วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 411

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 411 เคล็ดวารีสวรรค์ร่วงหล่น

“จักรพรรดิมาร!!” เหยียนเทียนอ้าวสายตาแดงก่ำดุจโลหิต ส่งเสียงขู่ฟ่อดุจงูพิษ “สำนักจักรพรรดิเหนือของข้าไม่เคยมีความแค้นเคืองกับเจ้า ต่อให้มีเรื่องบาดหมางกัน ก็เปิดเผยตรงไปตรงมา เหตุใดเจ้าถึงลอบทำการอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้.... ไม่กลัวถูกสาปแช่งหรืออย่างไร!!”

“สาปแช่ง? หากพูดถึงเรื่องสาปแช่ง ผู้ที่สมควรถูกสาปแช่งคงเป็นพวกเจ้าเสียมากกว่า” จักรพรรดิมารแค่นเสียงกล่าว อุณหภูมิโดยรอบคล้ายเย็นเยือกลงเรื่อยๆตามน้ำเสียง “เจ้าพูดถูก พวกเราบาดหมางต่อกัน และบาดหมางอย่างเปิดเผย แต่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่มีความแค้นเคืองต่อพวกเจ้า.... มันทำให้จักรพรรดิผู้นี้เสียอารมณ์ เดิมทีจักรพรรดิผู้นี้คิดสังหารมันด้วยมือตนเอง แต่สุดท้ายข้าเกิดความเมตตา จึงให้มันตกตายด้วยน้ำมือบิดาตนเอง เชื่อว่ามันคงซาบซึ้งน้ำใจของเราจักรพรรดิอยู่ในปรโลก”

เหยียนซีหมิงตกตาย เย่หวูเฉินกลับไม่รู้สึกยินดีเท่าใดนัก เพราะต่อให้มันตายซ้ำๆอีกหลายครั้ง ความเจ็บปวดของซือเฉินในเวลาสองปีก็ไม่อาจถอนคืนได้ ไม่อาจทำให้จื่อเมิ่งตื่นขึ้นมา โลกที่ไร้เสียง , ไร้สีสัน , ไร้รสชาติและไร้กลิ่นเป็นโลกแบบใด เขานึกถึงแต่ละครั้งหัวใจล้วนเจ็บปวดแทบไม่อาจหายใจ เมื่อใดก็ตามที่คิดถึงเรื่องนี้ ความเกลียดชังต่อเหยียนซีหมิงจะพุ่งขึ้นในระดับสูงสุด ต่อให้ตัดมันเป็นชิ้นๆก็ยังไม่อาจระบายความเกลียดชังในใจได้

เหยียนต้วนหุนเงยศีรษะขึ้นช้าๆ ดวงตาแดงก่ำอันเกลียดชังถูกย้อมด้วยสีเลือด มันรีดเค้นน้ำเสียงชิงชังลอดไรฟัน “....ข้าเหยียนต้วนหุน กับเจ้า.... จะไม่ขออยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน!!”

อากาศ , ปฐพี , ราวกับเกิดแผ่นดินไหว ยิ่งมายิ่งรุนแรงขึ้น แรงกดดันหนักหน่วงท่วมทับปฐพี สายลมนิ่งงันหยุดเคลื่อนไหว ฝุ่นผงที่พื้นดินถูกกดทับด้วยพลังไร้ตัวตน ไร้การฟุ้งกระจายแม้แต่น้อย นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเหยียนต้วนหุนที่ปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา

ฮ่าห์!!

แรงกดดันที่เข้มข้นแทบไม่ต่างจากเดิมท่วมทับปฐพีอีกระลอก ภายใต้พลังอันหนักหน่วง ผู้คนที่อยู่ห่างออกไปนับร้อยเมตรรู้สึกราวกับถูกแผ่นเหล็กหนากดทับจนแทบไม่อาจหายใจ บางคนกระทั่งทรุดนอนลงบนพื้น เหยียนเทียนอ้าวไม่เก็บงำสิ่งใดเช่นเดียวกัน ปลดปล่อยพลังเพลิงวิญญาณสูงสุดด้วยโทสะสุดขั้ว สายตาและไอปราณล็อคตรึงที่ร่างจักรพรรดิมาร พวกมันได้ยินชื่อเสียงอันโหดเหี้ยมของจักรพรรดิมารมามาก ทว่าเวลานี้พวกมันตระหนักได้ว่าอะไรคือความโหดเหี้ยมที่แท้จริง วิธีตายของเหยียนซีหมิงเกินกว่าที่เหยียนต้วนหุนจะรับได้ มันแทบอยากจะสับร่างจักรพรรดิมารให้เป็นพันๆชิ้น

