วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 433

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 433 ขุมสมบัติ!

เมื่อเลี้ยวตรงหัวมุมอีกครั้ง ก็ไม่พบกับดักใดๆอีก อาศัยแสงสว่างอ่อนจางสามารถมองเห็นประตูถูกปิดแน่นอยู่เบื้องหน้า แสงสว่างนี้ลอดผ่านจากร่องประตู เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่รัศมีแสงจากสิ่งเดียว แต่เป็นแสงเรืองรองจากสมบัติหลากหลาย

“เป็นที่นี่จริงๆ วางใจเถอะ ที่นี่ไม่มีกับดักใดๆแล้ว” สีหน้าภาคภูมิของเหยียนเทียนอ้าวเริ่มเปลี่ยนในที่สุด แสงรัศมีที่สมบัติหายากเหล่านี้เปล่งออกมาย่อมยืนยันแล้วว่า ที่หลังประตูมีสมบัติมหาศาลอย่างแน่นอน

เหยียนเทียนอ้าวสืบเท้าไปเบื้องหน้าอีกสองสามก้าว ยืนอยู่ตรงหน้าประตู ผลักมือกับประตูช้าๆ กุญแจที่ใช้เปิดประตูคือตราหยกราชวงศ์แห่งอาณาจักรเทียนหลง ฉะนั้นคนทั่วไปย่อมไม่อาจเปิดได้ แน่นอนว่านั่นเฉพาะคนทั่วไป เหยียนต้วนหุนและเหยียนเทียนอ้าวเดินทางพันๆลี้ผ่านภูเขาและแม่น้ำไปยังอาณาจักรเทียนหลง ทว่ามิได้สนใจขโมยตราหยกราชวงศ์แห่งเทียนหลงแม้แต่น้อย เนื่องจากพวกมันคือตัวตนที่เหยียบย่างอยู่บนวิถีเทวะ ย่อมมั่นใจว่าตนเองสามารถทำลายประตูเหล็กนี้ได้

“ตูม!”

เสียงดังสนั่นทำคนทั้งห้าที่อยู่ข้างหลังสะท้านไปทั้งร่าง นี่คือพลังเพลิงวิญญาณที่ถูกบีบอัดรัศมีให้เหลือแคบที่สุด พลังถูกควบรวมลงที่จุดเดียว อำนาจทำลายล้างจึงเพิ่มขึ้นหลายเท่า

พลังทำลายล้างอัดใส่กลางประตู ประตูแตกกระจายออกเหมือนเศษแก้ว แสงรัศมีสะท้อนระยิบระยับออกมา....

เหยียนเทียนอ้าวตะลึงงัน ทุกผู้คนตกตะลึงโง่งมในยามนี้

เป็นฉากอันน่าตื่นตกใจที่ไม่มีวันลบเลือนไปจนชั่วชีวิต

ใต้ผืนดินอันมืดมิด ปรากฎแสงระยิบระยับเรืองรอง มันไม่ใช่แสงสว่างจากตะเกียงไฟหรือตะเกียงเวทย์ แสงประหลาดนี้มาจากสมบัตินับไม่ถ้วนเปล่งแสงละลานตา ซ้อนทับกันจนเกิดแสงสว่างไสว

“นี่มัน.... เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!” ชายวัยกลางคนหนวดเคราเฟิ้มอ้าปากค้าง กล่าวได้ว่าชั่วชีวิตของมัน ไม่เคยพบเห็นภาพน่าตกตะลึงเช่นนี้

ทุกแห่งในสายตาเต็มไปด้วยแสงสว่าง , ทองคำ , อัญมณี , สมบัติมากมายล้วนแวววับ นอกจากสมบัติหายากที่กองกระจัดกระจายบนพื้น ในพื้นที่กว้างยังมีหีบอีกนับไม่ถ้วน ดูจากแสงที่สะท้อนจากหีบ  พวกมันทั้งหมดล้วนทำมาจากทองคำ ไม่ว่าจะเป็นหีบหรือแม่กุญแจ เหยียนเทียนอ้าวแววตากระเพื่อม ร่างกายขยับตรงไปเบื้องหน้า หยุดยืนอยู่หน้าหีบสมบัติ ขยับฝ่ามือตัดแม่กุญแจทอง เปิดฝาหีบขึ้น ทันใดนั้นแสงแพรวพราวก็สว่างออกมา หีบเหล่านี้เก็บสมบัติมีค่าอันยากจะได้พบเจอ

เปรี้ยง!

