วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 257

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 257 คุกคาม

หลินขวงที่เงียบอยู่ตลอดไม่อาจอดทนและตะโกนออกไป “เย่หวูเฉิน ไม่คาดฝันว่าเจ้ามาถึงกลับสามหาวถึงเพียงนี้ เจ้าไม่เห็นจักรพรรดิในสายตาหรืออย่างไร?”

หลงหยินยกมือขึ้นขัดจังหวะ ใบหน้ากลับไม่แสดงอาการโกรธ เขากล่าว “หวูเฉิน หรือเจ้ายังคงขุ่นข้องใจ ที่อดีตข้าส่งพี่สาวเจ้าแต่งงานสู่อาณาจักรต้าฟง? ครั้งนั้นนับเป็นความผิดข้าโดยแท้ เห็นเจ้ารอดกลับมาข้ายินดียิ่ง แต่กระบี่เหล็กไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เจ้าพูดว่ากระบี่เหล็กหากอยู่กับเจ้าล้วนไม่มีประโยชน์อันใด ทั้งยังจะนำพาหายนะมาให้ สมบัติที่บรรพชนทิ้งไว้ให้แก่เทียนหลงนับว่าสำคัญยิ่ง หากได้รับความมั่งคั่งนั้น อาณาจักรเทียนหลงของข้าก็ไม่ต้องกลัวต้าฟงอีกต่อไป แม้เจ้าจะขุ่นข้องหมองใจ แต่ก็ไม่อาจทำตัวเป็นเด็กเช่นนี้” หลงหยินถามต่อ “เจ้าจงตอบข้าอีกครั้ง กระบี่เหล็กยังอยู่กับตัวเจ้าหรือไม่?”

หลงหยินข่มระงับความโกรธ ความรู้สึกที่เย่หวูเฉินนำพาเวลานี้ต่างออกไป เมื่อสามปีก่อน ยามที่เย่หวูเฉินอยู่ต่อหน้า แม้เขาจะมั่นใจ แต่ไม่มีครั้งใดแสดงความไม่เคารพ ทว่าในยามนี้ ตั้งแต่เข้าประตูมาอยู่ต่อหน้า เย่หวูเฉินแม้กล่าวคำสุภาพแต่ท่าทางมิได้นอบน้อมใดๆ กระทั่งศีรษะยังเชิดขึ้น ใบหน้าไม่แยแสต่อเขาผู้เป็นจักรพรรดิอย่างสิ้นเชิง ราวกับเห็นคนธรรมดา.... อีกทั้งท่าทีที่แสดงนั้น ยังเห็นได้ชัดว่าไม่คิดปิดบัง

เวลานี้แม้เย่หวูเฉินจะสิ้นสภาพต้องนั่งรถเข็น ทั้งอาวุโสหลี่และอาวุโสหลิวยังยืนยันเสียงหนักว่าชั่วชีวิตเขาไม่อาจฟื้นฟู ทว่าความรู้สึกที่หลงหยินสัมผัสได้ กลับเป็นความกดดันหนักหน่วงเหลือคณา พอคิดถึงวีรกรรมของเขาในต้าฟงและเด็กหญิงชุดดำที่น่าสะพรึงแล้ว หลงหยินที่ไม่อาจรับประกันตนเองได้จึงต้องข่มระงับความโกรธเพียงเท่านั้น ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้กระบี่เหล็ก คุณสมบัติแรกของการเป็นจักรพรรดิคือความอดทน! รักษาสีหน้าแห่งความสงบไว้

“อะไรกัน อะไรกัน” เย่หวูเฉินยิ้มบาง ใบหน้าไร้ความหนักใจแม้แต่น้อย คนหนึ่งนั่งอีกคนหนึ่งยืน คนหนึ่งผ่อนคลายส่วนอีกคนหน้าเคร่ง ตอนนี้เขากำลังเป็นฝ่ายเหนือกว่า

