วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 415

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 415 บทโหมโรงแห่งสงคราม

ในช่วงจบพิธีสวมมงกุฎ หลงฮวงเอ๋อร์สวมด้วยมงกุฎไข่มุกหงส์สีม่วงทอง แต่งคลุมในชุดสีทองที่ตัดเตรียมไว้สำหรับนาง รองเท้าไหมยังเป็นรูปหงส์ทอง นางนั่งเหนือบัลลังก์อย่างสง่า รับการคุกเข่าคารวะจากขุนนางแห่งเทียนหลงผู้ภักดี หญิงสาวอายุ 16 ปีผู้นี้กลายเป็นจักรพรรดินีหลังจากเตรียมการเพียงชั่วเวลาสั้นๆ หัวใจนางอึดอัด แต่ไม่ได้สับสนหรือกังวลถึงอนาคต นางเชื่อว่าเขาจะมอบอนาคตอันสมบูรณ์แบบให้กับนาง

บัลลังก์นี้ ล้วนเพื่อเขา

เมื่อพิธีสวมมงกุฎจบลง เสียงไม่รู้กาละเทศะได้ดังขึ้นทำลายบรรยากาศ พลทหารธรรมดาของตระกูลเย่ควบม้าเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุด มันไม่สนใจสถานการณ์ในยามนี้ หลังจากหยุดม้าก็วิ่งเข้าวัง คุกเข่าลงและตะโกนดังลั่น “มีข่าวด่วนจากชายแดน อาณาจักรต้าฟงรวบรวมกำลังทหารและม้าต่อเนื่องมาหลายวัน ตอนนี้กำลังทัพของมันมีมากกว่า 3 ล้านนาย กองทัพขนาดใหญ่นี้อาจเข้าประชิดชายแดนได้ในทุกเมื่อ”

ดุจผิวทะสาบราบเรียบถูกหินมหึมาร่วงใส่ เสียงเลือนลั่นดังขึ้นในใจของผู้คน ไม่มีใครบ่นว่าทหารส่งข่าวที่บุกรุกเข้ามากะทันหัน เนื่องจากเรื่องฉุกเฉินนี้ไม่อาจรอช้าแม้ชั่วขณะนาที ทว่าการมาถึงของข่าวนี้ทำให้หัวใจทุกผู้คนสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ ผู้คนส่วนมากตกใจจนถึงขั้นหน้าซีด

เพียงเวลาสั้นๆ ทหาร 3 ล้านนาย....

ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง หลังผ่านความโศกเศร้าเพียงชั่วเวลาสั้นๆ อาณาจักรต้าฟงก็เผยคมเขี้ยวแท้จริงออกมาในที่สุด เทียบกับการรุกรานก่อนหน้า ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าพวกมันต้องการอ้าปากกลืนกินอาณาจักรเทียนหลงทั้งหมด

เย่หนู่ผุดลุกขึ้นยืนทันที ด้วยวัยของเขา กลับตะโกนไม่ยั้งเสียงอย่างไร้ความกลัว “ประเสริฐ! ผู้ชรารอคอยวันนี้มานานแล้ว เมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา พวกเราขับไล่ทุบตีพวกมันจนหมดสิ้น วันนี้ พวกเราย่อมทำได้เช่นเดียวกัน!”

สุ้มเสียงของเขาทรงพลังหนาแน่น คิดไม่ถึงว่าฉับพลัน เสียงไร้ความกลัวนี้จะสะเทือนถึงหัวใจทุกผู้คน ความกลัวที่พุ่งขึ้นในใจของผู้คนถูกข่มระงับแทบในทันที ด้วยกองทัพมหึมาเช่นนี้ การรุกรานก่อนหน้าของอาณาจักรต้าฟงแทบไม่นับเป็นอันใด คำพูดของเย่หนู่หมายถึงเขาจะแยกออกจากท้องพระโรงและแต่งชุดลงสู่สนามรบด้วยตัวเองอีกครั้ง

กองทัพตระกูลเย่มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วทวีปเทียนเฉิน รู้จักกันว่านี่คือทัพโลหะและโลหิต อย่างไรก็ตาม อาณาจักรคุยชุยตัดสินใจตกอยู่ใต้อาณาจักรต้าฟงตั้งแต่สามปีก่อน ยามนี้ยังต้องเผชิญหน้ากับกองทัพมหึมา ทุกอย่างช่างเป็นไปในทางที่ดีจริงๆ....

