วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 422

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 422 ชำระ

ฉุ่ยหยุนหลันเคลื่อนสายตาไปยังจักรพรรดิมารอย่างยากลำบาก จากนั้นหลับตาลงช้าๆ ระหว่างนั้น กระบี่ตัดดาราเปลี่ยนเป็นแสงทองพุ่งกลับสู่หน้าผากจักรพรรดิมารต่อหน้าผู้คน ร่างของฉุ่ยหยุนหลันร่วงปวกเปียกลงพื้นทันที ไร้พลังชีพอีกแม้แต่น้อย หยกจักรพรรดิใต้ยังหยุดกระพริบแสงเรืองรองลง

“ท่านประมุข.... หลันเอ๋อร์ หลันเอ๋อร์!!” ฉุ่ยเสวียนฟงฝีเท้าแข็งชะงัก เดินมาถึงและฟุบลงที่ร่างของฉุ่ยหยุนหลัน ส่งเสียงโหยหวนด้วยความโศกเศร้าล้ำลึก

“ทำไมถึงฆ่ามัน?” ฉุ่ยหยุนเทียนหันศีรษะออก ใบหน้าแข็งทื่อขณะกล่าว

“การตายเช่นนี้ถือเป็นเกียรติของมันแล้ว เรื่องทุกอย่างให้ยุติลง ข้าไม่อยากเห็นเจ้าผู้ทรมานมากว่า 23 ปี ต้องหัวใจบิดเบี้ยวเพราะคลั่งแค้นไม่ละวาง ข้าพรากชีวิตมันก็เพื่อเจ้า และหวังว่าเจ้าจะไม่เก็บเป็นอารมณ์” จักรพรรดิมารกล่าวช้าๆ น้ำเสียงธรรมดาหากแฝงพลังแห่งจิตใจไว้

หัวใจราวกับถูกทิ่มแทง ฉุ่ยหยุนเทียนรู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นรดราดศีรษะ รีบฟื้นคืนจากสภาพปั่นป่วนทันที มือกุมที่ทรวงอก ปรับระงับลมหายใจ เหลือบมองซากร่างของฉุ่ยหยุนหลันปราดหนึ่ง เคลื่อนสายตาออกและถอนหายใจ “ข้าหน้ามืดตามัวยิ่งนัก ขอบคุณนายท่าน มันตายลงแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นอันจบลง.... จบลง”

ฉุ่ยเสวียนฟงร้องไห้โหยหวน ทว่าผู้คนล้วนได้ยินชัดเจนว่าฉุ่ยหยุนเทียนเรียกจักรพรรดิมารด้วยคำว่า “นายท่าน” สร้างความสั่นสะท้านในใจผู้คน

“ฉุ่ยซื่อซ่าย ข้าไม่อยากลงมือด้วยตัวเอง เจ้ากับพวกอีกสองคน ลงมือจัดการตัวเองซะ” ฉุ่ยหยุนเทียนมองผ่านฝูงคน สายตาตกไปที่ฉุ่ยซื่อซ่ายและพวกอีกสองที่ตอนนี้ใบหน้าหมองคล้ำไม่อาจระงับ พวกมันทั้งสามคน ในอดีตเคยทำร้ายครอบครัวของฉุ่ยหยุนเทียนเช่นกัน แม้ว่าผ่านมากว่า 23 ปี แต่ชื่อและใบหน้าของพวกมัน ฉุ่ยหยุนเทียนล้วนสลักไว้ในใจมั่น

ผู้คนที่มารวมตัวกัน ส่วนใหญ่เป็นหัวหน้าเขตรับผิดชอบต่างๆในทวีปเทียนเฉิน ไม่บ่อยนักที่จะติดต่อกัน แม้ว่าเป็นคนของสำนักจักรพรรดิใต้เหมือนกัน แต่ความผูกพันฉันมิตรนั้นเบาบางยิ่ง เวลานี้จึงไร้ผู้ใดร้องขอความเมตตาให้กับพวกมัน และด้วยพวกมันติดต่อเกี่ยวข้องกับสำนักจักรพรรดิเหนือ สร้าง ‘ผงเพลิงวารีอิสระ’ เพื่อใช้วางยาประมุขสำนัก เป็นความผิดใหญ่หลวงที่ถูกเปิดโปง ย่อมไม่มีผู้ใดขอความเมตตาให้กับพวกมัน