หีบอีกใบถูกเปิด ในนั้นบรรจุไข่มุกหลากสีสัน มีมูลค่าเท่ากับเมืองๆหนึ่ง จากนั้นหีบใบที่สามถูกเปิดออก ในนั้นเต็มไปด้วยทองคำแท่ง....

พวกมันพลันรู้สึกว่าดวงตาพร่ามัว ราวกับว่าไม่อาจมองโดยตรง ไม่คิดไม่ฝันว่าวันหนึ่งจะต้องหรี่ตาลงเพราะแสงสว่างเจิดจ้าของสมบัติ

พื้นที่ในนี้กว้างขวางอย่างมาก มีหีบทองคำอยู่ประมาณหลายร้อยใบ.... ไม่ใช่ สมควรเป็นพันๆใบ.... นี่ย่อมเพียงพอทำให้บุคคลที่รวยอันดับหนึ่งในใต้หล้าต้องล้มคะมำลงด้วยไม่เชื่อสายตา

ผู้คนสำนักจักรพรรดิเหนือหันหน้ามามองกัน สีหน้าตื่นตะลึงและเหลื่อเชื่อ สายตาฉายความตื่นเต้นสบกัน ทุกอย่างเป็นไปตามข่าวลือไม่ผิดเพี้ยน อีกทั้งยังราบรื่น ตำนานกระบี่เหล็กเป็นความจริง พวกมันขโมยกระบี่เหล็ก นำแผนที่คลังสมบัติออกมา เดินทางตามที่แผนที่ระบุไว้ และพบขุมทรัพย์ที่ถูกฝังอยู่ใต้ดิน.... คู่ควรแล้วที่จะเรียกมันว่าขุมทรัพย์มหาศาล

พวกมันเคยเข้าไปในคลังสมบัติของอาณาจักรคุยชุย ทว่านั่นไม่อาจเปรียบเทียบกับภาพตรงหน้า ทั้งยังต่างชั้นห่างไกล สมบัติตรงหน้านี้ หากกล่าวว่าซื้อได้ทั้งอาณาจักรยังไม่นับว่าเกินเลย

“ผู้อาวุโสเจ็ด ตอนนี้ขุมสมบัติถูกค้นพบแล้ว สมควรทำอย่างไรต่อ?” หนึ่งในพวกนั้นลอบกลืนน้ำลาย เอ่ยปากกับเหยียนเทียนอ้าว หน้าที่ของพวกมันสำเร็จลุล่วงแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังราบรื่นไร้ที่เปรียบ เผชิญหน้ากับความมั่งคั่งมหาศาล กระทั่งผู้มีพลังจิตใจหนักแน่นอย่างพวกมันยังหวั่นไหว

“กลับไปรายงานแก่ท่านประมุข ใช้เวลาอันสั้นที่สุดกลับไปยังสำนัก สำนักมารมีเครือข่ายกระจายอยู่ทั่วโลก ยิ่งจักรพรรดิมารมันย่อมเดาได้ว่าพวกเราขโมยกระบี่เหล็กมา พวกเราไม่อาจรอช้าได้ ต้องรีบลงมือโดยทันที” เหยียนเทียนอ้าวหันกายมาและกล่าว

“ข้าจะออกไปยิงพลุสัญญาณเดี๋ยวนี้”

“ไม่ได้!” เหยียนเทียนอ้าวกล่าวหยุด “ยิงพลุสัญญาณมีแต่จะดึงความสนใจของสำนักมาร พวกเจ้าสามคนรีบกลับไปที่สำนักพร้อมกัน พาคนมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จงเดินทางเฉพาะในยามกลางคืน พยายามอย่าดึงดูดความสนใจของผู้ใดทั้งสิ้น”

“ขอรับ!” คนทั้งสามรับคำสั่ง หันร่างออกไปโดยไร้ความลังเล

เหยียนเทียนอ้าวกับอีกสองคนรั้งอยู่ที่นี่เพื่อคอยป้องกัน

ทั้งหกคนไม่มีใครสังเกตเลยว่า ที่ด้านหลังกองสมบัติมหึมา มีเงาร่างสีเงินหายวับออกไป หากร่างสีเงินนั้นไม่ได้สวมหน้ากาก จะสามารถมองเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าได้อย่างชัดเจน

.....................

