วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 406

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 406 ตายสาม พิการหนึ่ง

“ไป!” 

เหยียนเทียนหยุนตะโกนลั่น ไม่สนใจอีกสองคน เขาคว้าเหยียนซีหมิงไว้ข้างกายแล้วบินพุ่งขึ้นฟ้า ทันทีที่เขาเคลื่อนไหว ยอดฝีมือจักรพรรดิเหนืออีกสองคนขยับทันที พุ่งแยกจากกันไปยังสองทิศทาง เห็นได้ชัดว่าไม่คิดต่อสู้ แต่เผ่นแนบให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

มุมปากเหยียดยิ้มอย่างเย้ยหยัน ฉับพลันจักรพรรดิมารหายไปจากอากาศ จากนั้นปรากฎขึ้นเบื้องหน้าคนผู้หนึ่งแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือ ด้วยความที่พุ่งร่างเร็วรุดจึงไม่อาจยั้งกายทัน จักรพรรดิมารผลักฝ่ามือเข้าสู่ทรวงอกมัน

ติ้ง!

ไอปราณเย็นเยียบชำแรกเข้าสู่ร่างอย่างบ้าคลั่ง ยอดฝีมือสำนักจักรพรรดิเหนือแม้ยกมือขึ้นปัดป้องโดยสัญชาตญาณ แต่สติยังคงถูกแช่แข็งและสลายอย่างรวดเร็ว ฉากสุดท้ายที่มองเห็นในม่านตาเบิกกว้าง คือแผ่นผืนน้ำแข็งสีฟ้า

ร่างกายที่ทะยานกลายเป็นน้ำแข็ง แล้วร่วงกระทบสู่พื้น ร่างแตกเป็นเศษกระจาย ทว่าด้วยความที่เย็นเกินไป เศษชิ้นส่วนที่แตกออกนั้นจึงไร้รอยเลือดอย่างคาดไม่ถึง

ร่างของจักรพรรดิมารหายวับไปจากอากาศอีกครั้ง ปรากฎที่เบื้องหน้ายอดฝีมืออีกคนของสำนักจักรพรรดิเหนือ ตัวมันพุ่งทะยานด้วยความเร็วไม่ต่างกัน ดังนั้นจึงไม่อาจหยุดกายทัน สติพลันกลายเป็นน้ำแข็ง ร่างกลายเป็นรูปน้ำแข็งสลัก จากนั้นร่วงกระทบพื้นอย่างหนักหน่วง และแตกเป็นเศษชิ้นนับไม่ถ้วน

จักรพรรดิมารถอนมือกลับ มองไปยังเหยียนเทียนหยุนที่พาเหยียนซีหมิงบินไปไกล การลงมือทั้งสองครั้งเมื่อครู่เรียบง่ายอย่างยิ่ง ไอปราณที่ทะลักในฉับพลัน ทั่วทั้งทวีปเทียนเฉินไม่มีผู้ใดเกินกว่าเขาอีก ทั้งน้ำแข็งที่เย็นจัดสุดขั้ว ที่น่ากลัวกว่านั้นคือความเร็วในการใช้ออก ในความรับรู้ของคนทั่วไป น้ำแข็งที่เย็นเยือกระดับนี้ สามารถเทียบเคียงกับพลังหิมะและน้ำแข็งสุดขั้วของเสวี่ยหนี่ได้เลยทีเดียว ทว่า นางยังคงต้องใช้เวลาและพลังจำนวนมาก แต่ฝ่ามือที่เรียบง่ายนี้ กลับใช้แช่แข็งยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์ได้ในพริบตา

ชายชุดดำถอดผ้าปิดหน้าออก เผยใบหน้าชราอันสงบ ปรากฎเป็นเหยียนเทียนเว่ย เขามองเย่หวูเฉินฆ่ายอดฝีมือขอบเขตสวรรค์สองคนอย่างง่ายดาย ม่านตาไร้ระลอกเกิดความกระเพื่อม เขายื่นมือออกพร้อมคันธนูธรรมดา จากนั้นน้าวสายเล็งไปยังเหยียนเทียนหยุนที่กำลังเผ่นหนี

ซู่ว ซู่ว ซู่ว ซู่ว....