ทันใดนั้น ท่ามกลางบรรยากาศอันกดดัน หลงฮวงเอ๋อร์ในชุดจักรพรรดิงามสง่าค่อยๆลุกขึ้นจากบัลลังก์ กิริยาเต็มไปด้วยความสูงส่ง สายตายังแผ่ความกดดันดุจจักรพรรดิบางเบา ราวกับว่าด้วยชุดจักรรรพดิและบรรยากาศได้ผสานกันทำให้นางกลายเป็นจักรพรรดิโดยธรรมชาติ ริมฝีปากบางขยับเล็กน้อย เปล่งเสียงน่าฟังที่ยากจะหาพบ แต่ละถ้อยคำล้วนยิ่งใหญ่ “หนึ่งเดียวผู้นี้รู้ว่าการขึ้นครองบัลลังก์ของเราหนึ่งเดียวทำให้ขุนนางและผู้คนเกิดความสงสัยและต่อต้าน อาณาจักรต้าฟงกำลังจะเคลื่อนการโจมตีในไม่ช้า หนึ่งเดียวผู้นี้ขอสาบานว่าภายในเวลาหนึ่งปี จักต้องเอาชนะต้าฟงให้จงได้ มิเช่นนั้น หนึ่งเดียวผู้นี้จะถอดชุดจักรพรรดิด้วยตัวเอง และขอขมาต่อผู้คนแห่งเทียนหลง”

ท่ามกลางความเงียบสนิท ทุกสายตาจับจ้องไปยังจักรพรรดินีที่เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์มาหมาดๆ ในแววตาซ่อนความเปลี่ยนแปลงโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่านางจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ได้หรือไม่ล้วนไม่สำคัญ เพราะอาศัยจากที่นางกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงและอารมณ์เช่นนี้ที่หลงหยินไม่มีทางกล้ากล่าว เท่านี้ก็เพียงพอปัดเป่าภาพลักษณ์องค์หญิงเฟยฮวงคนเดิมไปจากใจผู้คน

เอาชนะต้าฟงในเวลาหนึ่งปี.... นี่คือถ้อยคำที่เย่หวูเฉินสอนให้นางพูด และเป็นทางลัดในการยกระดับชื่อเสียงของจักรพรรดินีที่ถูกตั้งคำถาม อาณาจักรต้าฟงเป็นศัตรูผู้ทรงพลังแกร่งกล้า ทัพมหึมาที่ไม่มีผู้ใดเทียบเคียง เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงสูงสุดในรอบพันปีของอาณาจักรเทียนหลง หากอาณาจักรเทียนหลงสามารถเอาชนะได้จริงๆ เช่นนั้นนามของจักรพรรดินีเฟยฮวงจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์เทียนหลงตลอดกาล มีชื่อเสียงอันตะลึงล้ำ ทุกคำถามจะพลิกเป็นความสรรเสริญสุดหัวใจ

.......................

.......................

