วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 416

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 416 น้ำตาของเสี่ยวหยู

เมฆทะมึนเคลื่อนคลุมทวีปเทียนหลง อาณาจักรต้าฟงเคลื่อนไหวครั้งใหญ่โดยมิได้แยแสสายตาผู้คน สร้างความกังวลใจต่อผู้คนทั้งทวีป ความสิ้นหวังและควันไฟกำลังจะเริ่มขึ้น ทวีปเทียนเฉินไม่เคยว่างเว้นจากสงคราม หากยุคสมัยที่ควันไฟพวยพุ่งทุกทิศทางนั้น นับว่ายากที่จะพบเห็น

หลังจากตระเตรียมการมาหลายวัน กองทัพอาณาจักรเทียนหลงกว่า 800,000 นาย ได้เคลื่อนทัพใหญ่จากเมืองเทียนหลงตรงไปยังสมรภูมิด้านทิศตะวันตก เย่หนู่ผู้ชรายังคงภาคภูมิตลอดกาล รับหน้าที่บัญชาทัพด้วยตัวเอง ติดตามด้วยผู้บุตรเย่เว่ย หลายปีมานี้อาณาจักรเทียนหลงรบกับศึกภายนอกไม่น้อยครั้ง และไม่มีครั้งใดที่ไร้เงาตระกูลเย่

หลงฮวงเอ๋อร์ส่งกองทัพออกจากเมืองเทียนหลงเทียนไกลสิบลี้ด้วยตัวเอง จากนั้น เหล่าขุนนางและพลเรือนนับร้อยต่างหยุดมองพวกเขาเคลื่อนห่างออกไป หัวใจของทุกคนหนักอึ้ง เพราะผลลัพธ์จากการเคลื่อนทัพทำศึกครั้งนี้ คือสิ่งตัดสินชะตาอาณาจักรเทียนหลง กระทั่งหมายถึงความเป็นตาย

หากมีเย่หนู่เป็นแม่ทัพ แน่นอนย่อมไม่ไร้ชูเกอหวูอี้ หากชูเกอหวูอี้เข้าสู่สนามรบ ข้างกายเขาจะต้องมีชูเกอเสี่ยวหยูโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง ยามนี้นางอยู่ในชุดเกราะเงิน คิ้วหลิวขึงขัง กิริยาท่าทางทรนง คู่ดวงตาทอประกายเฉลียวฉลาดมองไปยังเบื้องหน้า ไร้วี่แววหวั่นไหวหรือหวาดกลัว กลับกันนางแทบไม่อาจทนรอที่จะรบกับต้าฟง ทุกวันยามอยู่ที่บ้าน นางจะทุ่มเทคิดค้นสารพัดวิธีเพื่อกำชัยเหนือศัตรู หารูปแบบอัศจรรย์ในการโจมตีปราบศัตรู เพราะนางทราบมานานแล้วว่า ไม่ช้าก็เร็วพวกตนกับพวกอาณาจักรต้าฟงจะต้องเปิดศึกที่แท้จริง เพราะการแปรพักตร์ของอาณาจักรคุยชุย ทำให้ศึกนี้ยากกว่าศึกเมื่อ 20 ปีก่อนอย่างมาก ลำพังแค่กำลังทัพของฝ่ายตรงข้ามก็นับว่ามหาศาลแล้ว

“ขุนพลชูเกอ ขุนพลชูเกอโปรดหยุดครู่หนึ่งก่อน!”