“รีบส่งคืนมาซะ บางทีฝ่าบาทอาจละเว้นความผิดให้กับเจ้า ไม่อย่างนั้นแล้ว.... ความผิดที่เจ้าทำของศักดิ์สิทธิ์แห่งจักรพรรดิบรรพชนหายไป ล้วนมีโทษถึงประหาร! จงรู้เอาไว้ด้วย” หลินขวงถลึงตากล่าวอย่างมีโทสะ

“มีโทษถึงประหาร? เดิมยังไม่อาจนับเป็นความผิด แล้วโทษประหารจะมาแต่ไหน ใต้เท้าหลินสมควรทราบดี ว่าฝ่าบาทเป็นผู้รับปากกับหวูเฉิน ให้เลือกของหนึ่งสิ่งจากคลังสมบัติได้ตามใจ และเมื่อข้าเลือกกระบี่เหล็ก ฝ่าบาทก็ไม่เคยทัดทาน เมื่อกระบี่เล่มนั้นเป็นของข้าก็ไม่ใช่ของคนอื่นอีก เหตุใดข้าต้องส่งของๆตนให้ผู้อื่นด้วย? พูดได้ว่าของศักดิ์สิทธิ์แห่งจักรพรรดิบรรพชน.... เป็นจักรพรรดิที่มอบให้ข้า กระบี่หายไปเพราะตัวจักรพรรดิ หากอ้างคำพูดของใต้เท้าหลิน ความผิดในครั้งนี้ มิสมควรต้องประหารจักรพรรดิด้วยหรือ?” เย่หวูเฉินไม่รีบร้อนกล่าว

ทั่วร่างของหลินขวงสั่นเทา “เจ้า เจ้าเด็กตระกูลเย่ โอหังยิ่งนัก คิดจริงๆหรือว่าสังหารฟงเฉาหยางแล้วจะอวดดีได้ ถึงขนาดไม่เห็นหัวของจักรพรรดิ....”

“พอได้แล้ว!” หลงหยินโทสะทะลักล้นในที่สุด เขาตวาดเสียงลั่นไปคราหนึ่ง บรรยากาศโดยรอบกลายเป็นเยียบเย็น ทว่าในตอนนี้ ร่างของหลงหยินกลับแข็งค้าง เขาหันมองไปทางขวาโดยสัญชาตญาณ.... ที่ปากประตูสวนด้านขวา เป็นร่างเล็กๆสีดำ จากมุมที่เขายืนอยู่ จะเห็นนางเพียงครึ่งร่างเท่านั้น ขณะที่เขากำลังจะระเบิดโทสะ ก็พลันถูกสายตาจับจ้อง แม้นางมิได้แผ่จิตสังหารใดๆ แต่เขากลับรู้สึกราวกับมีปีศาจเขม่นจ้องที่ลำคอ ในใจหดวูบอย่างรุนแรง

จากครั้งแรกที่ถูกทงซินมองตรึงด้วยจิตสังหารเมื่อสามปีก่อน เขาราวกับก้าวผ่านประตูแห่งความตาย ไม่อาจไถ่ถอนความกลัวต่อนางได้ จิตสังหารที่ทงซินแผ่ออกมานั่นน่ากลัวยิ่ง เพียงถูกมองด้วยดวงตา ก็ทำให้เขาแทบไม่อาจหายใจ ด้วยความกลัวทะลักล้ำแทบทำให้ไม่อาจควบคุมกาย เขาไม่เคยลืมคำเตือนของอาวุโสหลี่และอาวุโสหลิว ไม่ต้องกล่าวถึงการยั่วโทสะนาง แค่จะเจอนางอีกครั้งยังไม่กล้า ความแข็งแกร่งของนางจากที่อาวุโสหลี่และอาวุโสหลิวอธิบาย หากนางคิดบุกวังเอาชีวิต ชะตากรรมของเขาคงไม่ต้องคาดเดา นอกจากมีตัวตนอย่างฟงเฉาหยางอยู่ข้างๆ มิเช่นนั้นคงไม่ต่างจากหยิบของออกกระเป๋าสำหรับนาง เหล่าราชองครักษ์ล้วนไม่นับเป็นสิ่งใด

