วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 408

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 408 โน้มนำแกมบังคับ

ถ้อยคำประดุจสายฟ้าดังก้องในหูของหลงเจิ้งหยาง ร่างกายสะดุ้งเฮือกราวกับถูกไฟช็อต ดวงตาจับจ้องที่เย่หวูเฉินอย่างงตกตะลึง เย่หวูเฉินยังคงยิ้มบางเต็มใบหน้า แววตาสงบนิ่งดุจผิวน้ำไร้ระลอก ห้าคำที่เพิ่งเอ่ยออกมาย่อมไม่มีผู้ใดทนสงบนิ่งได้

เย่หวูเฉินยืนขึ้นช้าๆระหว่างที่หลงเจิ้งหยาตะลึงงัน มือประสานไว้ข้างหลังแล้วเดินเนิบนาบไปที่กลางโถง “เพราะข้าคือจักรพรรดิมาร ดังนั้นข้าจึงบรรลุในสิ่งที่ท่านไม่อาจจินตนาการถึง ข้าจะทำตามคำรับรองที่ให้ไว้กับท่าน ปกป้องฮวงเอ๋อร์ให้ปลอดภัย ช่วยเหลือนางให้กุมอำนาจในอาณาจักรเทียนหลง กระทั่งรวมถึงโลกใบนี้!”

บนหน้าผากของหลงเจิ้งหยาง ไม่ทราบว่าเหงื่อหยดเป็นสายตั้งแต่เมื่อใด มันไหลออกมาอย่างเงียบงันและเย็นเชียบดุจน้ำแข็ง ในใจกลายเป็นสั่นสะท้านทันใด เขาพบว่าตนเองไร้อาการขัดขืนและเชื่อถ้อยคำเหนือจินตนาการนี้ เย่หวูเฉินไม่เพียงไม่เหมือนคนตาบอดอย่างที่กล่าวกัน แต่สภาพของเขายามนี้ยังไร้อาการอ่อนแอแม้แต่น้อย

ราวกับฤดูลมหนาว บรรยากาศเย็นเยือกราวน้ำแข็ง หลังจากเงียบงันเป็นเวลานาน หลงเจิ้งหยางก็เปิดปากกล่าว “ตราบใดที่เจ้าช่วยข้าให้ได้ครองฉุ่ยเมิ่งฉาน ข้าจะทำทุกอย่างตามที่เจ้าต้องการ”

พอได้ยินคำนี้ เย่หวูเฉินที่หันหลังให้ก็เผยสีหน้าผิดหวัง เขาหันกายกลับมาและกล่าวราบเรียบ “พี่ใหญ่หลง ถ้อยคำที่ท่านกล่าวมีอยู่สองอย่างที่ไม่ถูกต้อง ประการแรกเมื่อคนเราต้องการสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นบุคคล ความร่ำรวย หรือความชอบธรรม ล้วนแต่ต้องใช้พลังตนเองดิ้นรนไขว่คว้า ดังนั้นเรื่องที่ท่านขอให้ข้าช่วยเพื่อครองตัวฉุ่ยเมิ่งฉาน ข้าจึงไม่อาจกระทำ ประการที่สอง ข้าเล่าความปรารถนามากมายต่อท่านในวันนี้ เนื่องจากท่านเคยมีบุญคุณต่อข้าและเสวี่ยเอ๋อร์ และข้าจะทำตามที่ข้าต้องการ ไม่ว่าท่านจะปรารถนาหรือไม่ก็ตาม เพราะในวันนี้ ไม่ว่าท่านจะตกลงรับคำหรือไม่ ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงความตั้งใจของข้าได้”

ใบหน้าของหลงเจิ้งหยางค่อยๆหม่นหมองลง บางครั้งแววตาก็ซับซ้อน เย่หวูเฉินกล่าวช้าๆ “ข้าควรจะบอกแก่ท่าน ฉุ่ยเมิ่งฉาน....เป็นสตรีของข้า! นับตั้งแต่ก่อนที่พระบิดาของท่านจะสวรรคตแล้ว”

หยงเจิ้งหยาง “!!”