ออกจากเมืองเทียนหลงมาได้ไม่นานนัก ทันใดนั้นที่เบื้องหลังก็มีเสียงร้องตะโกนลอยมา ชูเกอหวูอี้ที่รั้งอยู่ท้ายขบวนทัพหันศีรษะมามอง ชายที่ตะโกนเรียกเขาได้มาถึงตรงหน้า

“ขุนพลชูเกอ ผู้น้อยเย่เอ้อแห่งตระกูลเย่ รับคำสั่งนายน้อยแห่งตระกูลนำของสิ่งหนึ่งมามอบให้กับขุนพลชูเกอ” จากนั้น เย่เอ้อดึงม้วนกระดาษออกจากหลัง และยื่นส่งให้ชูเกอหวูอี้ด้วยความเคารพ

“นายน้อยเย่?” ชูเกอหวูอี้รู้สึกแปลกใจ เขาหันมามองชูเกอเสี่ยวหยู เพียงพบว่านางเมื่อได้ยินคำ ‘นายน้อยแห่งตระกูล’ คิ้วก็กระตุกอย่างเห็นได้ชัด หากนางกลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งใด ไม่สนใจใดๆทั้งสิ้น เขายื่นมือออกรับ ขณะกำลังจะสอบถามก็พลันได้ยินเย่เอ้อกล่าวอย่างรวดเร็ว “นายน้อยฝากถ้อยคำไว้ รบกวนขุนพลชูเกอช่วยมอบภาพนี้ให้กับลูกสาวของท่าน ผู้น้อยไม่ขอถ่วงเวลาเดินทางของท่านอีก ขอกล่าวลาเพียงเท่านี้ ขอให้ขุนพลชูเกอได้รับชัยชนะกลับมา!”

เย่เอ้อนอบน้อมต่อชูเกอหวูอี้อย่างยิ่ง แต่สายตาของเขากลับเหมือนไม่สนใจชูเกอเสี่ยวหยูแม้แต่น้อย ราวกับเห็นทหารธรรมดาทั่วไป เขาควบม้าออกไปไกล หลายปีมานี้ ข้อเท็จจริงที่ว่าชูเกอเสี่ยวหยูออกรบกับบิดามิได้เป็นความลับแต่อย่างใด ไม่มีผู้ใดไม่ทราบเรื่องนี้

“ซู่ว” สายลมเย็นพัดผ่าน เพียงเย่เอ้อจากไป ชูเกอเสี่ยวหยูก็คว้าม้วนกระดาษมาจากมือชูเกอหวูอี้ เขาจ้องตามองและกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง “แค่ก แค่ก สิ่งนี้ของนายน้อยเย่....”

“อย่าพึ่งพูด อย่าพึ่งขัด อย่าพึ่งถาม ข้าจะดูเอง!” ชูเกอเสี่ยวหยูจ้องกลับและแค่นเสียง ตอนนี้ไม่มีเวลาให้หยุดเคลื่อนทัพ รอบข้างมีทหารมากมาย นางแกะเชือกออกและคลี่กระดาษออกช้าๆ หัวใจเต้นรัวเร็ว ในใจก็ส่งเสียงพูดไม่หยุดหย่อนว่า : เขามอบสิ่งนี้ให้กับข้า เขายังจำข้าได้ เขายังไม่ลืมข้า.... ยังไม่ลืมข้าจริงๆ....

ม้วนกระดาษถูกกางออก นี่คือภาพวาด เป็นภาพวาดของหญิงสาวผู้หนึ่ง

หญิงสาวในรูปอายุราว 16-17 ปี สวมใส่ในชุดห่านเหลือง เบื้องล่างเผยรองเท้าลูกปัดครึ่งใบ นางเป็นสตรีงดงามอยู่ในท่วงท่าน่ามอง ใบหน้าบอบบางแต้มหยดน้ำตาเล็กน้อย ถึงแม้จะมีน้ำตา แต่หญิงสาวไม่ได้อยู่ในอาการร้องไห้ ริมฝีปากและคิ้วบรรจุความคับข้องใจ ชูเกอเสี่ยวหยูจับจ้องที่ภาพวาด เป็นเวลาเนิ่นนานไม่อาจเคลื่อนสายตา....

“เอ๋? ลูกรัก นี่เจ้าหรือ? ดูเหมือนนายน้อยเย่จะวาดภาพนี้เพื่อเจ้านะ”

“ฮึก....”