สายตาเย็นชาไร้อารมณ์ทำให้ฉุ่ยซื่อซ่ายรู้สึกเย็นเฮือก ราวกับร่วงหล่นสู่ก้นหุบเหว เพียงแค่การยืนนิ่ง ก็ล้วนทรมานอย่างยากจะทานทนในทุกวินาทีที่ผ่านไป

ในที่สุด ทั่วร่างมันก็สั่นเทิ้ม ทวารทั้งเจ็ดมีเลือดไหลซึมออกมาช้าๆ มันร่วงลงกับพื้นอย่างรุนแรง สองคนที่อยู่เบื้องหลังผงะเท้าถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ในที่สุดก็ถอนลมหายใจเฮือกยาว ระเบิดพลังหยกวารีสังหารตัวเอง ด้วยวาจาไม่กี่คำของฉุ่ยหยุนเทียน พวกมันไร้ทางเลือกนอกจากฆ่าตัวตายเท่านั้น สำหรับฉุ่ยหยุนเทียนแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตัวมันที่เพิ่งหวนกลับมา ยามนี้ได้ครองอิทธิพลใหญ่หลวงของสำนักจักรพรรดิใต้ไว้แล้ว ด้วยเหตุผลสำคัญสองข้อ คือหนึ่งอาวุโสทมิฬและอาวุโสเหลืองล้วนยืนอยู่ฝ่ายมัน และสองคือมันมีจักรพรรดิมาร

“นายน้อย ขบถฉุ่ยหยุนหลันตกตายแล้ว นับแต่นี้ต่อไปท่านคือประมุขสำนักจักรพรรดิใต้ของพวกเรา สำนักของพวกเรายามนี้ทุกย์ยากจากหายนะครั้งใหญ่ หวังให้ท่านประมุขช่วยชี้ทาง นำพาสำนักของพวกเราให้หลุดพ้นจากความยากลำบาก พวกเราทั้งสำนักตั้งแต่สูงยันต่ำ ขอสาบานจะต่อสู้จนตัวตาย ถวายความภักดีต่อท่านประมุข ไม่มีวันแบ่งใจออกห่าง เพื่อปลอบโยนดวงวิญญาณบนสวรรค์.... ของอดีตท่านประมุข!”

ฉุ่ยม่านโล๋ว และ ฉุ่ยม่านเฉิง ประกาศออกมาอย่างตื่นเต้น คุกเข่าต่อกันเป็นทอดๆ สำนักจักรพรรดิใต้ทุกผู้ที่อยู่ในฉากล้วนก้มคำนับตามกัน เปล่งเสียงเรียกฉุ่ยหยุนเทียนดังลั่นว่า “ท่านประมุข” ตัวมันสมควรเป็นประมุขสำนักจักรพรรดิใต้มาแต่แรก ทว่าหายนะที่ประสบ ทำให้เวลาถูกเลื่อนออกไปกว่า 23 ปี

“ลุกขึ้นเถอะ” ฉุ่ยหยุนมือผายมือยกขึ้น “พี่น้องทั้งหลายคุกเข่าคำนับให้กับข้าโดยไม่ลังเล แม้ว่าสำนักจักรพรรดิใต้ประสบความทุกข์สาหัส แต่ความยากลำบากครั้งนี้แท้จริงมีเหตุผล ไม่ว่าช้าหรือเร็ว วันหนึ่งย่อมมาถึง ตอนนี้มีใครทราบบ้าง ว่าเหตุใดสำนักของพวกเราจึงเผชิญเรื่องทุกข์ยากในครั้งนี้?”

“เรื่องนี้....” เหตุผลที่ทำให้พวกมันทุกข์ยาก ผู้คนกำลังสับสน ยังมีเหตุผลใดที่พวกมันยังไม่ทราบ?

“บรรพชนบนฟ้าเคยพร่ำสอน ให้สำนักจักรพรรดิใต้ตามหากระบี่หนานฮวงและนายของมันตลอดชั่วชีวิต หากวันหนึ่งได้พบเจอ ให้ทั้งสำนักถวายความภักดี ไม่มีวันคิดทรยศ เรื่องนี้บันทึกอยู่ในหน้าแรกของตำราบรรพชนสำนักจักรพรรดิใต้ ตอนนี้ยังมีผู้ใดยังจำได้บ้าง?” ฉุ่ยหยุนเทียนปราดตามองไปรอบๆทันที น้ำเสียงเย็นเยียบลงเล็กน้อย

เงียบ มีแต่เพียงความเงียบ ถ้อยคำเหล่านี้ถูกโยนออกจากสมองของพวกมันเมื่อนานมาแล้ว กระทั่งคิดว่าเป็นเรื่องตลก สำนักจักรพรรดิใต้ของพวกมันเลิกสนใจตามหากระบี่หนานฮวงมาหลายปีแล้ว ทว่ากลับกระจายขุมกำลังไปทั่วทุกมุมในทวีปเทียนเฉิน เหยียบย่างฝีเท้าเตรียมการครอบงำโลก

“ท่านประมุข พวกเรา....”