กระแสลมเย็นเชียบแหวกอากาศ เสียงแตกอากาศดังก้องไร้ที่เปรียบ เหยียนเทียนหยุนที่บินอยู่หันมามองทันที เขาพลิกร่างเหยียนซีหมิงไว้อีกด้าน ทว่าทันใดนั้น กระแสลมที่แล่นมากลับเพิ่มขึ้นหลายสาย พุ่งสู่ส่วนต่างๆที่ล้วนเป็นจุดตาย

ศรปราณ!?

ศรไร้ตัวตนกลับน่าหวาดหวั่นกว่าศรธรรมดาหลายเท่า กล่าวได้ว่าเป็นศรที่น่ากลัวสุดที่เหยียนเทียนหยุนเคยพบเห็นในชีวิต เขาไหวร่างกลางอากาศ หลบหลีกอย่างต่อเนื่อง ไม่คิดฝันว่าตนเองที่มีพลังขอบเขตเทวะชั้นกลางยังหลบเลี่ยงอย่างยากลำบาก อย่างไรก็ตาม เหยียนซีหมิงที่ถูกปกป้องอยู่ด้านหลังหัวใจยิ่งแตกตื่น.... มันเคยพ่ายให้กับศรปราณนี้ โดยที่ไม่อาจเข้าใกล้ฝ่ายตรงข้าม ฉากตอนนั้นจึงฝังใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าศรปราณตรงหน้าเวลานี้ กลับทรงพลังกว่าที่มันเผชิญหน้าในงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินนับสิบๆเท่า

หากเปรียบเทียบพลังเพลิงวิญญาณ เหยียนกงลั่วจะเหนือกว่าเหยียนซีหมิงเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เพราะทักษะในการใช้งาน ทำให้เหยียนซีหมิงไม่อาจสัมผัสอีกฝ่ายได้แม้กระทั่งชายเสื้อ

ขณะที่ความต่างชั้นระหว่างเหยียนเทียนหยุนและเหยียนเทียนเว่ยนั้นไม่ใช่เล็กน้อย หลังจากยิงออกไปนับสิบศร เหยียนเทียนหยุนก็ตึงมืออย่างที่สุด ศรปราณเฉียดร่างไปมาอย่างต่อเนื่อง ความเจ็บเสียดแทงสู่ร่างกาย สุดท้ายเมื่อหมดหนทางหลบเลี่ยง จึงควบรวมพลังเตรียมรับการปะทะของศรปราณสองลูกโดยตรง

ปุ๊ ปุ๊!

พลังต้านรับของเหยียนเทียนหยุนสลายเป็นผงเมื่อปะทะกับสองศรปราณ ร่างกระแทกถอยไปนับสิบเมตรกลางอากาศ เหยียนเทียนหยุนสั่นสะท้านในใจ  ตอนนี้มันรู้ชัดแจ้งแล้วว่าศรปราณแต่ละลูกทรงพลังเพียงใด

เหยียนเทียนหยุนไม่มีเวลาให้หอบหายใจ ทว่าทันใดเยียนซีหมิงก็ตะโกนลั่นถึงภัยที่เข้ามาใกล้ มันหมุนกายกลับทันที และพบแสงสีทองสะท้อนใกล้เข้ามา

กระบี่ตัดดาราเหวี่ยงฟาด ‘แยกฟ้าผ่าปฐพี’ แบ่งร่างเหยียนเทียนหยุนออกเป็นสองซีกตั้งแต่ศีรษะ พร้อมกันนั้น ชั้นน้ำแข็งบริสุทธิ์ได้เข้าคลุมร่างกายมัน ร่างกายที่ผ่าครึ่งถูกแช่แข็งในคราเดียว โลหิตยังไม่ทันกระเซ็นสาย ร่างกายก็เยือกแข็งไปเสียแล้ว