“เพราะว่าท่านไม่กล้า แต่ข้ากล้า ดังนั้นข้าจึงทำสำเร็จ เอาล่ะ ท่านปรารถนาจะช่วงชิงฉุ่ยเมิ่งฉานไปจากมือข้าหรือไม่?” เย่หวูเฉินกล่าวอย่างสงบ

ในสมองกลายเป็นว่างเปล่า ดุจวิญญาณมึนเมาในฉับพลัน เบื้องลึกรู้สึกไร้เรี่ยวแรงและโศกเศร้าจนไม่อาจบรรยาย

“พี่ใหญ่หลง ข้ากล่าวออกไปแล้ว ท่านเกลียดข้าหรือไม่?” เย่หวูเฉินนั่งลงตรงหน้า ถอนหายใจขณะกล่าว

หลงเจิ้งหยางเงยศีรษะขึ้นมองเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยความหดหู่ “เกลียด? เหตุใดข้าต้องเกลียด? แม้ข้าจะเป็นรัชทายาทแห่งอาณาจักร แต่ด้วยพลังสำนักมารของเจ้า หากคิดล้มล้างอาณาจักรเทียนหลงย่อมง่ายดุจพลิกฝ่ามือ ในสายตาของจักรพรรดิมาร รัชทายาทอย่างข้าจะต่างอะไรจากคนธรรมดา? เจ้าหวังบรรลุสิ่งใดไม่จำเป็นต้องบอกข้าด้วยซ้ำ.... แต่เจ้าไม่เพียงบอกความต้องการอย่างตรงไปตรงมา หากยังกลับเผยสถานะตัวเองโดยไม่มีลังเล เพราะเจ้ายังนับถือข้าว่าเป็นสหาย.... คำที่เจ้าเรียกหาว่า ‘พี่ใหญ่หลง’ ย่อมมิใช่เสแสร้ง.... ดังนั้นเหตุใดข้าจะต้องเกลียดชัง มีสิ่งใดที่ข้าคู่ควรให้เกลียดเจ้า”

เย่หวูเฉินยิ้มพลางส่ายศีรษะ “พี่ใหญ่หลง ท่านยกย่องข้าเกินไปแล้ว ในอดีตหากไม่ใช่เพราะท่านและท่านปู่หลง ตัวข้าเย่หวูเฉินรวมทั้งเสวี่ยเอ๋อร์บางทีอาจไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว พระคุณที่ช่วยชีวิตไว้ ยากยิ่งที่จะทดแทนได้หมด ไหนเลยข้าจะลืมบุญคุณครั้งนั้น”

หยงเจิ้งหยางพยายามฝืนยิ้ม “ในอดีต ปู่ของข้านับว่ามีสายตาดุจเทพ คำกล่าวของท่านไม่ได้เกินจริงเลย.... เจ้ากล่าวถึงเพียงนี้แล้ว ข้าก็ไร้สิ่งใดให้ห่วงกังวลอีก.... ฮวงเอ๋อร์ นางโดดเดี่ยวมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้ว่านางจะดื้อรั้น แต่หัวใจนางน่าสงสารมาก นางได้เจอกับเจ้านับเป็นโชคอันสูงสุด ข้าไม่จำเป็นต้องพะวงสิ่งใดอีก.... เมืองชิงโจว ข้าเคยไปที่นั่นมาก่อน สถานที่แห่งนั้นนับว่าเป็นแดนสวรรค์อย่างแท้จริง มันคงจะเหมาะกับคนอย่างข้าแล้ว”

“....พี่ใหญ่หลง ไม่ว่าท่านจะไปที่ใด ควรให้หัวใจตนเป็นคนนำพา ไม่จำเป็นต้องฝืนบังคับตัวเอง หากท่านปรารถนาจะไปที่นั่นจริงๆแล้ว ท่านสามารถใช้ที่นั่นเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตใหม่ ลืมเสียในสิ่งที่ท่านเคยเป็น ลืมว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นรัชทายาท ลืมว่าท่านรักฉุ่ยเมิ่งฉาน มองความเจ็บปวดของตนดุจเห็นของคนอื่น ด้วยวิธีนี้ ความทุกข์ที่ท่านต้องทนมาตลอดจะค่อยๆบรรเทาลง.... เมืองชิงโจวมีผู้ฝึกยุทธอยู่เพียงน้อยนิด โดยมากเป็นบัณฑิตและนักกวี บุรุษผู้มีพรสวรรค์และสตรีงดงามมีอยู่นับไม่ถ้วน ด้วยพรสวรรค์ของพี่ใหญ่หลง ท่านย่อมกลายเป็นมังกรในหมู่มนุษย์ เมื่อถึงเวลานั้นสตรีมากมายย่อมหลงใหลท่าน จะต้องมีสักคนที่พี่ใหญ่หลงชมชอบ หวูเฉินเชื่อว่าอาศัยเวลาเพียงไม่นาน พี่ใหญ่หลงจะค่อยๆลืมฉุ่ยเมิ่งฉานได้ช้าๆ แม้ว่าท่านอาจไม่ลืมภาพสวยงามบางอย่างในความทรงจำ หากแต่วิธีนี้อาจมีความสุขกว่าการฝืนบังคับผู้อื่นให้อยู่ข้างกายตัวเองหลายเท่า”

