วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 417

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 417 เซียวรั่ว

หนิงเสวี่ยไม่ทันได้เล่นกับซือเฉินมากนัก ก็เห็นเย่หวูเฉินเบนสายตา เซียงเซียงและซือเฉินกลายเป็นแสงหายเข้าไปในร่างของเขา จากนั้น ประตูห้องถูกเปิดเข้ามาด้วยสายลมอ่อนโยน ร่างบอบบางชวนฝันเข้ามาอย่างเงียบงัน ประตูห้องยังปิดลงเงียบๆ


“เทพธิดาฉุ่ย การเคลื่อนไหวของท่านในเมืองเทียนหลงสมควรทำให้ฉุ่ยหยุนหลันสงสัย” เย่หวูเฉินนั่งกายตรง วางหนิงเสวี่ยไว้บนตัก แล้วเริ่มช่วยนางแต่งกาย

ฉุ่ยเมิ่งฉานกล่าวตอบ “สำนักถูกทำลายลงย่อยยับ ยามนี้เขากำลังรักษาอาการบาดเจ็บ ทั้งยังเริ่มเรียกบุคคลสำคัญที่กระจายอยู่ทั่วทวีปเทียนเฉินให้ไปรวมตัวกันที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อประชุมเรื่องสำคัญ ถึงแม้เขาจะสงสัย แต่ช่วงนี้ย่อมวุ่ยวายจนไม่อาจใส่ใจ”


“ข้าได้รับข่าวว่า มีคนจำนวนมากมุ่งหน้าไปยังสถานที่พำนักของฉุ่ยหยุนหลัน ประสบหายนะร้ายแรงปานนี้ หากไม่รีบรวมตัวให้เร็วที่สุดก็คงนับว่าแปลก แต่เช่นนี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยม ไปบอกบิดาของท่าน ว่าทุกสิ่งที่เขาสูญเสีย เขาสามารถนำมันกลับคืนด้วยมือตัวเอง” เย่หวูเฉินหยุดเสียงเล็กน้อย ถอนหายใจบาง กล่าวคำแฝงความนัยต่อทันที “ดูแลแม่ของท่านให้ดีด้วย”


ฉุ่ยเมิ่งฉานได้ยินบางอย่างแปลกๆ คิ้วเรียวงามยกขึ้นและโพล่งถาม นางถามสองครั้งติดกัน ทว่าเย่หวูเฉินเอาแต่ช่วยหนิงเสวี่ยแต่งตัวอย่างจดจ่อ ทำเป็นไม่ได้ยินนาง ทำให้นางต้องยอมแพ้


..................


.................


ตอนเหนือของอาณาจักรเทียนหลง ดินแดนที่ถูกลืม


ระหว่างการนั่งบำเพ็ญ กลิ่นอายของฉู่ชางหมิงมิได้หลุดรั่วแม้แต่น้อย คนทั้งร่างราวกับกลืนเข้ากับสรรพสิ่งในโลกเป็นอันเดียวกัน เวลานี้เอง หลังจากนั่งมาครึ่งวันเขาก็ลืมตาขึ้นฉับพลัน มองยังร่างที่ปรากฎตัวขึ้นเบื้องหน้ากะทันหัน ความตกตะลึงฉายวาบในแววตา


เป็นหญิงสาวอายุราว 15-16 ปี ที่ดูประหลาด ผมดำขลับคล้ายชุ่มน้ำยาวสยาย สิ่งแรกที่สะดุดตาคือสายตานาง ดวงตานางงดงามอย่างยิ่ง คู่นัยน์ตางามล้ำดุจสระน้ำลึก สะอาด กระจ่าง และงดงาม ขอบโครงใบหน้างามชดช้อย ริมฝีปากแบบบางสีเชอร์รี่ คางบางโค้งขึ้นได้รูป แสงส่องผ่านพุ่มใบไม้กระทบร่าง ดูสว่างละเอียดอ่อนดุจหยกสลัก ไร้ฝุ่นธุลีแปดเปื้อน หากมิใช่เพราะนางสงบราบเรียบเกินไป นี่สมควรเป็นสตรีงามล่มอาณาจักรคนหนึ่ง


