วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 436

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 436 เผชิญหน้าฆาตกรบนท้องถนน

ทิศตะวันตกของอาณาจักรเทียนหลงพวยพุ่งไปด้วยควันไฟ หากในเวลานี้ สถานที่อันเป็นรากฐานสำนักจักรพรรดิเหนือถูกทำลายด้วยระเบิดครั้งใหญ่ และข่าวสารยังไม่ได้แพร่กระจายไป เหนือท้องถนนของเมืองเทียนหลงในยามเช้าตรู่ มีหญิงสาวประหลาดกำลังเดินช้าๆ ตั้งแต่นางก้าวเข้ามาในเมือง ทุกแห่งหนที่นางเดินผ่านจะต้องมีคนหันมาจับจ้อง

หญิงสาวผู้นี้อายุราว 15-16 ปี อายุยังนับว่าน้อย ทว่ารูปโฉมงดงามเป็นอย่างมาก เพียงชำเลืองตามองก็ต้องตะลึงนิ่งค้างเป็นเวลานาน ทว่าในขณะเดียวกัน ใบหน้านางราวกับไร้อารมณ์ใดๆ.... บางทีนี่อาจไม่ควรเรียกว่าไร้อารมณ์ หากแต่เป็นความสงบที่ไม่เข้ากับวัยนาง ด้วยรูปโฉมและสีหน้าล้วนไม่ควรเป็นของดรุณีเยาว์วัย แต่ควรเป็นของผู้มีประสบการณ์ผ่านโลกมาโชกโชน

ที่เด่นสะดุดตามิได้มีเพียงเฉพาะรูปโฉม แต่เครื่องแต่งกายของนางยังเป็นบางอย่างที่พวกเขาไม่เคยเห็น หากต้องหาคำใดมาอธิบาย ก็คงต้องใช้คำว่า ‘ต่างเผ่าพันธุ์’ ผู้คนบนท้องถนนต่างลอบคาดเดาว่าดรุณีผู้นี้คงมาจากต่างเมือง และนางคงไม่ค่อยได้ออกจากบ้านมากนัก

ฝีเท้าของนางเบามาก เมื่อรองเท้ารูปทรงประหลาดสัมผัสกับผิวพื้นมันล้วนไม่เกิดเสียงใด ราวกับเป็นฝุ่นควันกำมือหนึ่ง มือของนางถือกระบี่เล่มบาง ใบกระบี่เก็บอยู่ในฝักสีเงินจาง กระบี่เพรียวบางมีความยาวไม่ถึงหนึ่งเมตร

ที่แห่งนี้คือเมืองเทียนหลง นางเที่ยวสอบถามจนกระทั่งมาถึงที่นี่ ทว่าตั้งแต่ตอนเหนือจนมาถึงที่นี่ ล้วนไม่มีผู้ใดรู้จัก ‘หลงเซียว’ คนที่นางถามถึง เมื่อใดก็ตามที่นางถามถึงชื่อนี้ ฝ่ายที่ถูกเอ่ยถามต้องแสดงสีหน้าแปลกพิกลทันที

“หลงเซียวอยู่ไหน?” นางหยุดอยู่หน้าแผงขายของบนท้องถนน จากนั้นถามอย่างไร้อารมณ์กับคนผู้หนึ่งซึ่งจ้องมองนางอย่างโง่งมมาได้สักพักหนึ่งแล้ว

คำว่า ‘หลง’ ทำให้คนผู้นั้นตื่นขึ้นจากภวังค์ทันที แซ่หลงในอาณาจักรเทียนหลงคือแซ่ที่ทรงเกียรติภูมิสูงสุด เพราะนั่นคือแซ่ของราชตระกูลผู้กุมอำนาจปกครองอาณาจักรเทียนหลง แซ่หลงดำรงมานับพันปี จักรพรรดิบรรพชนยามก่อตั้งอาณาจักรได้เปลี่ยนชื่ออาณาจักรเป็น ‘เทียนหลง’ ตามแซ่ของตัวเอง ในขณะเดียวกัน แซ่หลงยังเป็นแซ่ต้องห้าม เพราะนอกจากราชตระกูลแห่งเทียนหลงแล้ว จักต้องไม่มีผู้ใดใช้แซ่หลงอีก ดังนั้น ตราบใดที่ใช้แซ่หลง คนผู้นั้นย่อมเป็นคนของราชตระกูล รวมไปถึง ‘หลงเซียว’ ผู้นี้ด้วยเช่นกัน ทว่าชื่อนี้ มันเองก็ไม่เคยได้ยิน

แต่การเรียกชื่อของคนแซ่หลงโดยตรง ย่อมไม่ใช่ความผิดเล็กน้อย

คนผู้นั้นรีบส่ายศีรษะ หญิงสาวหันร่างแล้วเดินออกไปเงียบๆ ปล่อยชายผู้นั้นมองตามแผ่นหลังด้วยความงงงวย

“หลงเซียวอยู่ไหน?”