ชูเกอเสี่ยวหยูม้วนพับภาพ หลังจากความโง่งมนางก็ก้มศีรษะเล็กๆลงทันที ไหล่บางสั่นสะท้าน แม้ว่านางจะฝืนข่มกลั้นไว้ แต่เสียงสะอื้นยังลอยแผ่วออกจากปาก นางห้ามน้ำตาไม่สำเร็จ มันหยดย้อยลงบนม้วนภาพบนหลังม้า

ชูเกอหวูอี้ไม่ทราบว่ากี่ปีแล้วที่ไม่เคยเห็นลูกสาวร้องไห้ เวลานี้ด้วยน้ำตาและเสียงสะอื้นทำให้เขาสับสนทันที เขาเข้าใจลูกสาวตัวเองอย่างมาก หากไม่ใช่เสียใจถึงขีดสุด นางจะไม่มีวันหลั่งน้ำตา เขารีบปลอบโยนอย่างร้อนรน “ลูกรัก.... อย่าร้องไห้เลยนะลูก นายน้อยเย่ใช้รูปนี้ยั่วโทสะเจ้าใช่ไหม หรือว่าจะให้พ่อ ข้า.... ข้า....”

ชูเกอหวูอี้เอ่ยคำว่า ‘ข้า’ สักครึ่งค่อนวันก็คงยังไม่ทราบจะหาเหตุผลใดมากล่าวต่อ เขาเอามือตบหน้าผากตัวเองแรงๆทีหนึ่ง กล่าวกันตามตรง เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดภาพๆเดียวถึงทำให้ลูกสาวของเขาร้องไห้ได้ หรือว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลังซ่อนอยู่?

“เขาจำข้าได้.... เขากำลังบอกข้า ว่าเขายังจำข้าได้.... นี่คือภาพข้าเมื่อสามปีก่อนตอนที่ร้องไห้อยู่ต่อหน้าเขา เขาวาดมันอย่างตั้งใจ.... ตั้งใจอย่างมาก ตลอดสามปีที่ผ่านมาข้าไม่เคยได้พบเขา แต่ข้ายังคงจำเขาได้ชัดเจน เขาเองไม่ได้เห็นข้ามาสามปีเช่นกัน.... ข้าในรูปนี้ เหมือนตัวข้าเมื่อสามปีก่อนไม่มีผิด เขาใช้ภาพนี้เพื่อบอกว่าเขายังคงจำข้าได้เป็นอย่างดี ไม่เพียงแค่ไม่ลืมข้าเท่านั้น แต่ยังนึกถึงข้าอยู่บ่อยครั้งในหัวใจ....”

สามปีก่อน ครั้งสุดท้ายที่นางได้เจอเขา นางถูกถ้อยคำไร้หัวใจของเย่หวูเฉินเสียบแทงอย่างเจ็บปวด นางออกจากตระกูลเย่ด้วยความคับข้องและเสียน้ำตา จากนั้นถีบประตูกลับเข้าไปอีกครั้งด้วยน้ำตาเปื้อนหน้า  สาบานด้วยเกียรติของลูกผู้หญิง.... หญิงสาวในภาพวาดคือตัวนางในเวลานั้น คือสามปีก่อนที่เย่หวูเฉินได้เห็นนางครั้งสุดท้าย

ชูเกอหวูอี้จ้องมองอย่างเงียบงัน ทว่าในที่สุดเขาก็คลายใจลง เขากล่าวพลางหัวเราะ “ลูกรัก พ่อรู้ว่านายน้อยเย่ไม่ใช่คนกลับกลอก.... พูดอีกอย่างก็คือ ลูกสาวของข้าช่างโดดเด่น ทำให้เขาแสดงความชมชอบด้วยตัวเองได้ บุตรชายบ้านใดไม่หมายปองก็นับว่าแปลกแล้ว เอาละ เอาละ เจ้าควรดีใจถึงจะถูก อย่าร้องไห้เลย”