“ถูกต้อง ทุกคนลืมจนหมดสิ้น ทุกสิ่งที่ทุกคนกระทำ ล้วนเป็นสิ่งที่บรรพชนสั่งห้าม! จงรู้ไว้ว่า นี่คือข้อความที่เขียนไว้ในหน้าสุดท้ายของตำราบรรพชน ‘เชื่อฟังสวรรค์ประทานพร ฝ่าฝืนเผชิญรับทัณฑ์สวรรค์!’”

เผชิญรับทัณฑ์สวรรค์.... สี่คำประดุจเหล็กฟาดเข้ากลางดวงใจผู้คน กระบี่หนานฮวง และ คันศรเป่ยตี้ ปรากฎขึ้นต่อเนื่องตามกัน เป็นข้อพิสูจน์ยืนยันว่าตำนานไม่ใช่เรื่องหลอกลวง คำสั่งสอนของบรรพชนย่อมไม่ได้ผิดพลาด.... หายนะที่ร่วงลงจากฟ้า ทำลายรากฐานสำนักจักรพรรดิใต้จนย่อยยับ นี่ไม่ใช่ทัณฑ์สวรรค์หรอกหรือ!

ฉุ่ยหยุนเทียนถูกตัดลิ้นอย่างเห็นได้ชัด ถูกกักขังอยู่ใต้ดินมาตลอดหลายปี ตอนนี้กลับมีสภาพครบถ้วน ทั้งยังมีพลังแกร่งกล้าน่าอัศจรรรย์ นี่ไม่ใช่สวรรค์ประทานพรหรอกหรือ!

ฉับพลันนั้น ทุกผู้คนล้วนผุดเหงื่อเย็น สิ่งนี้ที่เรียกว่าทัณฑ์สวรรค์ แม้ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะในร่างกายของพวกมัน คล้ายไหลเวียนด้วยโลหิตเทพ

“ท่านประมุข พวกเราทราบแล้วว่าควรทำสิ่งใด” ฉุ่ยม่านโล๋ว เงยหน้าขึ้น พยักหน้ากล่าวอย่างภาคภูมิ จากนั้นหันไปทางจักรพรรดิมาร “จักรพรรดิมาร กระบี่ที่ท่านใช้เมื่อครู่นี้ คือกระบี่หนานฮวงใช่หรือไม่?”

คลื่นสายตาจับจ้องไปที่ร่างจักรพรรดิมาร ลมหายใจแปรเปลี่ยนเป็นสงบเงียบเชียบ จักรพรรดิมารเอ่ยปากกล่าว “ใช่หรือไม่ เจ้ายังไม่รู้คำตอบอีกรึ?”

ทั้งการเรียกหาของฉุ่ยหยุนเทียน ทั้งการสั่นพ้องของหยกจักรพรรดิใต้ต่อกระบี่ ทั้งอักษรคำว่า ‘ใต้’ ที่สลักไว้ รวมทั้งวิธีที่เย่หวูเฉินเก็บกระบี่กลับ แต่ละสิ่งล้วนเป็นข้อพิสูจน์หนักแน่นว่านี่คือกระบี่หนานฮวงในตำนาน แล้วยิ่งทุกข้อรวมกัน ยิ่งเป็นอันยืนยันชี้ขาด

“ถูกต้อง นั่นคือกระบี่หนานฮวง จักรพรรดิมารคือนายแห่งกระบี่หนานฮวง คือจอมราชันแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ของพวกเรา ข้ามาที่นี่ในสภาพสมบูรณ์ได้ เพราะจอมราชันเมตตาช่วยข้าไว้ หากไม่ใช่เพราะกระบี่หนานฮวง ไหนเลยข้าจะหลุดพ้นจากโซ่ตรวนผนึกปีศาจได้” ฉุ่ยหยุนเทียนกล่าวคำด้วยความเคารพสูงสุด “กระบี่หนานฮวงปรากฎขึ้น จอมราชันปรากฎตัวขึ้นเช่นกัน เมื่อมีจอมราชัน พวกเราย่อมผ่านพ้นเรื่องทุกข์ยากนี้ไปได้ นี่คือลิขิตชะตาของพวกเรา ในเมื่อพวกเจ้าปรารถนาเรียกข้าเป็นประมุข เช่นนั้น พวกเจ้าปรารถนามอบความภักดีต่อจอมราชันตลอดไปหรือไม่?”