ร่างของเหยียนเทียนหยุนร่วงจากอากาศตรงสู่ผืนดิน กระทั่งช่วงเวลาที่ตกตาย มันเองยังคงไม่เข้าใจว่าจักรพรรดิมารมาโผล่ที่เบื้องหลังกะทันหันได้อย่างไร และใช้พลังแกร่งกล้าอันใดผ่าร่างของมัน.....

ร่างของเหยียนเทียนหยุนร่วงตกสู่พื้น เหยียนซีหมิงพอไร้คนปกป้อง ก็ถูกจักรพรรดิมารคว้าลำคอกลางอากาศ คู่ดวงตาประดุจคมน้ำแข็งจับจ้องอยู่ที่เหยียนซีหมิง ผ้าคลุมหน้าถูกกระชากออก เผยใบหน้าหล่อเหลาไม่ธรรมดา ทว่ามันซีดเผือดไร้สีเลือด สายตาสั่นไหวบนใบหน้าบิดเบี้ยว แตกตื่นอย่างไม่อาจทำใจเชื่อ

เหยียนเทียนหยุนแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือ หนึ่งในคนรุ่นปู่ กลับตกตายอย่างง่ายดายแม้มีพลังเทวะ ในชั่วขณะแห่งความตาย มันยังไม่ทันโจมตีตอบโต้ ก็ถูกจักรพรรดิมารสังหารด้วยกระบี่เดียว

ไม่ทราบว่าเมื่อใดที่ร่างของเหยียนซีหมิงถูกน้ำแข็งเกาะรอบ น้ำแข็งที่ดูคล้ายเปราะบางอย่างยิ่งนี้กลับทำให้มันไม่อาจขยับร่าง พลังเพลิงวิญญาณโคจรอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะเคลื่อนพลังอย่างไรก็ไม่อาจทำอันใดต่อน้ำแข็งนี้ได้ ความเย็นเสียดแทงร่างราวกับคมมีด เย็นยะเยือกเข้าสู่ใจจนแทบจะกลายเป็นน้ำแข็ง

ในอดีตเมื่อใช้ท่า ‘แยกฟ้าผ่าปฐพี’ พลังของเขาจะถูกสูบกลืนไปประมาณกึ่งหนึ่ง แต่ยามนี้เย่หวูเฉินแทบไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าใดๆ พลังหวูเฉินขั้นที่ห้าอันลึกลับ ผสานกับพลังวารีอันไม่มีวันหมด ทำให้เย่หวูเฉินกลายเป็นอีกคน จากคนก่อนหน้าที่ไปยังอาณาจักรชางหลาน เขาได้รับพลังแกร่งกล้าของมุกเซียนโกลาหล เพียงเฉพาะมุกจิตวารี ก็ทำให้พลังของเขาพุ่งทะยานสู่ระดับที่น่าตกใจ ไม่แปลกใจแล้วที่ปีศาจแห่งทวีปปีศาจจะต้องการมัน กระทั่งไม่ลังเลเรื่องถูกทวีปเทวะโจมตี และส่งปีศาจรุกรานทวีปเทียนเฉินเพื่อตามหามุกเซียนโกลาหล

บรรลุพลังเทวะยังไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวสุด สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือพลังไม่มีวันหมด พลังวารีที่ไม่มีวันเหือดแห้ง ไม่ว่าจะเป็นพลังและทักษะของเวทย์วารี ตราบใดที่อยู่ในขอบเขตความสามารถ เขาย่อมใช้ออกได้ตามใจชอบ