ชูเกอเสี่ยวหยูกลายเป็นหูดับ ยังคงสะอื้นปลดปล่อยอารมณ์ ผู้ใดจะรู้ว่าใต้เปลือกนอกของหญิงสาวผู้ไร้กังวล สตรีผู้สัมผัสแรงบีบคั้นมากมายในตลอดสามปี เมื่อเย่หวูเฉินกลับมาเขาไม่แม้กระทั่งมาหาหรือชายตามอง นางย่อมเสียใจเพียงใด นางไม่ได้งามล้ำเหมือนเย่ฉุ่ยเหยาหรือฮั่วฉุ่ยโหรว คิดเพียงว่าเย่หวูเฉินคงไม่มีวันสนใจนาง สามปีผ่านไปยิ่งกลัวว่าเขาจะลืมนางจนสิ้น ลืมว่าคนๆนี้เคยมีตัวตนอยู่ นางอยากไปหาเขา แต่ความยืนกรานฉุดรั้งนางไว้ ความฝันงมงายของหญิงสาวแตกสลายไปเมื่อสามปีก่อน กลายเป็นเศษชิ้นที่ไม่มีวันติดคืน นางออกรบกับบิดา ทุ่มเทความคิดกับการจัดทัพแปรขบวน เพื่อเบี่ยงเบนหัวใจตัวเอง

เวลานี้ เย่หวูเฉินวาดภาพให้นางรู้ว่าเขาไม่เคยลืมนาง ตรงกันข้ามเขาจำนางไว้ในหัวใจมั่น.... สามปี นับเป็นเวลาที่ยาวนาน อารมณ์พุ่งทะลักขึ้นฉับพลัน น้ำตาที่เก็บกลั้นไว้เป็นเวลานานถูกปล่อยออกมาพร้อมความสุข....

“ท่านพ่อ พวกเรารีบเดินทัพกันเถอะ.... ข้าอยากเอาชนะอาณาจักรต้าฟงให้ได้ไวๆ จะได้รีบกลับมา....”

ชูเกอหวูอี้ “.....”

มองยังแผ่นหลังของลูกสาวตัวเอง เขาพลันตระหนักว่าตอนนี้ลูกสาวของเขาโตขึ้นแล้ว เพราะนางไม่เลือกหันหลังกลับไป แต่มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกกับเขาต่อ ทั้งที่นางรู้ว่านี่คือสงครามอันสิ้นหวัง

ในขณะเดียวกัน เย่หวูเฉินเพิ่งตื่นขึ้นจากการหลับ ตอนนี้เป็นยามสายในช่วงเช้า หนิงเสวี่ยยังคงวางศีรษะหนุนบนแขนเขาโดยมิได้ตื่นขึ้น

“พวกเขาออกจากเมืองเทียนหลงไปแล้ว” เย่หวูเฉินมองไปยังทิศตะวันตก วันนี้เย่เว่ยและเย่หนู่ออกจากบ้านร่วมคณะเดินทางไปยังทิศตะวันตก หลายวันมานี้ ไม่ทราบว่าหวังเวิ่นชูแอบร้องไห้ปาดน้ำตามาแล้วกี่ครั้ง สงครามครั้งนี้ต่างออกไป หากพ่ายแพ้ ย่อมหมายถึงความตายเก้าชั่วรุ่น หากชนะ ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมา และสงครามนี้ถูกกำหนดให้ไม่อาจหลีกเลี่ยง

การเคลื่อนไหวของอาณาจักรต้าฟง ดึงดูดทุกความสนใจของผู้คนในอาณาจักรเทียนหลง เรื่องจักรพรรดิสวรรคต และเรื่องตระกูลหลินก่อกบฎถูกโยนออกไปจากสมองชั่วคราว ความจริงเบื้องหลังยังกลายเป็นความลับตลอดกาล ข่าวเรื่องเย่หวูเฉินตาบอดแพร่กระจายอยู่ช่วงหนึ่ง และหลายวันมานี้ มีข่าวลือว่าดวงตาของเขาได้รับการรักษาโดยเทพกระบี่ แม้ว่าเขายังคงมี ‘ร่างกายพิการ’ และยังอยู่เงียบงันภายในบ้านไม่ค่อยออกไปไหน แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษผู้สังหารเทพสงคราม ตำนานของเขามีหลายรูปแบบพิศดารจากเวลาสามปี ซึ่งคนจำนวนมากไม่รู้เลยว่า ความตายหลงหยิน และความตายของตระกูลหลิน รวมถึงจักรพรรดินีขึ้นครองอำนาจ ล้วนเป็นตัวเขาที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง เขาลงมือต่อตระกูลหลินไม่ใช่เพียงการแก้แค้นธรรมดา แต่กระทำร้อยเรียงเป็นสายด้วยกลอุบายใหญ่หลวง