ผู้คนในโลกส่วนใหญ่หวาดกลัวความตาย โดยเฉพาะผู้ที่ถือครองอำนาจและความมั่งคั่ง และยิ่งหลงหยินยิ่งใหญ่คับฟ้าไม่ธรรมดา ความกลัวตายย่อมเหนือล้ำกว่าคนทั่วไป

เขาทนกลืนฝืนความโกรธ แค่นเสียงเย็นแล้วออกไปอย่างเร็วรีบ หลินขวงและหลินซานไม่คิดฝันว่าหลงหยินจะจากไปทั้งแบบนี้ พอหันมามองกัน ทั้งสองก็ตามไปอย่างรีบร้อน

“ช้าก่อน! หวูเฉินมีบางอย่างจะทูลถามฝ่าบาท” เย่หวูเฉินไม่ปล่อยให้ไปง่ายๆ ตะโกนเรียกหยุดพวกเขาไว้

หลงหยินหยุดเท้าหากไม่ได้หันกลับมา เขากล่าวเสียงต่ำ “มีอะไรก็รีบพูด”

“ดูเหมือนฝ่าบาทจะลืมเรื่องสำคัญบางสิ่ง” เย่หวูเฉินยิ้มย่องอย่างสุขใจ เมื่อได้เห็นหลงหยินโกรธขึ้งจนแทบไม่อาจระงับ เขายิ้มกล่าว “เมื่อสามปีก่อน ฝ่าบาทเคยประกาศต่อหน้าขุนนางจำนวนมาก ว่าจะให้องค์หญิงเฟยฮวงแต่งงานกับหวูเฉินหลังจากครบสามปี ตอนนี้ก็ผ่านไปสามปีแล้ว องค์หญิงเฟยฮวงมีอายุครบ 16 ชันษา ไม่ทราบฝ่าบาทจะให้องค์หญิงเฟยฮวงกับหวูเฉินแต่งงานกันเมื่อใด?”

หลงหยินขมวดคิ้วแน่น “ข้ายกฮวงเอ๋อร์ให้กับหลินเสี่ยวแห่งตระกูลหลินไปแล้ว อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีก!”

“ไม่ถึงพูดถึงอีก?” เย่หวูเฉินสีหน้าทะมึนลง “หมายความว่าอย่างไรฝ่าบาท? ในเมื่อท่านได้ประกาศต่อหน้าคนจำนวนมากว่ายกองค์หญิงเฟยฮวงให้กับข้า องค์หญิงเฟยฮวงก็นับเป็นว่าที่ภรรยา แล้วเหตุใดว่าที่ภรรยาข้าถึงกลับถูกยกให้คนอื่น ทั้งยังกลับไม่ให้ข้าพูดถึงเรื่องนี้อีก นี่ฝ่าบาทกำลังเล่นตลกอยู่หรืออย่างไร?”

หลงหยินหายใจหนักหน่วง ข่มความโกรธอย่างสาหัส เขากล่าวไม่ยอมลดรา “ในวันที่ข้าตกใจกับข่าวการตาย คิดว่าเจ้าไม่อาจรอดชีวิตกลับมาได้อีก ข้าไม่อาจทนเห็นธิดาเดียวดายกับสัญญาหมั้นทั้งชีวิต จึงยกนางให้กับหลินเสี่ยว เรื่องนี้ไม่สมควรตรงไหน?”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ยอดเยี่ยม ‘ตกใจกับข่าวการตาย’ งั้นข้าขอถาม ฝ่าบาทเห็นกับตาว่าข้าตายหรือเปล่า? หรือได้เห็นศพของข้าแล้ว? หากไม่ใช่ เหตุใดจึงยืนยันว่าข้าตาย? เท่าที่ข้าทราบ ขณะฝ่าบาท ‘ตกใจกับข่าวการตาย’ เพียงในวันที่สองกลับยกว่าที่ภรรยาข้าให้หลินเสี่ยว นี่หากฝ่าบาทได้ยินข่าวการตายของหลินเสี่ยวในวันพรุ่งนี้ ท่านคงยกนางให้ตระกูลอื่นอีกครั้งกระมัง?”