เมื่อเหยียนเทียนหยุนร่วงลงไป เหยียนเทียนเว่ยก็ลอยร่างขึ้นมาอยู่ข้างๆจักรพรรดิมาร เขาถอนหายใจ “เจ้านาย สมแล้วที่กระบี่หนานฮวงและคันศรเป่ยตี้ยอมรับท่านให้เป็นจอมราชัน ความก้าวหน้าอันเร็วรุดของท่าน เกรงว่าแม้แต่สวรรค์ยังต้องอิจฉา ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน พลังของนายท่านในตอนนี้ เชื่อว่าไม่มีใครในทวีปเทียนเฉินคู่ควรเป็นคู่มือของท่านได้อีก”

เหยียนเทียนเว่ยเคลื่อนสายตามองไปยังร่างของเหยียนเทียนหยุนที่กลายเป็นน้ำแข็ง “สมกับเป็นศาสตราต้องห้ามที่มีอานุภาพสูงสุด เหยียนเทียนหยุนทรงพลังถึงปานนี้ ยังย่อยยับในเพียงกระบี่เดียว.... บางที ข้าเองก็คงไร้ปัญญาต่อต้านอำนาจกระบี่ต้องห้ามเล่มนี้ด้วยเช่นกัน”

การโจมตีที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง สังหารยอดฝีมือเทวะอย่างง่ายดาย ตามที่เหยียนเทียนเว่ยกล่าวไว้ ในทวีปเทียนเฉิน ยังจะมีผู้ใดคู่ควรเป็นศัตรูของจักรพรรดิมาร

คำพูดของเหยียนเทียนเว่ยย่อมไม่พ้นหูของเหยียนซีหมิง และนั่นทำให้ม่านตาของมันหดลีบ ถูกมือบีบลำคอเอาไว้แน่นราวกับคีมเหล็ก ทำให้มันหายใจติดขัดและไม่อาจกล่าวคำ เหยียนเทียนเว่ยไม่กังวลว่าเหยียนซีหมิงจะได้ยินคำ เพราะชะตาของมันถูกตัดสินไว้ตั้งแต่ตอนที่มันมาถึงตามที่เย่หวูเฉินคาดการณ์ไว้

เย่หวูเฉินส่ายศีรษะ ไม่กล่าวปฏิเสธหรือรับรองคำพูดของเหยียนเทียนเว่ย สายตายังคงจับจ้องที่เหยียนซีหมิง แววตาไร้อารมณ์ยามนี้ฉายแววที่ทำให้เหยียนซีหมิงหวาดกลัวอย่างหนัก

ยกมือขึ้นจับหน้ากากเงิน จากนั้นถอดออก เผยให้เห็นใบหน้าสมบูรณ์แบบ เหยียนซีหมิงมองใบหน้านั้นด้วยดวงตาเบิกกว้าง หลังจากที่สับสนเพียงชั่วสั้นๆ ร่างกายมันก็แข็งค้าง นี่คือคนที่มันเคยเห็นเพียงในภาพวาด ทว่าหน้าตาและนามของคนผู้นี้มันล้วนจำได้ขึ้นใจ นี่คือคนที่มันเกลียดชังสูงสุดในชีวิต ปรารถนาให้ตนได้สับมันเป็นพันชิ้น

“เหยียนซีหมิง อาการของเจ้าบอกว่า เจ้ารู้ว่าข้าคือใคร.... เยี่ยมมาก งั้นเจ้าก็คงรู้ชะตากรรมของตัวเองต่อจากนี้แล้ว ถูกต้อง สามปีก่อน เด็กในท้องของจื่อเมิ่งเป็นลูกของข้าเอง.... และเพราะเจ้า จื่อเมิ่งจึงมีสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายอย่างในตอนนี้ ลูกสาวข้าแม้จะถือกำเนิดออกมา แต่เพราะเจ้าทำให้นางสูญเสียสัมผัสทั้งสี่และสุ้มเสียง.... เจ้าคิดว่าข้าควรตอบแทนเจ้าเช่นไรดี?”