เงียบ ยังคงเงียบกริบเหมือนก่อนหน้า

จักรพรรดิมารลอยลงจากฟ้าช้าๆ หยุดลงที่พื้นเบื้องหน้าผู้คน กวาดสายตามองปราดหนึ่ง กล่าวคำเรียบเรื่อยแต่หนักแน่น “เราจักรพรรดิจะยังไม่ให้พวกเจ้าเรียกเราว่าจอมราชันในตอนนี้ อยู่ๆพวกเจ้าคงไม่อยากถูกใครบางคนควบคุมอิสระของชีวิตและออกคำสั่ง แต่อีกไม่นาน พวกเจ้าจะสมัครใจเรียกข้าเป็นนายด้วยตัวเอง”

จักรพรรดิมารเมื่อกล่าวจบก็พุ่งร่างขึ้นฟ้าโดยไม่สนใจผู้ใด หายไปจากเส้นสายตาของผู้คนอย่างเงียบงัน

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ราวกับฝันไปไม่ใช่ความจริง เดิมทีสำนักจักรพรรดิใต้รวมตัวเร่งด่วนเพื่อประชุม หากคิดไม่ถึงเลยว่า เรื่องราวความจริงอันน่าตกตะลึงจะเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นสาย จักรพรรดิมารได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งสูงสุดในทวีปเทียนเฉิน เป็นบุคคลที่โหดเหี้ยมสุดเช่นกัน หากมันเป็นจอมราชันของสำนักจักรพรรดิใต้จริงๆแล้ว.... ด้วยพลังของมัน ด้วยสำนักมารของมัน หากสำนักจักรพรรดิใต้อยู่ภายใต้การชี้นำ ต่อให้ยามนี้ประสบหายนะใหญ่หลวง ย่อมไม่มีสิ่งใดต้องกังวลอีก

บางที นี่อาจเป็นคนที่ถูกส่งมาเพื่อกอบกู้สำนักจักรพรรดิใต้

อย่างไรก็ตาม พวกมันไม่อาจไม่สนใจได้ จากข่าวที่ได้ยินมา คันศรเป่ยตี้ที่สำนักจักรพรรดิเหนือตามหา ไม่ใช่ว่าอยู่ในมือจักรพรรดิมารด้วยเช่นกันหรอกหรือ?!

.....................

.....................

เวลานี้ ราตรีเงียบสนิทดุจป่าช้า ณ สถานที่แห่งหนึ่งในอาณาจักรเทียนหลง ตระกูลซีเหมิน หนึ่งในสี่ตระกูลเวทย์อันยิ่งใหญ่แห่งเทียนหลง

เงาร่างหนึ่งอาศัยม่านรัตติกาลอำพรางตัว ย่างกรายตรงไปที่ตระกูลซีเหมินอย่างเงียบเชียบ นับแต่ตระกูลซีเหมินประกาศข่าวงานประมูล ทุกวันมีกลุ่มโจรหลายคณะมาเยี่ยมเยือน แน่นอนว่าตระกูลซีเหมินย่อมเตรียมการรับมือไว้ มียอดฝีมือมากมายคอยประจำการอยู่ตลอดเวลา ยอดฝีมือเหล่านี้มิได้มีเพียงคนของตระกูลซีเหมิน แต่ยังมีคนของตระกูลตงฟาง , ตระกูลหนานกง และตระกูลเป่ยหมิง เห็นได้ชัดว่าทั้งสามตระกูลส่งคนมาช่วยเหลือตระกูลซีเหมิน