นี่มิใช่ความเย็นชาที่ผลักไสผู้คน แต่เป็นความสงบที่ดูคล้ายไร้ความรู้สึกใดๆ


เห็นได้ชัดว่านี่คือหญิงสาวที่ยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทว่าหญิงสาวผู้นี้ ฉู่ชางหมิงกลับรู้ตัวต่อเมื่อนางเข้ามาใกล้และจงใจทำเสียง มือของนางกุมฝักกระบี่ซึ่งคาดอยู่ที่เอว ฝักกระบี่บางมาก เห็นได้ชัดว่านี่เป็นกระบี่ที่เรียวบางยิ่ง


“เจ้าเป็นใคร?” ฉู่ชางหมิงมิได้ลุกขึ้น เขาถามออกไปอย่างราบเรียบ


“....ข้ามาตามหาคน” หญิงสาวเริ่มพูดจา กระทั่งน้ำเสียงอ่อนนุ่มยังคงไร้วี่แววของอารมณ์


“โอ้? ผู้ใดรึ?” ฉู่ชางหมิงถาม


“หลงเซียว”


“เขาไม่อยู่ที่นี่” หนึ่งในแซ่ ‘หลง’ ผู้นี้ทำให้ฉู่ชางหมิงหรี่ตาลงเล็กน้อย ทว่าเขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน


“ 13 ปีก่อน เขามาที่นี่ เขาตื่นขึ้นหลังจากหลับไหลเป็นเวลาสิบปี” สีหน้าของหญิงสาวยังคงราบเรียบขณะกล่าว


แววตาของฉู่ชางหมิงปั่นป่วนในที่สุด เขามองสำรวจหญิงสาวอย่างระวังและถาม “เจ้าเป็นใคร?”


“คู่หมั้นของเขา” หญิงสาวยังคงตอบกลับราบเรียบอย่างผิดธรรมชาติ


“เอาชนะข้าให้ได้ก่อน แล้วข้าจะบอกว่าเขาอยู่ไหน”


ฉับพลันนั้น ฉู่ชางหมิงทะยานร่างขึ้นฟ้า ฝ่ามือยื่นออกคว้ากระบี่เหล็กเปื้อนสนิมที่ไม่ทราบว่าบินมาจากไหน เขาหมุนร่างกลางอากาศ ส่งกระบี่ธรรมดาแทงไปยังร่างของหญิงสาว สามารถทำให้เทพกระบี่นำกระบี่ออกมาใช้ เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นี้ดึงดูดความสนใจของเขาไม่น้อย


ปลายกระบี่ขยายใหญ่ขึ้นในม่านตา หญิงสาวเคลื่อนสายตาขึ้นเล็กน้อย จับจ้องคมกระบี่ที่ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ทว่านางกลับไร้การเคลื่อนไหว จนกระทั่งคมกระบี่ใกล้สัมผัสถูกหน้าผากนาง....


ราวกับสายฟ้าเงียบงันสว่างวาบขึ้น ร่างของหญิงสาวพลิกไปปรากฎอยู่ที่ด้านหลังของฉู่ชางหมิง นางไม่ได้หันกายกลับมา แต่ถามอย่างแห้งแล้ง “เขาอยู่ไหน?”


แขนของฉู่ชางหมิงยังคงยื่นไปเบื้องหน้า อยู่ในท่วงท่าแทงกระบี่ ปลายกระบี่แทงถูกอากาศว่าง เขากลับค้างท่าไว้ไม่เก็บกระบี่กลับ เขาหลับตาลงและกล่าวช้าๆ “ทางใต้ เขาอยู่ในเมืองเทียนหลง ถามคนที่ผ่านไปมาแล้วเจ้าจะรู้เอง”