คิ้วของหลงเจิ้งหยางค่อยๆคลายออก มุมปากเผยรอยยิ้มบางแห่งความสุข “น้องเย่ ด้วยวิสัยทัศน์และทางเลือกของเจ้า ไหนเลยจะมีผิดพลาด.... พอได้ยินคำของเจ้าแล้ว ข้าชักเริ่มไม่อาจอดใจรอไปยังสถานที่แห่งนั้น เจ้าพูดถูก ชีวิตคนเราถูกลิขิตให้ไม่มีวันสมบูรณ์แบบ บางสิ่งแม้ว่าจะสวยงาม แต่ก็มีเพียงให้มองและเก็บไว้ในความทรงจำ ข้าไม่ต้องการพลังอำนาจ ราชวังไม่ใช่สถานที่เหมาะสมสำหรับข้า หลังจากที่ข้าไปยังเมืองชิงโจวแล้ว บางทีข้าอาจไม่อยากกลับมาอีกเลย”

พวกเขายกจอกแก้วขึ้นจรดปาก ต่างฝ่ายต่างมีรอยยิ้มให้แก่กัน

หลังจากนั้นหลงเจิ้งหยางก็ออกไป เย่หวูเฉินมองแผ่นหลังของเขาจนหายลับก่อนที่จะถอนสายตากลับ แม้ว่าเขาแนะนำให้หลงเจิ้งหยางลืมฉุ่ยเมิ่งฉาน แต่สำหรับตัวเขาเอง เขาไม่เคยยอมล้มเลิกในสิ่งที่ตนเองต้องการและปล่อยให้กลายเป็นความทรงจำที่ไม่อาจแตะต้อง เขาไม่กังวลว่าหลงเจิ้งหยางจะแพร่งพรายเรื่องที่เขาเป็นจักรพรรดิมาร และแม้หลงเจิ้งหยางไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่เขารู้ว่าหลงเจิ้งหยางรับปากทุกสิ่งแล้ว ทั้งยังจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อช่วยหลงฮวงเอ๋อร์ให้ขึ้นครองบัลลังก์

เย่หวูเฉินยกมือขึ้นและหมุนกาย ชุดและหน้ากากเงินปรากฎขึ้นบนร่าง เขายื่นมือขวาและเรียกคำเบาๆในใจ สาวน้อยขนาดพกพาออกมาพร้อมกับแสงขาว

อย่างไรก็ตาม ไม่ทราบว่าเข้าใจผิดไปหรือไม่ แต่เซียงเซียงที่อยู่บนฝ่ามือคล้ายกับตัวโตขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ภายใต้รูปลักษณ์ที่แทบไม่เปลี่ยนไปจากเดิม พลังของนางเพิ่มขึ้นขอบเขตใหญ่เช่นเดียวกับเย่หวูเฉิน พลังมิติของนางเพิ่มขึ้นเพียงใด เย่หวูเฉินล้วนทราบกระจ่างแจ้งแก่ใจตัวเอง

“มาเถอะ ไปเยี่ยมสหายเก่ากัน” เย่หวูเฉินเผยรอยยิ้มแปลกแปร่ง

อาณาจักรต้าฟง , เมืองเทียนฟง , ภายในห้องหนังสือของราชวัง

กลุ่มแสงขาวสว่างวาบในมุมหางตาของฟงเลี่ย ทำให้มันที่กำลังคิ้วมุ่นต้องสีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน แทบจะดีดร่างลุกออกจากเก้าอี้ราวกับถูกไฟดูด มันเห็นแสงขาวมาหลายครั้งจนกระทั่งอ่อนไหวต่อมัน เพราะนี่คือสิ่งแสดงว่าคนผู้หนึ่งได้มาถึงแล้ว และเป็นบุคคลผู้เดียวที่ทำให้มันมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้