สองยอดฝีมือเทวะ หนึ่งในสองคนนี้ไม่ว่าใครล้วนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของทวีปเทียนเฉิน ตัวตนที่อาณาจักรไม่กล้ากระตุ้นยั่ว จักรพรรดิมารกลับยกมือขึ้นช้าๆ ยิ้มแฉ่งอย่างเหยียดหยันบาดใจ “พวกเจ้าสองคนช่วยรออีกประเดี๋ยว บางทีอาจมียอดฝีมือทางฝั่งเจ้ามาช่วยเหลือ ลำพังแค่พวกเจ้าสองคน จักรพรรดิผู้นี้คร้านที่จะลงมือ”

เป็นอีกครั้งที่โอหังถึงขีดสุด ยั่วยุอย่างร้ายกาจ ทว่าเวลานี้ ที่สุดเส้นขอบฟ้ามีเสียงชราดังขึ้น “ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ ช่างโอหังเสียจริงๆ โอหังยิ่งกว่าชายชราผู้นี้ในอดีตเสียอีก ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่!”

เสียงนุ่มนวลและสงบแผ่ลามสู่ความรู้สึกของทุกผู้คน เมื่อได้ยินเสียงนี้ ผู้คนย่อมนึกถึงตัวตนเหนือล้ำดุจเซียนอมตะ ดุจบ่อน้ำโบราณอันไร้ระลอก เหนี่ยวนำให้นึกถึงภาพชายชราไร้พิษภัย จักรพรรดิมารปรายตามองเล็กน้อย สีหน้ายังคงราบเรียบ เห็นได้ชัดว่าตระหนักถึงการมาถึงของชายชราผู้นี้ สีหน้าจึงไร้ความแปลกใจใดๆ เหยียนต้วนหุนและเหยียนเทียนอ้าวที่กำลังโกรธเกรี้ยวค่อยๆหันกายมองยังทิศทางต้นเสียง ท่ามกลางโทสะ ปรากฎทั้งสีหน้าแปลกใจและผ่อนคลายใจ

ซู่ว!

ราวกับมีสายลมเย็นพัดเข้ามากะทันหัน ในสายตาของผู้คนที่อยู่ห่างออกไปร้อยเมตร พวกเขารู้สึกเพียงมีชายชราปรากฎขึ้นตรงหน้าฉับพลัน คนผู้นี้ลอยร่างกลางอากาศอยู่ระหว่างเหยียนต้วนหุนและเหยียนเทียนอ้าว อายุราว 70 ปี สวมใส่ในชุดสีเทา ผมหงอกและเคราขาวไม่ได้ถูกโกนมาเป็นเวลานาน มันจึงเลื้อยยาวลงไปจนถึงเอว

“ 26 ปีก่อน ประมุขสำนักจักรพรรดิเหนือเหยียนเทียนสงถูกเรียกว่า ‘อัจฉริยะ’ และ ‘คนบ้า’ ทั้งยังได้ชื่อว่าโอหังอย่างยิ่ง เนื่องจาก 26 ปีก่อนมันประลองกับประมุขสำนักจักรพรรดิใต้ฉุ่ยม่านชางแล้วพ่ายแพ้แค่กระบวนท่าเดียว มันยอมรับไม่ได้ จึงยกตำแหน่งประมุขสำนักให้บุตรชายคนโตเหยียนต้วนหุน จากนั้นปิดตนเป็นเวลาสามปี สามปีให้หลังเมื่อทะลวงด่านได้จึงออกมา แต่กลับพบว่าฉุ่ยม่านชางตายไปแล้ว มันเสียใจอย่างสุดชีวิต ภายหลังต่อมาได้ต่อสู้กับสตรีเทพพิโรธและพบว่ายากที่จะเป็นคู่มือ ดังนั้นจึงปิดตัวทรมานตนเพื่อแสวงหาการบรรลุอีกครั้ง ห้าปีผ่านไปจึงทะลวงสู่ขอบเขตเทวะชั้นสูง และนับจากนั้นก็ปิดตนเรื่อยมา” จักรพรรดิมารกล่าวช้าๆและยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะและคนบ้า สิ่งสำคัญสูงสุดในชีวิตคือการฝึกยุทธ การกระทำของเจ้าคู่ควรกับคำว่า ‘บ้า’ โดยแท้จริง อย่างไรก็ตาม การที่เจ้ามาที่นี่ด้วยตัวเอง นับว่าเหนือความคาดหมายของข้า”