นางหยุดยืนอยู่หน้าคนที่ผ่านไปมาอีกครั้ง เอ่ยถามอย่างสงบ การกระทำของนางทำให้ผู้คนรอบข้างสะดุ้งเฮือกและรีบก้มศีรษะถอยออกห่างทันที แม้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา แต่คนเหล่านั้นเดินออกห่างได้ไม่ไกลก็หยุดอยู่และมองมาทางนี้ คาดหวังว่าจะได้ชมเรื่องสนุก

ดูเหมือนคราวนี้หญิงสาวจะถามผิดคน ชายที่นางหยุดยืนอยู่ตรงหน้าไม่ได้ให้คำตอบ ทว่ามันมองใบหน้านางด้วยความตะลึงงัน สีหน้าราวกับวิญญาณถูกพรากไป ปากอ้าค้าง น้ำลายพร้อมไหลย้อยออกมาได้ทุกขณะ

ชายหนุ่มผู้นี้อายุราว 20 ปี เป็นนายน้อยตระกูลหนึ่งซึ่งร่ำรวย สูงส่ง และถูกตามใจมาก ในมือถือพัดที่พับไว้ ใบหน้าขาวสะอาดเป็นอย่างยิ่ง หากยังคงมีสีเหลืองบางในความขาวนั้น ในเมืองเทียนหลง นี่ถือเป็นหนึ่งในคนที่มีชื่อเสียง มันมีนามว่าหลี่เซ่อ มีชื่อเสียงเพราะบิดาเป็นขุนนางฝ่ายพิธีการราชวงศ์ อีกหนึ่งเหตุผลคือมันเป็นผู้ที่มากด้วยตัณหา แม้เรื่องชั่วช้าอื่นๆมันไม่เคยทำ แต่เรื่องฉุดคร่าลูกสาวชาวบ้านมันกระทำมานับว่าไม่น้อย ดังนั้นชื่อเสียงของมันจึงฉาวโฉ่อยู่ครึ่งหนึ่ง

ดรุณีเยาว์วัยเลอโฉมอัศจรรย์พาตัวเองมาอยู่ต่อหน้ามัน ผลลัพธ์ย่อมเป็นที่จินตนาการได้ ผู้คนที่ผ่านไปมาบนท้องถนนต่างลอบแสดงความเสียใจ

ดรุณีผู้นี้งามล้ำเลอเลิศ กระทั่งเทพธิดาฉุ่ยเหยาแห่งตระกูลเย่ยังเป็นรองอยู่หลายส่วน หลายปีถัดจากนี้ บางทีความนิยมครึ่งหนึ่งหรือมากกว่าอาจเป็นของนาง ไม่เกินเลยหากจะบอกว่านี่คือโฉมงามหนึ่งในล้าน หลี่เซ่อตกอยู่ในภวังค์ มองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่กระดากอาย ขาทั้งสองข้างแทบอ่อนระทวย

สายตาของมันทำให้หญิงสาวมุ่นคิ้ว หันร่างออกด้านข้างและเดินผ่านมันออกไป เพียงนางเดินได้ไม่กี่ก้าวก็มีเสียงตะโกนตามหลัง “บังอาจยิ่งนัก! ถึงกับกล้าเรียกชื่อบุคคลในราชตระกูลโดยตรง ไปจับตัวนางมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

หลี่เซ่อลืมตัวยกมือขึ้นลูบมุมปาก อีกมือหนึ่งชี้ไปที่แผ่นหลังของสาวน้อยและตะโกนคำสั่ง ชื่อที่หญิงสาวเอ่ยถามกลายเป็นข้ออ้างชั้นเลิศให้แก่มัน

มีหรือคนใช้สองคนที่อยู่ด้านหลังจะไม่เข้าใจความคิดของมัน ทั้งสองยิ้มกริ่มและเดินรุดไปเบื้องหน้าหมายคว้าหญิงสาว.... อายุเพียงเท่านี้ รูปร่างบอบบาง ผู้ใดเล่าจะคาดคิด ว่าคนที่พวกมันหวังจับตัวไม่ใช่หญิงสาวบอบบาง ทว่าคือ.... ปีศาจตัวเป็นๆ!”

ขณะที่มือใกล้สัมผัสถูกร่างของหญิงสาว ฉับพลันมีความรู้สึกเย็นวาบผ่านที่มือ รู้สึกราวกับถูกสายลมเย็นแผ่วพัด และก่อนที่ความรู้สึกนั้นจะหายไป พวกมันก็เริ่มเห็นมือขวาของตัวเองมีรอยตัดอย่างปราณีตตรงข้อมือ และมันค่อยๆร่วงลงบนพื้น

จากมุมมองของคนภายนอก รวมถึงในมุมของพวกมัน ราวกับว่าจู่ๆมือของพวกมันก็ร่วงลง ไร้การกระทำใดๆจากภายนอก หญิงสาวที่พวกมันหวังจับตัวก็ยังคงเดินตรงไปข้างหน้า ไม่มีแม้กระทั่งเหลียวกลับมา

“อ๊าก!!”