หลังจากหายไปนานหนึ่งเดือน ปีศาจจักรพรรดิมารก็ปรากฎตัวขึ้นที่เบื้องหน้าอีกครั้ง แม้ว่าฟงเลี่ยยังคงรักษาท่าทีสงบ แต่เสียงหัวใจเต้นก็ยังดังฟังชัด นี่คือคนที่ทำให้มันหวาดกลัว นำฝันร้ายมาสู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้มันกลายเป็นคนไร้พลัง กระทั่งยอมคุกเข่าเพื่ออ้อนวอนขอความเมตตา

“จ....จักรพรรดิมาร ท่านมาที่นี่มีเรื่องอันใด....” ฟงเลี่ยเอ่ยเสียงสั่นอย่างไม่อาจควบคุม

คู่สายตาตวัดมองร่างฟงเลี่ยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า นำพาจักรพรรดิต้าฟงผู้ห้าวหาญให้แทบไม่อาจควบคุมความกลัวและก้าวถอยหลัง จักรพรรดิมารแค่นเสียงกล่าว “ฟงเลี่ย เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล เพราะจักรพรรดิผู้นี้มาเพื่อบอกข่าวดีกับเจ้า ข้าจะให้เจ้าได้ทำในสิ่งที่เจ้าเฝ้าฝันมานาน หวังว่าเจ้ายังคงไม่ลืมถ้อยคำที่กล่าวไว้กับจักรพรรดิผู้นี้”

“เรื่องอะไร?” ถึงแม้จักรพรรดิมารจะกล่าวแบบนี้ แต่หัวใจของฟงเลี่ยยังคงไม่อาจสงบ เงาทะมึนที่ครอบคลุมหัวใจ ชั่วชีวิตนี้ย่อมไม่มีวันลบล้างออก

“หลงหยินจักรพรรดิแห่งเทียนหลงตกตายแล้ว” จักรพรรดิมารกล่าวราบเรียบ

ม่านตาของฟงเลี่ยหดวูบ “หลงหยินตายแล้ว?”

เมืองเทียนหลงและเมืองเทียนฟงอยู่ห่างไกลกันมาก ข่าวเรื่องหลงหยินถูกหลินขวงลอบสังหารเมื่อคืนนี้จึงยังส่งมาไม่ถึงอาณาจักรต้าฟง พอได้ยินข่าวกะทันหัน ฟงเลี่ยจึงไม่อาจปิดบังความตกใจ

“มันตายได้เช่นไร เชื่อว่าอีกไม่นานเจ้าก็จะได้รู้ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ” จักรพรรดิมารหรี่ตาลง กล่าวเสียงต่ำล้ำลึก “หลงหยินตกตาย อาณาจักรเทียนหลงไร้ผู้นำเป็นการชั่วคราว บางทีอาจมีการช่วงชิงบัลลังก์ กล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย นับเป็นโอกาสที่หลังจากนี้คงหาได้ยาก.... สิ่งที่เราจักรพรรดิอยากให้เจ้าไปทำ ก็คือเคลื่อนทัพไปทางทิศตะวันออกด้วยความเร็วสูงสุด บุกเข้าสู่อาณาจักรเทียนหลง รวบอาณาจักรเทียนหลงเข้ากับอาณาจักรต้าฟงของเจ้า ด้วยแสนยานุภาพของทัพอาณาจักรต้าฟง เกรงว่าคงใช้เวลาไม่นานในการบรรลุผล เจ้าปรารถนาที่จะทำเรื่องนี้หรือไม่!?”

เหมือนดังเช่นจักรพรรดิมารกล่าว เรื่องนี้คือความฝันแท้จริงของฟงเลี่ย หากหลงหยินจากโลกนี้ไปแล้วจริงๆ ย่อมนับเป็นโอกาสทองที่สวรรค์ประทานให้ ฟงเลี่ยระงับหัวใจและถามอย่างระวัง “ทำ....ทำไมท่านถึงให้ข้าโจมตีอาณาจักรเทียนหลง?”