สัตย์สาบานของจักรพรรดินีได้กระจายลามทุ่งอย่างรวดเร็ว ผู้คนล้วนสงสัย บ้างลอบดูหมิ่น หากสิ่งที่มากกว่าคือการสรรเสริญ ผู้คนแสดงความเห็นอย่างปั่นป่วนเพราะสัตย์สาบานของจักรพรรดินี หากจักรพรรดินีสามารถเอาชนะภัยคุกคามสูงสุดนี้ได้ ผู้คนไม่เพียงจะหายแคลงใจในตัวจักรพรรดินี แต่ยังจะสนับสนุนเพียงส่วนเดียว

ทงซินที่อยู่ข้างๆนอนนิ่งอยู่ตรงนั้นเป็นตุ๊กตาน้ำแข็ง ไร้สุ้มเสียงใดๆแม้แต่น้อย เย่หวูเฉินยื่นมือลูบสัมผัสใบหน้านางอย่างเบามือ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ทงซิน พักเถอะนะ หลังจากนี้ เปลี่ยนเป็นข้าได้ปกป้องเจ้าบ้าง”

เสียงขยับตัวปลุกหนิงเสวี่ยให้ตื่นขึ้น นางลุกขึ้นนั่ง ขยี้ดวงตาครึ่งหลับครึ่งตื่น ถามอย่างงัวเงีย “ท่านพี่ สายแล้วเหรอ?”

แสงขาวบางสองสายสว่างขึ้นพร้อมกันบนตัวของเย่หวูเฉิน ซือเฉินปรากฎตัวอยู่ในอ้อมแขนของเย่หวูเฉิน ส่งเสียงหัวเราะนุ่มนวลออกจากปาก หดกายซุกอยู่ในอ้อมอกของเย่หวูเฉิน บนไหล่มีลูกน้องตัวเล็กๆยืนอยู่ กลิ่นหอมจรุงโชยออกมาจากร่างนางบางๆ

“ซือเฉิน!” ความง่วงเหงาหายไปจากหนิงเสวี่ยทันที นางอุทานเรียกเสียงเล็ก ขยับร่างกายส่ายดุกดิกเข้าไปหาซือเฉินที่อยู่ในอ้อมอกของเย่หวูเฉิน สอดมือเข้าไปใต้แผ่นหลังเพื่ออุ้มนาง ครั้งแรกที่นางเห็นซือเฉิน นางแปลกใจด้วยวิธีที่ซือเฉินปรากฎกาย หลังจากนั้นกลายเป็นงมงาย ชื่นชมสิ่งมีชีวิตนี้โดยไม่อาจปล่อยวางได้อีก

“อา....หนิงเสวี่ย” ซือเฉินโบกมือให้หนิงเสวี่ย ใบหน้าไร้เดียงสาประดับรอยยิ้มบางอ่อนหวาน ตัวตนของซือเฉินเป็นความลับในตระกูลเย่ มีเพียงเย่หวูเฉินและหนิงเสวี่ยเท่านั้นที่รู้ ไม่ใช่เย่หวูเฉินไม่อยากให้ตระกูลเย่รู้เรื่องนี้ แต่ให้รู้ไม่ได้ เพราะซือเฉินตอนนี้นอนหลับคราวละสิบวัน นางหลับเหมือนเซียงเซียงคืออยู่ในร่างเขา จนถึงตอนนี้ เย่หวูเฉินยังคงไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้วร่างกายของซือเฉินซ่อนความลับใดไว้ เขาทำได้เพียงค้นหามันอย่างเงียบๆ



<<<PREV    .    NEXT>>>