เพราะมีทงซินอยู่ข้างใน ในใจหลงหยินจึงหวาดกลัวอย่างหนัก ทว่าเย่หวูเฉินกลับยิ่งคุกคาม ตั้งใจฉีกหน้าเขาออกเป็นชิ้นๆ ผู้คนไม่อาจหยุดความตระหนก ความสัมพันธ์ของเย่หวูเฉินกับจักรพรรดิกำลังเดือดระอุ กระทั่งเย่หนู่และเย่เว่ยยังตกใจ หากยังยับยั้งตัวเองไม่ให้กล่าวคำ

ที่ยืนอยู่หลังหลงหยิน เป็นเด็กหนุ่มผิวเข้มกำยำดูแข็งแกร่ง เขาตะโกนเสียงดังลั่น “เหตุใดจึงกล่าววาจากับจักรพรรดิเช่นนี้ หากเจ้าล่วงเกินจักรพรรดิอีกครั้ง ข้าเฮยเซียงจะไม่เกรงใจเจ้าแล้ว”

น้ำเสียงแฝงความเป็นเด็ก ฟังแล้วไม่ระคายหู วาจามิได้หยาบคาย ไม่นำพาความรู้สึกคุกคามแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มนาม ‘เฮยเซียง’ ผู้นี้กำลังมองเย่หวูเฉินอย่างมีโทสะ สองแขนกำยำชูขึ้น เพียงแผ่พลังเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้อาวุโสหลี่และอาวุโสหลิวหายใจลำบากขึ้นมาบ้าง

“กลับมานี่!” หลงหยินตะโกนลั่นคำหนึ่ง เฮยเซียงที่กำลังตั้งท่าจำต้องเก็บแขนกลับ แล้วขยับไปอยู่ข้างกายหลงหยินอย่างเชื่อฟัง ไม่กล้าขัดขืนแม้แต่น้อย ดวงตายังคงมองเย่หวูเฉินอย่างคุกรุ่น

“เจ้าพูดถูก เรื่องนี้เป็นข้าไม่รอบคอบโดยแท้ แต่เมื่อข้าผิดไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็ไม่ควรผิดซ้ำเป็นครั้งที่สอง หากเจ้ารู้สึกว่าไม่ยุติธรรม เช่นนั้นข้าจะยกธิดาคนสุดท้อง–องค์หญิงเฟยหยูให้ เจ้าพอใจหรือไม่?”

หลินซานและหลินขวงจ้องมองอย่างงุนงง เกือบจะนึกว่าหูของตนมีปัญหา พวกเขาคิดหัวแทบแตกก็ไม่อาจเข้าใจว่าต่อหน้าเย่หวูเฉินที่คุกคาม จักรพรรดิกลับไม่โกรธกริ้ว กระทั่งรอมชอมยอมยกข้อเสนอ.... หากเย่หวูเฉินเป็นคนก่อนที่ผ่าร่างของเทพสงคราม จักรพรรดิทำเช่นนี้ย่อมสมควรแก่เหตุ แต่ทว่าในยามนี้ เขาเป็นเพียงคนพิการไม่อาจยืนได้ แล้วจักรพรรดิทำเช่นนี้ไปเพื่อสิ่งใด?