หญิงสาวไม่กล่าวคำอีก หันกายและเดินไปยังทิศใต้ตามคำของฉู่ชางหมิง ชุดของนางปักเป็นลวดลายสีชมพู มีเสื้อนอกตัวเล็กๆทับไว้ แขนเสื้อบางกว่าชุดสตรีทั่วไปในทวีปเทียนเฉินมาก ไล่ลงมาเป็นกางเกงสีน้ำเงินแนบชิดจนเห็นสัดส่วนเรียวขาได้ถนัดตา รองเท้าดูแปลกประหลาดเหนือคำบรรยาย.... เครื่องแต่งกายของนาง ฉู่ชางหมิงไม่เคยเห็นมาก่อน


สายลมเย็นโชยแผ่ว นำพาเสียงต้นไม้ขยับไหวบางเบา กระบี่เหล็กในมือฉู่ชางหมิงแยกออกเป็นสี่ส่วนและร่วงลงบนพื้นหญ้า


เทพกระบี่แห่งทวีปเทียนเฉิน พ่ายแพ้เป็นครั้งที่สอง


กระบี่เหล็กในมือเขาถูกทำลายด้วยกระบี่ในมือหญิงสาว ทว่าด้วยพลังของเขา กลับไม่อาจมองเห็นการลงมือของนาง กระทั่งไม่อาจจับสัมผัสใดๆว่านางชักกระบี่ออกจากฝัก


พลังของเขาและตัวนางแตกต่างกันราวกับฟ้าและดิน หากหญิงสาวไม่ได้ทำลายเฉพาะเพียงกระบี่แต่รวมถึงตัวเขา เทพกระบี่ฉู่ชางหมิงแห่งทวีปเทียนเฉินคงถูกสังหารสิ้นชื่อไปแล้ว


ตกตะลึง หญิงสาวอายุราว 16 ปีผู้นี้นำความตกตะลึงสูงสุดมาสู่ชีวิตเขา


“เจ้าบอกชื่อของเจ้าได้หรือไม่?” ฉู่ชางหมิงหันกายมองไปยังแผ่นหลังของนาง และส่งเสียงถาม


“เซียวรั่ว” หญิงสาวไม่ได้หันศีรษะกลับมา ไม่มีการหยุดชะงักใดๆ นางเดินตรงไปขณะกล่าวตอบ


“เซียวรั่ว? เจ้ามาจากไหน?”


ร่างของหญิงสาวห่างออกไปในกลุ่มต้นไม้ที่ขึ้นซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ นางหายลับไปจากสายตา ไร้เสียงใดตอบกลับมา


ฉู่ชางหมิงยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน จากนั้นเงยศีรษะขึ้น เอ่ยพึมพำ “มาจากที่เดียวกับเขา? ที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ลึกลับแบบใดกัน....”


คนหนึ่งหลับไหลนานกว่าสิบปี พอตื่นขึ้นมาก็สร้างความสะเทือนไปทั่วทวีปเทียนเฉิน ส่วนอีกคนพลิกร่างครั้งเดียวก็ทำให้เขาพ่ายแพ้


หลงเซียว.... นั่นคือชื่อจริงของเขางั้นหรือ?


......................


......................


เวลาเคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็วภายใต้บรรยากาศอึมครึม กองทัพอาณาจักรเทียนหลงได้ไปถึงยังขอบชายแดน เงาทะมึนแห่งสงครามบีบคั้นหัวใจผู้คนนับไม่ถ้วน ตระกูลเย่ยิ่งจมจ่อมอยู่ในความกังวล แน่นอนว่าไม่รวมถึงเย่หวูเฉิน ทุกวันหนิงเสวี่ยจะดันรถเข็นพาเขาออกมาอาบแดด หรือไม่ก็คลอเคลียอยู่ในห้องกับฮั่วฉุ่ยโหรว ทุกวันแสนสุขสำราญใจ อย่างน้อยในสายตาคนนอกก็มองเห็นเป็นแบบนั้น


วังหงส์เหิน ครั้งหนึ่งเคยเป็นวังเล็กๆขององค์หญิงเฟยฮวง หากนับแต่องค์หญิงเฟยฮวงกลายเป็นเป็นจักรพรรดินีเฟยฮวง ที่ประทับของนางก็กลายเป็นวังจักรพรรดินี เย่หวูเฉินมายังที่นี่ ในจมูกยังคงได้กลิ่นบางๆที่หลงฮวงเอ๋อร์ทิ้งไว้เบื้องหลัง


