด หลินเหยียนกลับฝ่าฝืนกฎที่ตั้งขึ้นมาเอง ผู้คนได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ หากหลินเสี่ยวพ่ายแพ้เขาจะพุ่งออกมาแน่ๆ ครั้งก่อนที่เย่หวูเฉินเฉือนใบหน้าของหลินเสี่ยวเพียงเล็กน้อย หลินเหยียนยังทะยานพุ่งออกมาด้วยโทสะ ไม่ต้องกล่าวถึงในวันนี้ ที่เฮยเซียงซัดหมัดอัดหลินเสี่ยวจนบาดเจ็บร้ายแรง

แม้เฮยเซียงดูคล้ายเทอะทะ ทว่าร่างกายกลับพริ้วไหวอย่างยิ่ง เขาหลบลูกไฟของหลินเหยียนอย่างจ้าละหวั่น โบกไม้โบกมือละล่ำกล่าว “ข้า....ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าคิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นแบบนี้ ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับที่....”

“ตายซะเถอะ!” หลินเหยียนยกสองมือขึ้นเหนืออก หนึ่งกลุ่มเพลิงสีแดงเข้มผลาญไหม้บนมือขวา เขาดีดทะยานร่างตรงไปเบื้องหน้า มือขวาคว้าร่างหมายผลาญเฮยเซียง ความเร็วของเขาเหนือล้ำไร้ที่เปรียบ



<<<PREV    .    NEXT>>>