มือที่กำลำคอบีบแน่นขึ้นเรื่อยๆ ในมือเริ่มได้ยินเสียงลั่นของกระดูก ดวงตาของเหยียนซีหมิงเริ่มถลนโปดปูน ปากอ้ากว้างราวกับจะตกตายในตอนนี้

“วางใจได้ ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตายในทันที หากเจ้าตายไปง่ายๆ แล้วความทุกข์ทรมานที่จื่อเมิ่งและลูกสาวข้าได้รับในตลอดสองปี จะถูกชดเชยอย่างยุติธรรมได้อย่างไร.... ข้าไม่เพียงจะให้เจ้าตายในภายหลัง แต่ยังจะทำให้ชื่อเสียงของเจ้าก่อนถึงคราวตาย.... ได้กระฉ่อนรับรู้ไปทั่วโลก!!”

ใบหน้าสมบูรณ์แบบเผยรอยยิ้มร้ายกาจของปีศาจ เป็นรอยยิ้มที่น่าหวาดกลัว เหยียนเทียนเว่ยยังอดรู้สึกสยดสยองไม่ได้ เพราะฝ่ามือของเหยียนซีหมิงเมื่อสามปีก่อน ทำให้มันกลายเป็นคนที่เย่หวูเฉินเกลียดชังมากที่สุด และมันจะได้ตกตายด้วยวิธีการที่โหดเหี้ยมมากที่สุด

แขนถูกเหวี่ยงออก ร่างของเหยียนซีหมิงปลิวกระแทกพื้นดุจมัดฟางข้าว หลังจากสั่นกระตุกชั่วสั้นๆ มันก็ไร้ความเคลื่อนไหวอีก สำนักจักรพรรดิเหนือลอบจู่โจมตระกูลเย่ สี่บุคคลยังไม่ทันลงมือแม้สักครั้ง สามคนที่มาก็ตกตายลง เหลือเพียงอีกหนึ่งคนที่ยังตายไม่ได้

“ฮ่าห์!! พวกเรามาแล้ว ปล่อยให้พวกเราจัดการเอง!”

ฉู่จิงเทียนตะโกนอย่างตื่นเต้น และเมื่อสิ้นเสียงลง หนึ่งร่างใหญ่โตและหนึ่งร่างผอมบางก็ปรากฎขึ้นบนหลังคา จากนั้นกระโดดลงมาพร้อมกัน ฉู่จิงเทียนถึงพื้นพร้อมกระบี่ชางหมิงที่ลอยอยู่ตรงหน้าไม่กี่เมตร แสงน้ำเงินครามส่งประกายคมกล้าที่สัมผัสได้

ทว่าบริเวณโดยรอบ นอกจากเย่หวูเฉินและเหยียนเทียนเว่ยที่ลอยลงจากอากาศช้าๆ ก็ไม่มีผู้ใดยืนอยู่อีก ที่พื้นมีร่างน้ำแข็งแตกกระจายอยู่สองร่าง มีอีกหนึ่งร่างน้ำแข็งที่ยังคงสมบูรณ์นอนนิ่งไม่เคลื่อนไหว ฉู่จิงเทียนที่กำลังเลือดลมเดือดพล่านต้องยืนตะลึงโง่งม “นี่มันไม่ถูกต้อง.... จบแล้วอย่างนั้นเหรอ? รวดเร็วเกินไปแล้ว”

ตั้งแต่เหยียนเทียนเว่ยออกจากตระกูลเย่ ฉู่จิงเทียนและเล่งหยาก็วิ่งห้อมาที่นี่ เวลาพึ่งผ่านไปเพียงไม่ถึงสองนาที.... หรือว่าสำนักจักรพรรดิเหนือจะมีแต่กลุ่มคนอ่อนด้อยเหมือนกุ้งหอย?



<<<PREV    .    NEXT>>>