เหยียนเทียนสงเป็นอัจฉริยะและคนบ้าที่แท้จริง ดังนั้น ชีวิตของมันจึงจืดชืดอย่างยิ่ง เอาแต่แสวงหาการบรรลุพลังที่สูงยิ่งขึ้นไป ไม่เคยพอใจในพลังที่ไขว่คว้ามาได้ พอได้ฟังจักรพรรดิมารเล่าถึงชีวิตจืดชืดของมันจึงได้แต่ยิ้มบาง “หากไม่ใช่ปลา แล้วจะรู้จักความสุขของปลาได้อย่างไร ชายชราผู้นี้ได้ยินว่าหลานชายถูกจับตัว ไหนเลยจะนิ่งดูดายได้”

“ฮี่ ฮี่ ดูท่าเจ้าจะมาช้าไปหน่อย” จักรพรรดิมารหรี่ตาลง ยิ้มกล่าวด้วยเสียงต่ำ

“ท่านพ่อ.... หมิงเอ๋อร์ เขา.... ตายแล้ว” เหยียนต้วนหุนกำหมัดทั้งสองข้างไว้แน่น น้ำเสียงทุ้มต่ำสั่นสะท้านขณะกล่าว

เหยียนเทียนสงถอนลมหายใจเฮือกยาว และกล่าวช้าๆ “พลังของเจ้าแผ่กลิ่นอายเกลียดชังลึกล้ำ ข้าอยู่ห่างออกไปหลายลี้ก็พอเดาออกว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับหมิงเอ๋อร์” ชายชราเคลื่อนสายตามองไปที่จักรพรรดิมาร แววตาสงบนิ่งแทบจะมองทะลุร่างกายและจิตใจด้วยจิตสังหารเย็นเยียบ “จักรพรรดิมาร ทุกสิ่งล้วนแต่มีขอบเขต สำนักจักรพรรดิเหนือของข้าและสำนักจักรพรรดิใต้ต่อสู้กันมาไม่รู้กี่ปี แต่ไม่เคยล้ำเส้นสุดท้ายของอีกฝ่าย เจ้ายังถือว่าเด็กอยู่นัก”

จักรพรรดิมารยิ้มมุมปากเล็กน้อย จากนั้นชี้นิ้วไปที่ชายชรา “เจ้าไม่เคยล้ำเส้นสุดท้ายของอีกฝ่าย ไม่ใช่เพราะเจ้าไม่คิดที่จะทำ แต่เป็นเพราะเจ้าไม่กล้า เจ้าไม่แน่ใจว่าพลังของตัวเองเพียงพอทำลายอีกฝ่ายให้ย่อยยับหรือไม่.... แต่จักรพรรดิผู้นี้แน่ใจ”

“โอหังยิ่งนัก!” เหยียนเทียนสงหัวคิ้วขมวดชิดแน่น ตะโกนคำล้ำลึก

“โอหังหรือไม่ เจ้าลองดูสภาพสำนักจักรพรรดิใต้ในยามนี้ก็จะรู้เอง”