เย่เว่ยและเย่หนู่มองหน้ากันอีกครั้ง ความงงงวยฉายชัดเต็มใบหน้า

“ฝ่าบาท ในเมื่อท่านยกองค์หญิงเฟยหยูให้กับข้า เช่นนั้นหวูเฉินก็จะไม่ปฏิเสธ แต่องค์หญิงเฟยฮวงถูกยกให้หวูเฉินแล้ว หวังว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงลืม นางกับข้าสัญญากันเอาไว้ จะเป็นของข้าเย่หวูเฉินเท่านั้น ผู้อื่นผู้ใด ไม่ต้องกล่าวว่าจะแต่งกับนาง แค่แตะปลายเส้นผมก็อย่าหวัง เรื่องนี้ข้าหวังว่าฝ่าบาท....จะลองตรองดูอีกครั้ง!!”

คำพูดพวกนี้ ไม่เพียงยอมรับองค์หญิงเฟยหยู หากยังคงไม่ลดละในตัวองค์หญิงเฟยฮวงแม้แต่น้อย กระทั่งถ้อยคำที่กล่าว ยังแฝงความนัยอันคุกคาม

มุมปากของหลงหยินบิดเบี้ยวอย่างหนัก สองหมัดกำแน่น ทุกคนคิดว่าถึงเวลาที่เขาจะระเบิดโทสะ สุดท้ายกลายเป็นว่าเขาแค่นเสียงหนักแล้วออกไปอย่าเดือดดาล

หลินขวง หลิงซาน และเด็กหนุ่มที่ชื่อเฮยเซียงตามไปอย่างเร่งรีบ เมื่อออกมาไกลจากตระกูลเย่ หลินขวงกล่าวอย่างขลาดกลัว “ฝ่าบาท เจ้าเด็กตระกูลเย่สบประมาทฝ่าบาทถึงเพียงนี้ เหตุใดฝ่าบาทถึงยอมใจกว้างกับมัน แม้สามปีก่อนมันได้สังหารเทพสงครามกับกองทัพหนึ่งหมื่น แต่การแสดงออกของมันในวันนี้ เห็นได้ชัดว่ามันไม่เห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นมันยังเป็นเพียงคนพิการ ต่อให้ฝ่าบาทมีเรื่องติดค้างต่อมันในอดีตก็ไม่ควรถึงกับต้อง....”

เมื่อหลินขวงเอ่ยมาถึงจุดนี้ สายตาก็แลมองอาการของหลงหยิน มันยังไม่ทราบว่า เย่หวูเฉินยังมีทงซินผู้น่ากลัวอยู่ด้วยอีกคน

เหตุที่จักรพรรดิถูกเรียกว่าจักรพรรดิ เพราะพวกเขายิ่งใหญ่ในอาณาจักร มีสถานะและเกียรติสูงสุด กุมอำนาจตัดสินชะตาของผู้คน ไม่มีใครไม่อาจเคารพ มิเช่นนั้น เพียงคำเดียวของจักรพรรดิก็พรากชีวิตเขาได้ ดังนั้นจึงไม่ทราบมีคนเท่าใดที่อยากขึ้นเป็นจักรพรรดิ ทำให้พี่น้องต้องเข่นฆ่า ขุนนางแปรพักตร์ก่อกบฎ.... หากหลงหยินที่ครองอาณาจักรเทียนหลง ล้วนมีขุนนางหนุนหลังอยู่ ต่อหน้าผู้คนเขาล้วนภาคภูมิ ไม่มีใครไม่ยำเกรง ทว่าสุดท้ายเขาถูกกดดันให้ต้องสู้ แต่ยังถูกบีบคั้นให้ต้องนิ่ง เพราะสิ่งหนึ่งที่เย่หวูเฉินพึ่งพิง คือผู้ที่เขาหวาดกลัวที่สุด เย่หวูเฉินไม่เคยเผยเจตนา แต่เมื่อเขากลับมาในคราวนี้ เขาไม่มีความคิดปกปิดอีกต่อไป

“บุตรแห่งตระกูลเย่ เจ้าล้ำเส้นเกินไปแล้ว!” หลงหยินขบฟันแน่น กล่าวคำอย่างชิงชัง



<<<PREV    .    NEXT>>>