เขายังคงนั่งอยู่บนรถเข็นไม้ ถูกเข็นมาโดยหนิงเสวี่ยจนมาถึงที่นี่ เขายังคงอำพรางตัวด้วยวิธีนี้เป็นการชั่วคราว


เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา น้ำเสียงน่ารัก ภาคภูมิ และคุ้นเคย ดังขึ้น “พวกเจ้าถอยออกไปก่อน”


“พะยะค่ะ”


เย่หวูเฉินหันกายมา ส่งยิ้มไปทางทิศประตูวัง


ประตูเปิดออกอย่างนุ่มนวล รองเท้าสีทองชั้นเลิศปักด้วยไหมเป็นรูปทะเลสีคราม เป็นสิ่งแรกที่ก้าวออกมา ตามด้วยร่างงดงามทั้งร่าง


ร่างกายส่วนบนสวมใส่ในชุดสีทอง ปรากฎเส้นส่วนโค้งของทรวงอก ลามลงมาเป็นเอวบอบบางที่เริ่มโค้งได้สัดส่วน บนชุดปักด้วยลายทะเลและท้องฟ้าใสกระจ่าง รวมไปถึงลายหงส์เหิน ด้านนอกคลุมด้วยชุดสีทองตัวใหญ่ เต็มไปด้วยลายคลื่นทะเลที่ปักด้วยไหม ชุดคลุมยาวเลยเข่าลงไป ทุกเส้นสาย ทุกลวดลาย ล้วนปักด้วยไหมและพลอยม่วง สูงส่งเหนือคำบรรยาย เหนือศีรษะสวมมงกุฎจันทร์ครึ่งเสี้ยว รอบวงประดับด้วยอัญมณีรูปดวงดาว ส่งแสงระยิบงดงาม


ยามนี้ หลงฮวงเอ๋อร์สลัดภาพองค์หญิงน้อยจอมเจ้าเล่ห์และไร้เหตุผลจนหมดสิ้น คิ้วบางดุจพระจันทร์เสี้ยว นัยน์ตางดงามแฝงความภาคภูมิ ริมฝีปากสีชมพูแบบบาง สง่างามและน่าเคารพ รูปลักษณะปรากฎเป็นจักรพรรดินีผู้สูงส่งอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากตกแต่งในเครื่องราชย์ของจักรพรรดิแล้ว นางดูโตเป็นผู้ใหญ่เกินวัยเป็นอย่างมาก


เมื่อเห็นเย่หวูเฉิน แววตาภาคภูมิก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย เปลี่ยนเป็นร่าเริงดีใจไร้สิ้นสุด ไม่รักษาท่าทางสูงส่งของจักรพรรดิ รีบจ้ำเท้าโยนร่างมาที่เย่หวูเฉินทันที คิ้วเรียวงามยกขึ้นและยิ้มถาม “ดูสิ ข้าดูดีหรือเปล่า?”


ใบหน้าของเย่หวูเฉินชะงักงัน สายตาคล้ายพร่าเลือน ตั้งแต่หลงฮวงเอ๋อร์ปรากฎกายและร่วงลงบนตัวเขา เขาไม่อาจถอนสายตาจากนางได้ราวกับถูกดึงดูด เวลานี้เมื่อเผชิญความคาดหวังของนาง เขาตอบกลับด้วยสี่คำที่เหมาะสมกับนางมากที่สุด


“ยอดเยี่ยมไร้ใดเทียบ”


“ดูดีมากเลย” หนิงเสวี่ยเปล่งเสียงกึ่งอุทาน สองตาจ้องค้างด้วยความตะลึง หลงฮวงเอ๋อร์เติบโตในตระกูลจักรพรรดิ มีเรือนร่างอันงดงาม สืบทอดกลิ่นอายอันสูงศักดิ์ เวลานี้เมื่อแต่งกายด้วยชุดหรูหราเต็มยศ ยิ่งขับส่งความงามจนยากจะเปรียบ