ม่านราตรีลดต่ำลง ทุกเสียงธรรมชาติดังระงม หลงเจิ้งที่เดิมทีอยู่ในเมืองเทียนหลง ตอนนี้ปรากฎตัวอยู่ห่างออกไปกว่าพันลี้โดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่าเมืองเทียนเล่ย

“ทุกอย่างเป็นไปตามที่เจ้าคาดหวัง ขอข้าดูหน่อยสิว่า เจ้าจะเคลื่อนลมฟ้าของโลกนี้ได้อย่างไร” หลงเจิ้งมองแผ่นหลังที่อยู่เบื้องหน้าและยิ้มกล่าว

“แน่นอนว่าต้องสร้างเรื่องสะเทือนโลก แล้วทำให้ฮวงเอ๋อร์กลายเป็นจักรพรรดิหนึ่งเดียวในใต้หล้า” เย่หวูเฉินหันกลับมาพร้อมยิ้มบาง สีหน้าและท่าทางล้วนบ่งบอกถึงความมั่นใจโดยไม่ปิดบัง

“ฮวงเอ๋อร์กลายเป็นจักรพรรดิเพียงหนึ่งเดียว ย่อมหมายถึงเจ้าที่จะกลายเป็นจักรพรรดิสูงสุด” หลงเจิ้งหรี่ตาลงเล็กน้อย

“ท่านกล่าวผิดแล้ว” เย่หวูเฉินสั่นศีรษะแล้วกล่าวราบเรียบ “เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะเป็นเพียงสามีของฮวงเอ๋อร์ เป็นคนผู้หนึ่งที่ไม่กระหายในพลังใดๆ”

“ข้าเชื่อเจ้า เพราะเจ้าเป็นคนแบบนั้น”

หลงเจิ้งนั่งลงที่โต๊ะไม้หนา หยิบแก้วเติมน้ำชาลงไปสองถ้วย จากนั้นวางใบหนึ่งไว้ที่เบื้องหน้าเย่หวูเฉิน สามารถนั่งดื่มน้ำชากับหลงเจิ้งได้ ในโลกนี้ย่อมไม่ใช่บุคคลธรรมดา

“ท่านปู่หลง ท่านไม่ตำหนิข้าจริงๆหรือ ที่ข้าสังหารบุตรชายของท่านโดยทางอ้อม?” เย่หวูเฉินจิบชาคำเล็กๆ สัมผัสรสชาติอย่างตั้งใจ แม้น้ำชานี้อยู่ในภาชนะไม่หรูหรา แต่รสสัมผัสกลับน่าพึงใจ

หลงเจิ้งเป็นบุคคลผู้มีปัญญากว้างขวาง เย่หวูเฉินรู้เรื่องนี้เพราะบังเอิญเดาได้ถูกต้องถึงสาเหตุที่ทำให้เขาสละบัลลังก์ และออกจากเมืองเทียนหลงไปนานกว่า 20 ปี

“เป็นผลกรรมที่ตามสนอง เขาวางยาพิษหวังทำร้ายตระกูลเย่ผู้สัตย์ซื่อภักดี ก็สมควรได้รับผลเช่นนี้แล้ว” หลงเจิ้งกล่าวตอบเสียงแผ่ว บนใบหน้าไร้ระลอกความเปลี่ยนแปลงใดๆ เมื่อเย่หวูเฉินมาพบหลงเจิ้ง เขาปิดบังความจริงใดๆ เย่หวูเฉินทราบว่าสำหรับบางคนแล้ว การบอกความจริงย่อมดีกว่าการปิดบัง

“แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นลูกชายของท่าน” เย่หวูเฉินขยับมุมปากเล็กน้อย

“แต่เจ้าช่วยรักษาตระกูลหลงไว้ทั้งหมด หากกล่าวกันตามจริง ตระกูลหลงของข้าติดค้างเจ้ามากมายตั้งแต่สูงยันต่ำ” ท่านปู่หลงหัวเราะ จากนั้นกล่าวต่อ “หากไม่มีเจ้าในสามปีนี้ อาณาจักรเทียนหลงคงไม่ใช่ของแซ่หลง แต่เป็นของแซ่ฉุ่ย เพราะว่ามีเจ้าอยู่ อาณาจักรเทียนหลงจึงยังปกครองโดยแซ่หลงดังเดิม และสายเลือดตระกูลหลงยังคงไม่ถูกทำลาย”