.....................

ชูเกอเสี่ยวหยูเดิมทีสวมเกราะอ่อน ตอนนี้เปลี่ยนมาสวมเกราะหนัก นางไม่มีเวลารั้งรออยู่ในเมืองซีหลู ดังนั้นจึงนำทหารและม้าจำนวนมากตรงสู่เมืองอวิ๋นหัวทันที การเคลื่อนทัพอย่างรวดเร็ว เป็นหนึ่งในกฎพื้นฐานการรบที่นางไม่เคยลืม

ตะวันลอยโด่งอยู่บนฟ้า ชูเกอเสี่ยวหยูคำนวณดูคร่าวๆ ด้วยความเร็วในตอนนี้ จะสามารถไปถึงเมืองอวิ๋นหัวในตอนมืดค่ำ นางนำอยู่หน้าขบวน จดจำระยะทางและภูมิประเทศโดยรอบอย่างเงียบงัน ทันใดนั้นที่เบื้องหน้า มีเสียงเกือกม้าดังเข้ามาใกล้

ชูเกอเสี่ยวหยูจดจ้องสายตา ตะโกนคำออกไปบางเบา “รีบไปตรวจดูว่าเป็นมิตรหรือศัตรู!”

จากนั้นมีสามคนควบม้าออกไป เพียงไม่นานนักก็กลับมา ในมือหอบหิ้วคนผู้หนึ่งร่างกายโชกเลือด ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ทั่วเกราะมีแต่รอยบิ่น กลิ่นอายชีวิตอ่อนแอ สามารถควบม้ามาได้เป็นเวลานาน นับว่าอาศัยพลังทั้งหมดของมันแล้ว

“....อวิ๋นหัวกำลังลำบาก.... โปรดส่งกำลังไปช่วยเหลือ....” หลังจากกล่าวไม่กี่คำกับชูเกอเสี่ยวหยู พลังในร่างก็ดับวอดลง ร่างกายอ่อนยวบลงช้าๆ

ชูเกอเสี่ยวหยูขมวดคิ้วมุ่น ตะโกนสั่งการ “ทหารทั้งหลายจงฟังคำสั่ง ให้มุ่งหน้าเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด ห้ามหยุดพักระหว่างทาง! จะต้องไปถึงเมืองอวิ๋นหัวก่อนมืดค่ำ!!”

ทหารกล้าที่สิ้นใจผู้นี้เห็นได้ชัดว่ามาจากเมืองอวิ๋นหัวเพื่อขอความช่วยเหลือ กองทัพอาณาจักรต้าฟงรวดเร็วอย่างยิ่ง ตอนนี้เมืองอวิ๋นหัวกำลังตกอยู่ในอันตราย

พื้นดินคละคลุ้งไปด้วยฝุ่น เสียงเกือกม้าดังสะเทือนผืนหล้า ทหารและม้าผืนใหญ่มุ่งลงใต้โดยมีตะวันแผดเผา ทิ้งฝุ่นทรายคละคลุ้งเอาไว้เบื้องหลัง

เมืองอวิ๋นหัวนับว่าตกอยู่ในวิกฤตการณ์จริงๆ ทหารยศสูงสุดที่ป้องกันเมืองนี้คือเย่ฮุยแห่งสาขาย่อยตระกูลเย่ เย่ฮุยนับได้ว่าเป็นคนของตระกูลเย่ ผลงานที่เคยสร้างไว้ล้วนไม่ธรรมดา อย่างไรก็ตาม ทหารในเมืองนี้มีเพียงไม่ถึง 30,000 นาย และกองทัพต้าฟงแห่กันมาท่วมฟ้าดินถึง 150,000 นาย สร้างแรงกดดันสาหัส เกือบสามวันที่ต้านยันไว้ มีหลายครั้งที่พวกมันเกือบทะลวงเข้ามาในเมืองได้