พรุ่งนี้เป็นวันประมูล เมืองที่อยู่ใกล้ตระกูลซีเหมินมากที่สุดตอนนี้เต็มไปด้วยคณะเดินทางจากทั่วทวีป เป้าหมายของพวกมันล้วนชัดเจน ทว่าในหมู่พวกมันนั้น แม้ว่ามีส่วนน้อยต้องการได้แผนที่คลังสมบัติในตำนาน แต่ส่วนใหญ่ล้วนอยากเห็นหน้าตาของมัน เล่าลือกันว่า สมบัติที่ฝังไว้มีมากมาย เป็นขุมทรัพย์มหาศาล ถ้อยคำนี้ดูคล้ายกล่าวเกินจริง พวกมันสงสัยในตระกูลซีเหมิน เพราะหากตระกูลซีเหมินมีกระบี่เหล็กอยู่ในมือจริง เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่แสวงหาขุมทรัพย์ที่ฝังอยู่ด้วยตัวเอง แต่กลับนำออกมาประมูล

ทว่าในคืนนี้ โจรชุดดำผู้นี้ต่างจากคนก่อนๆอย่างเห็นได้ชัด ทักษะของมันสูงส่งไม่ธรรมดา ราวกับภูติผีเคลื่อนกายในความมืดไร้เสียงใดๆ เมื่อมันบรรลุถึงกำแพงสูงของตระกูลซีเหมิน ยอดฝีมือที่รายรอบอยู่ล้วนไม่มีผู้ใดรู้สึกตัว

ตระกูลซีเหมินกว้างขวางอย่างมาก สามารถเทียบได้กับหมู่บ้านหนึ่ง รูปแบบแผนผังยังสลับซับซ้อน ตั้งแต่ข่าวการประมูลถูกประกาศออกไป การคุ้มกันยิ่งแน่นหนาอย่างน่ากลัว แทบจะเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า ขณะลัดเลาะผ่านอาคารและถนนอันสลับซับซ้อน เงาร่างนั้นมิได้ส่งเสียงใดๆ มันตรงไปทางเหนือโดยไม่หยุดพัก ทุกแห่งที่ผ่านไม่ถูกผู้ใดตรวจพบ การเคลื่อนไหวของมัน ราวกับว่าคุณเคยกับแผนผังภายในตระกูลซีเหมินเป็นอย่างดี

แสงสลัวของกลางคืนคือสิ่งอำพรางชั้นยอด แต่หากมียอดฝีมืออยู่ที่นี่ พวกมันย่อมมองเห็นชัดเจนดุจเวลากลางวัน ด้วยทักษะน่าตะลึงที่คนผู้นี้แสดงออกมา ทำให้ผู้คุ้มกันตระกูลซีเหมินแทบไม่มีหวังตรวจพบตัวมันได้เลย

นี่คือทางเดินใต้ดินของตระกูลซีเหมินซึ่งคนนอกไม่มีทางรู้ เป็นอุโมงค์ซึ่งทอดยาวมาก โดยปกติภายในอุโมงค์จะเป็นแผ่นผืนสีดำ มียามไม่กี่คนเฝ้าอยู่หน้าทางเข้า ทว่ายามนี้มันกลับสว่างโร่ ทุกสามก้าวมีตะเกียงเวทย์สองดวงแขวนอยู่ ใต้ตะเกียงแต่ละดวงมียามเฝ้าถือศาตราประจำที่ ตัดสินจากกลิ่นอายของพวกมันแล้ว คนเหล่านี้ย่อมไม่ใช่คนไร้พรสวรรค์

ทางเดินใต้ดินลึกอย่างมาก มีทางเข้าออกเพียงทางเดียว เป็นรูปแบบอุโมงค์แนวตรงยาว และยามเฝ้าก็คุ้มกันหนาแน่น กระทั่งยุงยังหวังบินผ่านอย่างยากเย็น มนุษย์ยิ่งไม่มีหวังบรรลุได้

ทว่าคนผู้นี้ กำลังจะลบล้างความเป็นไปไม่ได้ดังกล่าว

ไม่ทราบมันปรากฎตัวที่ปากทางเข้าตอนไหน หลังจากหยุดยืนเพียงชั่วฟ้าแลบ ร่างของมันก็หายไปทันที.... อันทีจริงไม่ได้หายไป แต่ความเร็วของมันเหนือล้ำสุดกู่ ยิ่งกว่านั้นระหว่างลิ่วร่างยังมีพลังประหลาดอำพรางกายไว้ ภายใต้ความเร็วไม่อาจหยั่งวัด ที่ไม่ว่าผู้ใดต้องตื่นตระหนก มันผ่านฝูงคนในอุโมงค์ แล่นร่างเหนือหัวยามเฝ้าเหล่านั้นไป มุ่งเข้าไปยังด้านในโดยตรง



<<<PREV    .    NEXT>>>