หลงเจิ้งสละบัลลังก์โดยไม่หวนกลับนาน 20 กว่าปี เพราะเขาทราบถึงเจตนาของสำนักจักรพรรดิใต้ด้วยสติปัญญาของเขา ทว่าด้วยพลังของสำนักจักรพรรดิใต้ ทำให้เขาแม้จะทราบเจตนาและแผนการของพวกมัน แต่เขาก็รู้ตัวว่าไม่อาจต่อต้านพลังนั้น หากฝืนขัดขืนมีแต่จะเร่งฝีเท้าของพวกมัน ด้วยความผิดหวัง สุดท้ายเขาเลือกที่จะหลบหนี ในเมื่อตระกูลหลงไม่อาจหลีกเลี่ยง อาณาจักรเทียนหลงก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง เช่นนั้นเขาจึงพาตัวเองหลีกหนี ไม่ยอมใช้ชีวิตอยู่ใต้เงาที่ไม่อาจต่อต้าน และเมื่อเย่หวูเฉินทราบถึงเจตนาของสำนักจักรพรรดิใต้ เขาจึงเข้าใจว่าเหตุใดหลงเจิ้งจึงบ่มเพาะหัวใจของหลงเจิ้งหยางให้ไร้ความทะยานในอำนาจ เนื่องจากใต้เงาสำนักจักรพรรดิใต้ การกระหายในอำนาจกลับกลายเป็นใบรับประกันความตาย เขาอดยิ้มไม่ได้ที่ในอดีตตนเองเคยสงสัยในความคิดของหลงเจิ้ง หลงเจิ้งนับเป็นผู้มีสติปัญญากว้างขวางอย่างแท้จริง

ยามนี้สถานการณ์แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากตอนนั้น ภัยคุกคามจากสำนักจักรพรรดิใต้ไม่มีอยู่อีก ไม่เพียงเขาไม่สุมไฟเผาตระกูลหลง ตรงกันข้ามเขากลับช่วยเหลือ ดังนั้นหลงเจิ้งจึงกล่าวว่าสิ่งที่เขาต้องทำมากกว่าคือการขอบคุณ

“หยางเอ๋อร์ตัดสินใจเลือกเส้นทางด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม ข้าเชื่อเจ้าว่าเส้นทางที่เขาเลือกนั้นเหมาะสมที่สุดสำหรับเขา เขาสามารถท่องไปอย่างเสรี น่าเสียดายก็เพียง เขาและองค์หญิงสำนักจักรพรรดิใต้ถูกลิขิตให้ไม่ควรคู่กัน ข้าได้แต่หวังว่าเขาจะสามารถตามหาสตรีที่ต้องชะตาได้ในเร็ววัน เฮ่อๆ” ท่านปู่หลงยกแก้วน้ำชาขึ้นกระดกดื่ม ครั้งหนึ่งเขาเป็นผู้ไม่สนใจสิ่งใด บัดนี้เขาเริ่มคาดหวังกับอนาคต เขาอยากเห็นว่าทวีปเทียนเฉินจะเปลี่ยนไปมากเพียงใดภายใต้น้ำมือชายหนุ่มผู้นี้

เย่หวูเฉินลุกขึ้นและออกไป จากนั้นกลับมาใหม่ทันที ในอ้อมแขนของเขามีเด็กหญิงงดงามอยู่ผู้หนึ่ง หลงเจิ้งเห็นเด็กหญิงผู้นั้นอย่างชัดเจน และเขาไม่อาจเคลื่อนสายตาออกจากนางได้อีก

นางดูราวอายุเพียงสองขวบ ทุกส่วนในร่างละมุนและผุดผ่อง ตอนนี้คู่ดวงตากระจ่างใสกระพริบให้กับเขา แววตาไร้เดียงสาไร้ความสงสัยต่อคนแปลกหน้า นางยังเผยรอยยิ้มบริสุทธิ์บอบบางที่ทำให้ผู้คนต้องเมามาย