“ฮิ!” หลงฮวงเอ่อร์ยิ้มร่าเมื่อได้รับคำตอบอันน่าพึงใจ จากนั้นบุ้ยปากกล่าว “ชุดกับรองเท้าพวกนี้ใส่แล้วลำบากนัก ข้าอยากถอดพวกมันออกซะตอนนี้”


“ตอนนี้เจ้าเป็นจักรพรรดินี ผู้อยู่สูงสุดเหนือผู้คน เป็นจักรพรรดินีคนแรกในประวัติศาสตร์อาณาจักรเทียนหลง หลายสิ่งต้องค่อยๆปรับตัว” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฮวงเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นจักรพรรดินีจริงๆแล้วสินะ”


“อันที่จริงข้าก็คิดเช่นนั้น เดิมทีตัวข้ากังวลมาก บางครั้งยังรู้สึกราวกับว่าฝันไป แต่พอได้สวมใส่ในชุดนี้แล้ว ข้าสัมผัสได้ถึงความพิเศษบางอย่าง และพอข้านึกถึงคำพูดที่ท่านกล่าวกับข้า ข้าจึงเริ่มปรับตัวอย่างตั้งใจ ทำตามคำที่ท่านบอกกล่าว ว่าจักรพรรดิควรทำสิ่งใด” หลงฮวงเอ๋อร์แย้มยิ้มบนใบหน้าขณะกล่าว เวลานี้ นางดูเหมือนองค์หญิงเฟยฮวงคนก่อน มากกว่าจะเป็นจักรพรรดินี


“ฮวงเอ๋อร์ เจ้าโตขึ้นแล้ว” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาไม่แปลกใจในศักยภาพของหลงฮวงเอ๋อร์ ด้วยคำพูดที่เขาเคยกล่าวกับนาง เช่นเดียวกับชุดจักรพรรดิที่นางสวมใส่ ย่อมโน้มนำจิตใจนางให้เปลี่ยนไป ทำให้นางรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นจักรพรรดิที่แท้จริงโดยไม่ทันรู้ตัว เชื่อว่าในอีกไม่ช้า องค์หญิงเฟยฮวงผู้ดื้อรั้นหัวแข็ง จะกลายเป็นจักรพรรดินีเฟยฮวงผู้กุมอำนาจแท้จริงของโลกใบนี้


หนังสือเล่มยาวปรากฎขึ้นในมือของเย่หวูเฉิน เขาวางมันลงบนมือของหลงฮวงเอ่อร์และกล่าว “แต่ว่า การเป็นจักรพรรดิที่แท้จริงนั้นมีสิ่งที่ต้องทำมากมาย แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องทำทุกสิ่ง ขอเพียงเรียนรู้การมอบหมายงานให้ถูกคน ฉะนั้นสิ่งแรกที่เจ้าต้องทำในตอนนี้ คือทำความเข้าใจเหล่าขุนนางระดับสูงแห่งราชสำนักเทียนหลง”


หลงฮวงเอ๋อร์รับหนังสือมา จากนั้นเปิดดูหน้าแรกด้วยความสงสัย พลิกเปลี่ยนดูหน้าถัดไป ในหนังสือเล่มนี้เขียนบันทึกข้อมูลทุกอย่างของเหล่าขุนนางระดับสูง มีระบุถึงขุมกำลังที่กำไว้ในมือ หน้าที่ที่รับผิดชอบ เวลาที่เข้าสู่ราชวัง พื้นเพรากฐานของตระกูล มีแม้กระทั่งอุปนิสัยและผลงานที่เคยทำ รายละเอียดลงลึกอย่างน่ากลัว หากขุนนางคนใดมาเห็นข้อมูลของตัวเองในบันทึกเล่มนี้เข้า ร่างกายย่อมหลั่งเหงื่อกาฬและตกตะลึงจนหน้าซีดขาวโดยไม่ต้องสงสัย




<<<PREV    .    NEXT>>>