จนถึงวันนี้ ทหารและม้ากว่า 30,000 นายสูญเสียไปมากกว่าครึ่ง หลังจากที่สงครามประชิดถึงตัวเมือง กองทัพต้าฟงก็ยิงธนูไฟเข้ามาในเมืองทุกวี่ทุกวัน ทำให้ผู้คนทุกข์ยากอย่างมาก กองทัพอาณาจักรต้าฟงปิดล้อมไว้ทุกทิศ เหนือ , ใต้ , ตะวันออก , ตะวันตก ไร้ช่องทางให้หนีรอด ไม่อาจสละเมืองเพื่อทะลวงออกไป ที่ทำได้อย่างเดียวคือรอคอยความช่วยเหลือ หรือไม่บางทีอาจมีเพียงรอความตาย ขวัญกำลังใจของทหารยามนี้ระส่ำระส่าย ทหารบางคนยังกระทั่งออกจากเมืองและยอมแพ้

ยามค่ำมืดใกล้มาถึงอีกครั้งหนึ่ง อาณาจักรต้าฟงที่สงบมาครึ่งวันตอนนี้เริ่มเคลื่อนไหว ระดมพลมาที่ประตูเมืองอวิ๋นหัว ทันใดนั้น เหนือกำแพงเมืองมีลูกศรมากมายยิงลงไป พวกต้าฟงแทบไม่หันมอง มีเพียงคนผู้หนึ่งผลักฝ่ามือขึ้น ม่านปราการสีน้ำตาลปรากฎขึ้นบนฟ้า ป้องกันลูกศรเหล่านั้นจนหมดสิ้น.... นี่คือโล่ป้องกันแห่งธาตุปฐพี!

ในขณะเดียวกัน มีคนกว่าสิบยืนนิ่งงันอยู่ด้านล่าง แต่ละคนหลับตารวบรวมสมาธิ หลังผ่านไปสิบวินาที โล่ปฐพีที่กางกั้นเหนือศีรษะได้แตกออก คนนับสิบลืมตาขึ้นทันที พลังธาตุของพวกมันโคจรประสาน พุ่งทะยานไปเบื้องหน้า เผชิญหน้ากับลูกศรที่ร่วงลงมาในเวลาเดียวกัน หลังจากโล่แตกออกพวกมันก็เริ่มถูกศรปักร่างและร่วงตามกัน

พลังธาตุประสานพวยพุ่ง ฝุ่นผงฟุ้งกระจาย ในที่สุดพลังก็แผ่พุ่งมาถึงประตู ประตูเมืองถูกกระแทกเสียงดังเลือนลั่น เกิดรอยแตกร้าวจำนวนมาก

เห็นได้ชัดว่ากองทัพอาณาจักรต้าฟงรอคอยโอกาสนี้ พวกมันไม่ลังเลยอมสละนักเวทย์อันล้ำค่าหลายคน หวังทำลายประตูเมืองอวิ๋นหัวให้จงได้ หลังจากนั้น ทหารธรรมดาจำนวนมากฝ่าห่าลูกศร ร้องคำรามไม่กลัวตาย แบกท่อนซุงยาววิ่งเข้าไป

เหนือกำแพงเมือง มีทหารยศสูงผู้หนึ่งอายุราว 50 ปีจ้องลงมาเบื้องล่าง หัวคิ้วขมวดมุ่น สุดท้ายพ่นลมหายใจยาว คนผู้นี้คือเย่ฮุย

ภายใต้การโจมตีไม่คิดชีวิตของกองทัพอาณาจักรต้าฟง ประตูเมืองอวิ๋นหัวใกล้จะพังลงแล้ว ขบวนทัพต้าฟงที่ตั้งอยู่ไกลๆเริ่มขยับใกล้เข้ามา เมื่อใดที่ประตูเมืองพังทลาย พวกมันย่อมทะลักเข้ามาได้ และสร้างหายนะโลหิตในเมืองอวิ๋นหัว

ไร้ทางเลือกอื่นอีก เย่ฮุยดิ่งลงไปด้านล่างทันที ในมือถือหอกยาว ตะโกนคำรามลั่น “พี่น้องทั้งหลาย พวกเราไร้ทางหนีอีกแล้ว ต่อให้พวกเราต้องตกตาย ก็ขอให้ได้สังหารพวกต้าฟง แทนที่จะหดหัวรอความตายอยู่ที่นี้ มิสู้ออกไปนอกประตูกับข้า! ทุ่มเทฆ่าล้างพวกมัน ชาติหน้าก็เป็นได้เพียงคนขี้ขลาดเท่านั้น!”