ถ้อยคำนี้ทำให้เหยียนต้วนหุนและเทียนเทียนอ้าวที่มีโทสะท่วมในหัวใจเกิดความสั่นไหวครั้งใหญ่ ใบหน้าของเหยียนเทียนสงยังปั่นป่วนเป็นคราแรก รากฐานสำนักจักรพรรดิใต้ถูกทำลายย่อยยับเพียงชั่วข้ามคืน พวกมันยืนยันแล้วว่าทุกคนที่อยู่ที่นั่นยกเว้นฉุ่ยหยุนเทียนประมุขสำนักและฉุ่ยเสวียนฟงที่โชคดีรอดมาแบบพิการ ทั้งหมดล้วนตกตายไม่มีผู้ใดรอดชีวิต เรื่อง่นี้สร้างความตกตะลึงไปทั้งโลก สำนักจักรพรรดิเหนือไม่เพียงไม่รู้สึกยินดีแต่ยังตื่นตระหนกครั้งใหญ่ ขุมกำลังที่ทำลายสำนักจักรพรรดิใต้ลงได้ ไหนเลยพวกมันจะไม่สั่นกลัว

“เป็น.... เป็นเจ้า!?” น้ำเสียงของเหยียนเทียนสงยามนี้กลับแฝงความสั่นเครืออย่างคาดไม่ถึง เห็นได้ชัดว่าภายในใจของมันตกตะลึงเพียงใด

“ถูกต้อง เป็นจักรพรรดิผู้นี้ เหลืออีกสองคนที่ยังไม่ตาย ทำให้จักรพรรดิผู้นี้ประหลาดใจเล็กน้อย ส่วนผู้อื่นถูกฝังอยู่ใต้ดินจนหมดสิ้น” จักรพรรดิมารแค่นเสียงตอบ แม้ว่าการล่มสลายของรากฐานสำนักจักรพรรดิใต้จะไม่ใช่พลังของเขาโดยตรง แต่อย่างไรก็เป็นฝีมือวางแผนของเขา ดังนั้นจึงยังคงกล่าวได้ว่าเขาเป็นผู้ทำลาย

ไอเย็นเยียบแผ่พุ่งขึ้นในหัวใจของคนทั้งสาม แผ่ลามไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกเย็นเยือกท่วมท้นความโกรธไม่รู้กี่เท่า ในโลกนี้กล่าวได้ว่าผู้ที่เข้าใจพลังของสำนักจักรพรรดิใต้ดีที่สุดคือสำนักจักรพรรดิเหนือของพวกมัน พลังระดับที่ทำลายสำนักจักรพรรดิใต้ได้ กระทั่งพวกมันยังไม่กล้าจินตนาการถึง ฉับพลันแรงกดดันจากจักรพรรดิมารก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า สีหน้ามีความสุขใต้หน้ากากแสดงออกทางแววตา นำพาความรู้สึกหวั่นกลัวอันเข้มข้นมาสู่พวกมัน พวกมันย่อมไม่เชื่อถือเรื่องนี้ ทว่าน้ำเสียงของจักรพรรดิมารมิได้มีพิรุธแต่อย่างใด ทำให้พวกมันไม่อาจอดได้และเชื่อในจิตใต้สำนึก....

“ในเมื่อกล้าอวดดี เช่นนั้นชายชราผู้นี้ขอดูว่าเจ้าคู่ควรที่จะโอหังหรือไม่!”

เหยียนเทียนสงไม่ได้ต่อสู้กับใครเป็นเวลานานมากแล้ว เนื่องจากตลอดเวลา 20 ปี มันไม่อาจหาคู่มือที่คู่ควรได้ ทว่ายามนี้เมื่อเผชิญหน้าจักรพรรดิมาร มันลงมือโดยใช้พลังสูงสุด จิตใจที่รำงับมานับสิบๆปี กลับถูกทลายลงสิ้นเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของจักรพรรดิมาร

ฝ่ามือของเหยียนเทียนสงเหวี่ยงวาดเป็นวงแสงแดง ราวกับขุนเขามหึมาถูกเคลื่อน แม้ว่าจักรพรรดิมารแสดงอาการเหยียดหยามตั้งแต่เหยียนเทียนสงเริ่มปรากฎตัว แต่หัวใจก็ลอบระแวดระวัง คนผู้นี้น่ากลัวยิ่งกว่าเหยียนต้วนหุนและเหยียนเทียนอ้าวร่วมมือกัน ข้อเท็จจริงก็คือการลงมือเพียงครั้งเดียวของมันเหนือล้ำกว่าสองคนนั้นไปห่างไกล จักรพรรดิมารรู้สึกได้ถึงแรงกดดันไร้สิ้นสุด เหยียนเทียนสงเคลื่อนร่างดุจสัตว์ป่ากระหายเหยื่อ ความรู้สึกเสียววาบเกาะกุมลำคอจักรพรรดิมารในทันที ในขณะเดียวกัน โทสะฝังกระดูกที่ถูกรำงับไว้ของเหยียนต้วนหุนและเหยียนเทียนอ้าวก็พวยพุ่งขึ้น คลื่นพลังแผดร้อนสองสายแหวกอากาศ บดบังท่วมร่างจักรพรรดิมาร