“นี่คือลูกสาวของข้า ซือเฉิน ปีนี้นางอายุได้สองขวบครึ่ง ซือเฉิน นี่คือท่านปู่หลงของเจ้า” เย่หวูเฉินก้มศีรษะลง สีหน้ามีความสุขและเอาใจอย่างลึกล้ำ กล่าวกับเด็กน้อยในอ้อมอกด้วยเสียงอ่อนโยน

“ท่านปู่หลง.... ข้าเรียกว่าซือเฉิน”

หลงเจิ้งจ้องตาตรึงโดยไม่รู้ตัว ซือเฉินเผยใบหน้าน้อยๆ ในปากเอ่ยเสียงที่ทำผู้คนแทบละลาย น้ำเสียงบริสุทธิ์ยิ่งกว่าน้ำกลั่นบริสุทธิ์ใดๆ แผ่วพัดเข้าสู่รูหูและลามสู่หัวใจของหลงเจิ้ง

รูปลักษณ์ของนาง น้ำเสียงของนาง ล้วนทำให้เขารู้สึกราวกับอยู่ในความฝัน ความรู้สึกบอกกับเขาว่านี่ไม่ใช่บุคคลของโลกใบนี้ แต่เป็นภูติบริสุทธิ์ที่ไม่กินอาหารหรือแปดเปื้อนกับมนุษย์ เป็นตัวตนบริสุทธิ์งดงามเหนือจินตนาการของมนุษย์

“ดี ดี.... เด็กดี”

นี่คือจักรพรรดิเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ผู้ทรงปัญญาเลิศล้ำ ทว่าวาจาหนักแน่นดุจขุนเขาของชายชรากลับแหบแห้งในยามนี้ เนื่องจากปราดตาแรกที่ได้เห็นซือเฉิน เขาก็ถูกนางพิชิตลงอย่างสมบูรณ์แบบ เย่หวูเฉินยิ้มกล่าว “ซือเฉิน ให้ท่านปู่หลงกอดมั้ย?”

“....ท่านปู่หลง กอด”

ซือเฉินเชื่อฟังอย่างมาก นางยื่นแขนไปหาหลงเจิ้งด้วยตัวเอง ร่างกายของหลงเจิ้งแข็งค้าง จากนั้นก้าวออกมาอย่างรีบร้อน ก่อนที่เขาจะกางแขนกอดซือเฉิน เย่หวูเฉินเห็นได้ชัดว่าเขาเช็ดถูมือตัวเองกับเสื้อผ้าอย่างไม่รู้ตัว ชายชราผู้ทรงเกียรติและใจกว้างไร้ที่เปรียบ กลับกำลังกังวลว่าสองมือตัวเองจะแปดเปื้อนซือเฉิน ภูติน้อยที่ไม่ควรอยู่บนโลกมนุษย์

“หากในวัยชราของข้า สามารถมีหลานสาวปานนี้อยู่ด้วยกัน คงเป็นเรื่องสุขสันต์เหมือนมีนางฟ้าแท้จริงอยู่ในครอบครัว” หลงเจิ้งมองซือเฉินอย่างรักใคร่ กล่าวคำพลางถอดถอนใจ ด้วยวัยชราปานนี้ ทุกสิ่งล้วนแต่เลือนลาง หัวใจเลือนลาง ความปรารถนาเลือนลาง ความปรารถนาสูงสุดของเขาคือครอบครัวอยู่ร่วมกันไม่แตกแยก และเรื่องนี้ไม่ว่าในห้วงมิติใด หรือเวลาใด ล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

“วันนั้นคงอยู่ไม่ไกลแล้ว บางทีปีหน้า พี่ใหญ่หลงอาจนำหลานชายหรือหลานสาวกลับมาหาท่านก็เป็นได้” เย่หวูเฉินยิ้มกล่าว



“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ประเสริฐ ประเสริฐ! เจ้าเป็นถึงจักรพรรดิมารผู้เขย่าโลก บางทีถ้อยคำของเจ้าสวรรค์อาจจะตอบรับ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า....”



<<<PREV    .    NEXT>>>