ประตูเมืองที่ใกล้แตกพลันถล่มลง ทหารแห่งเมืองอวิ๋นหัวลุกฮือพุ่งออกไปปะทะกับกองทัพอาณาจักรต้าฟง อาวุธมากมายประเคนเข้าใส่กันที่หน้าประตูเมือง เพียงพริบตาเดียว กำแพงเมืองก็ถูกอาบย้อมไปด้วยสีเลือด

ตะวันลอยเคลื่อนไปทางทิศตะวันตก ไร้ความหวังที่จะฝ่าออกไป ไม่มีหนทางที่จะให้ล่าถอย ภายใต้สติปลดปลงว่าหนีไม่พ้นความตาย กองทัพแห่งเมืองอวิ๋นหัวจึงกลายเป็นบ้ากระหายเลือด ดวงตาแดงก่ำจับจ้องที่ศัตรูเบื้องหน้า แสดงพลังทั้งหมดโดยไร้ความกลัว กองทัพอาณาจักรต้าฟงชะงักงันเมื่อถูกโจมตีอย่างคาดไม่ถึง ทว่าด้วยจำนวนที่ต่างกันมากเกินไป ทำให้กองทัพอวิ๋นหัวไม่อาจเอาชนะในศึกนี้ ตะวันที่ใกล้ล่วงลับเป็นดุจชะตาเมือง เมื่อแสงสายัณห์หมดลง นั่นคือเวลาที่ชะตาของพวกเขาจบสิ้น

การศึกโกลาหลดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลานาน เย่ฮุยกุมกระชับหอกยาว กล้าหาญดุจพยัคฆ์ขุนเขา แหวกทะลวงเดินหน้า ไม่เสียใจต่อชีวิตและความตาย ใต้คมหอกยาวมีแต่การจู่โจมโดยไร้การป้องกัน เหวี่ยงวาดแต่ละครั้งทหารต้าฟงต้องตกตาย หอกยาวและชุดเกราะอาบชะโลมไปด้วยเลือด พลังและจิตวิญญาณถูกทุ่มโถมออกมาอย่างรวดเร็ว บาดแผลบนร่างยิ่งมายิ่งเกลื่อนกล่น โลหิตหลั่งไหลแทบจะพรากชีวิต

ทันใดนั้น มีเสียงตะโกนก้องดังมาจากที่ไกล “ขุนพลปิงหยุนมาถึงแล้ว! พวกทหารบัดซบแห่งต้าฟง จงเตรียมตัวตายได้” เสียงกระหึ่มกึกก้องพุ่งเข้ามาทางเหนือนับสิบกลุ่ม ตรงเข้าปะทะโดยไร้การชะลอความเร็ว ราวกับคมกระบี่นับสิบเล่มเสียบเข้ากลางกองทัพต้าฟง

การมาถึงของกำลังเสริมช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจของกองทัพแห่งเมืองอวิ๋นหัว เหล่าทหารต่อสู้ตีโต้ ท่ามกลางรุ่งอรุณแห่งความหวัง พวกมันรีดเร้นพลังเฮือกสุดท้ายจากร่างกาย กู่ร้องสังหารศัตรูที่อยู่ตรงหน้า

ทัพทหารและม้า 50,000 ของชูเกอเสี่ยวหยูแยกออกเป็น 16 กลุ่ม แปรขบวนเป็นรูป ‘แปดประตูเหล็ก’ ที่นางคิดค้นขึ้น โถมโจมตีเข้าใส่ กองทัพอาณาจักรต้าฟงที่เคยเป็นรูปขบวน จนตอนนี้เริ่มเกิดความปั่นป่วนเล็กน้อย จากนั้นกลายเป็นความอลม่าน ถูกบีบคั้นให้ล่าถอยทีละก้าว อาวุธเหวี่ยงวาดจนกระทั่งตะวันตกดิน กองทัพอาณาจักรต้าฟงส่งสัญญาณให้ล่าถอยในที่สุด กองทัพอวิ๋นหัวที่เหลืออยู่และกำลังเสริมของชูเกอเสี่ยวหยูก็ถอยกลับเข้าไปในเมืองเช่นกัน



<<<PREV    .    NEXT>>>