จักรพรรดิมารแห่งสำนักมาร เผชิญหน้ากับสามคนที่แข็งแกร่งสุดของสำนักจักรพรรดิเหนือ ชะตาที่ต้องต่อสู้ดุเดือดได้เริ่มขึ้นในที่สุด แรงกดดันหนักหน่วงแทบจะฉีกทำลายร่าง ผู้คนในที่ไกลๆเผ่นถอยด้วยสายตาที่ยังคงจับจ้องอยู่บนอากาศ โดยเฉพาะเหล่าผู้ฝึกยุทธต่างตื่นเต้นไม่กล้าพลาดรายละเอียดแม้เพียงนิด เพียงแค่สนามพลัง ก็ทำให้พวกมันกระจ่างแจ้งแก่ใจว่าอะไรคือพลังเทียมฟ้า การต่อสู้ระดับนี้พวกมันไม่เคยพบเจอแม้กระทั่งในความฝัน ความสงสัยบางครั้งก็โหดร้ายทารุณ

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่เกินความคาดหมายของผู้คน จักรพรรดิมารยังคงไม่ขยับตัวขณะเผชิญการโจมตีของสามยอดฝีมือสำนักจักรพรรดิเหนือ ราวกับว่ามันสูญเสียการเคลื่อนไหวภายใต้การล็อคตรึงของพลังแกร่งกล้าสามสาย มีเพียงผ้าคลุมสีเงินที่โบกสะบัดเสียงดังอยู่ด้านหลัง

ตูม!!!

พลังแกร่งกล้าสามสายเข้าปะทะพร้อมกัน จุดที่พลังประสานกันคือตำแหน่งที่จักรพรรดิมารลอยตัวอยู่ เห็นได้ชัดว่านี่คือพลังไร้แสงสี ทว่าหลังการปะทะคลื่นพลังก็ส่งแสงเรืองรอง ในรัศมีสิบเมตรถูกบดบังจนหมดสิ้น ด้านล่างสิ่งก่อสร้างและซุ้มประตูเมืองที่ไม่ทราบว่าดำรงมากี่ปีล้วนพังทลายลงดุจท่อนไม้เปื่อย สุดท้ายการพังถล่มได้สร้างกลุ่มหมอกฝุ่นขึ้นเล็กน้อย

ไม่เพียงผู้คนที่อยู่ไกลๆ สามยอดฝีมือสำนักจักรพรรดิเหนือต่างแปลกใจที่จักรพรรดิมารมิได้หลบเลี่ยง และรับการโจมตีโดยตรง!

เวลานี้เอง อากาศโดยรอบกลายเป็นเย็นเยือกฉับพลัน เย็นจัดเสียดแทงถึงกระดูก เหนือท้องฟ้าห่างไกล มีเสียงทุ้มลึกกล่าวคำช้าๆ “เคล็ดวารีสวรรค์ร่วงหล่น – ทลายเหมันต์เยือกแข็ง!”

ติ้ง!

แสงน้ำแข็งสีฟ้าร่วงลงจากท้องนภา ในเส้นสายตาของผู้คนที่อยู่ห่างไกล วินาทีที่สามยอดฝีมือสำนักจักรพรรดิเหนือกำลังเงยศีรษะขึ้น ปรากฎมีแท่งน้ำแข็งขนาดใหญ่นับไม่ถ้วนย้อยทะลักลงมา ในอาณาบริเวณกว้างทุกแห่งหนกลายเป็นม่านน้ำแข็ง แต่ละแท่งซ่อนพลังแกร่งกล้าของน้ำแข็ง



<<<PREV    .    NEXT>>>