“เฮอะ! เป้าหมายของจักรพรรดิผู้นี้เรียบง่ายอย่างมาก” จักรพรรดิมารแสยะยิ้ม “เจ้า ฟงเลี่ยคือหุ่นเชิดชั้นดี จักรพรรดิผู้นี้จะเฝ้ารอเจ้า ทั้งยังจะช่วยเจ้าครอบงำโลกนี้ทีละน้อย พิชิตเทียนหลง , คุยชุย และ ชางหลาน ทั้งสามอาณาจักร ทำให้เจ้ากลายเป็นจักรพรรดิหนึ่งเดียวในทวีปเทียนเฉิน.... แต่ราชันอย่างเจ้าเป็นได้เพียงหุ่นเชิดของเราจักรพรรดิตลอดไป เจ้าเข้าใจความหมายของจักรพรรดิผู้นี้หรือไม่? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า....”

ท่ามกลางเสียงหัวเราะบ้าคลั่ง กลุ่มแสงขาวสว่างวาบคลุมร่างของจักรพรรดิมาร นำเขาให้หายไปจากสายตาของฟงเลี่ย

ฟงเลี่ยทรุดร่างยวบนั่งลงบนเก้าอี้ เหงื่อเย็นไหลชุ่มตัว มันปาดเหงื่อเย็นออกจากหน้าผากด้วยมือสั่นเทา ความหมายที่จักรพรรดิมารกล่าวนั้นชัดเจนยิ่ง นั่นคืออาศัยมือมันครอบงำโลกนี้ ใช้พลังทัพของอาณาจักรต้าฟง โดยที่จักรพรรดิมารไม่ต้องออกแรงใดๆ ไม่เปลืองคนของตัวเองแม้แต่คนเดียว

แต่มีหรือที่ฟงเลี่ยจะปฏิเสธ? แน่นอนว่าย่อมไม่ และต่อให้มันปฏิเสธได้ มันก็ไม่มีวันปฏิเสธ

เพราะการได้เป็นจักรพรรดิหนึ่งเดียวคือความปรารถนาสูงสุดในชีวิตมัน ต่อให้มันเป็นได้เพียงหุ่นเชิดของจักรพรรดิมารไปตลอดชีวิต มันก็ไม่มีวันล้มเลิกความปรารถนา ยิ่งกว่านั้น จักรพรรดิมารยังกล่าวอย่างชัดเจนว่าจะช่วยเหลือมัน นี่ทำให้มันไม่อาจอดห้ามความตื่นเต้น ด้วยพลังของสำนักมารหากคิดช่วยเหลือมันจริงๆแล้ว ย่อมเป็นพลังสนับสนุนอันยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย

จักรพรรดิมารโน้มนำหัวใจมันให้คล้อยตามอย่างสุดขีด ถึงแม้ว่าจะแกมบังคับ แต่มันฟงเลี่ยก็ไม่มีจิตคิดต่อต้าน คลื่มลมและฝนฟ้ากำลังจะเคลื่อนในไม่ช้านี้

จัตุรัสหน้าท้องพระโรงเทียนหลง คราคร่ำไปด้วยเหล่าคุณนาง , ขันที , นางกำนัล และอื่นๆ ทั้งหมดต่างถือผ้าเช็ดน้ำตาอยู่ในชุดไว้ทุกข์ เย่หนู่ , เย่เว่ย และ ฮั่วเจิ้นเทียน เป็นต้นต่างอยู่ในแถว ที่เบื้องหน้าเป็นเหล่าองค์ชายและองค์หญิง ในหูมีเสียงร้องไห้ดังระงมชวนสังเวท เย่หวูเฉินลอยร่างอยู่กลางอากาศเบื้องบน สายตามองยังหลงฮวงเอ๋อร์ที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น เป็นเวลาเนิ่นนานก่อนจะหันกายและกล่าวอย่างเงียบงัน “เลื่อนเวลาออกไปก่อน อย่างน้อยรอจนกว่านางจะสงบใจลงได้”

ระหว่างกล่าวคำ สายตาก็กลายเป็นเย็นเชียบ เขาขบฟันกล่าว “ตอนนี้จัดการกับเจ้าตัวบัดซบนั่นก่อน!”

.....................

.....................



<<<PREV    .    NEXT>>>