เสียงร้องโหยหวนของชายสองคนไม่ได้แฝงมาเฉพาะความเจ็บเสียด แต่ยังแฝงความกลัวสุดขีดที่เห็นมือตัวเองร่วงลงพื้นกะทันหัน พวกมันกุมข้อมือตัวเองและล้มลงพื้น ดิ้นพล่านด้วยความทรมาน ผู้คนหัวใจสั่นไหวด้วยเสียงโหยหวนอันบาดใจ

หลี่เซ่อใบหน้าถอดสีในยามนี้ เห็นมือของคนทั้งสองร่วงลงมากับตา ฉากที่เกิดตรงหน้าล้วนไม่ต่างจากเห็นภูติผี ด้วยสัญชาตญาณของมัน ยามนี้สายตาที่มองหญิงสาวพลันหดวูบและตื่นกลัว

ต่อให้เป็นคนโง่ ก็คงไม่คิดว่ามือของพวกมันร่วงลงมาเอง แต่หากเป็นเพราะมีเหตุผล.... และเหตุผลของเรื่องนี้ สมควรอยู่ที่ตัวหญิงสาว....

เวลานี้เอง ทหารคุ้มกันเมืองกลุ่มหนึ่งได้ยินเสียงร้องโหยหวนจึงเร่งรุดมาทางนี้ หลี่เซ่อที่ตัวสั่นพลันเห็นเส้นฟางให้คว้าทันที มันรีบซ่อนตัวอยู่หลังกลุ่มทหารคุ้มกัน ชี้นิ้วไปที่หญิงสาวและตะโกน “เป็นนาง.... นางจะฆ่าคนบนท้องถนน รีบจับนางเร็วเข้า!!”

สองมือร่วงอยู่บนพื้นและอีกสองคนที่นอนตัวสั่น หัวหน้าทหารคุ้มกันขมวดคิ้วมุ่น ก้าวเท้าออกไปและเอ่ยถาม “เป็นเจ้าที่ทำใช่หรือไม่?”

“เป็นข้า” หญิงสาวตอบกลับแผ่วเบาโดยไม่หันมา คำตอบของนางไม่เพียงทำให้ผู้คนไม่รู้สึกผ่อนคลาย ตรงกันข้ามต่างสูดหายใจเอาอากาศเย็นเยือก

นางเป็นคนทำ? แต่นางไม่ได้หันกายมาสักนิด มือนางเองก็ไม่ได้ขยับ แล้วนางทำได้อย่างไร? หรือนี่จะเป็นภูติผีจริงๆ?

หญิงสาวไม่สนใจอีก เดินตรงไปข้างหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง สายตาสอดส่องมองหาคนที่นางต้องการตามหา

“หยุดนะ....จับนางไว้!”

ทหารคุ้มกันเมืองมากกว่าสิบคนพุ่งไปที่หญิงสาวอย่างรวดเร็ว นางชะงักฝีเท้า จมูกงามพ่นลมบางเบาโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น

นางไม่ใช่คนประเภทชอบสร้างปัญหา อีกทั้งยังไม่ใช่คนโง่ นางเข้าใจดีว่าเมื่อมาถึงยังโลกที่แตกต่างย่อมไม่ควรสร้างปัญหา.... นางรู้ว่าหลงเซียวที่นางตามหาไม่ได้ถูกเรียกว่าหลงเซียวในโลกนี้ แต่นางยังคงถามหาถึงแต่หลงเซียว ด้วยหวังว่าเมื่อชื่อนี้ได้ยินไปถึงหูเขา เขาจะต้องออกมาหานางด้วยตัวเอง นางเชื่อว่าตัวเองจะจำเขาได้ทันทีที่ได้เห็น

อย่างไรก็ตาม นางเกิดมาเพื่อไม่ยอมลงให้แก่ผู้ใด และไม่เคยมีใครล่วงล้ำนาง กระทั่งในโลกที่มีความสามารถระรานนาง ก็ยังไม่เคยมีใครล่วงล้ำ

ดังนั้น ผู้ใดที่คิดละเมิดล่วงล้ำนาง ผลลัพธ์ย่อมมีเพียงหนึ่งเท่านั้น นางไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใด คนเหล่านี้ไม่คู่ควรให้นางกังวล

หากเวลาช้าลงกว่านี้สัก 1,000 เท่า จะเห็นมือซ้ายของนางจับฝักกระบี่อยู่นิ่ง มือขวายกขึ้นกุมด้ามกระบี่ ดึงกระบี่ออกจากฝัก ตวัดไปด้านหลัง สร้างวิถีกระบี่หนึ่งสาย จากนั้นเก็บกระบี่กลับคืนสู่ฝัก

รวดเร็วเกินไป ไม่มีคนธรรมดาใดสามารถมองเห็นการตวัดกระบี่ของนางได้ด้วยตาเปล่า โดยไร้สัญญาณเตือน ทหารคุ้มกันยังไม่ทันคว้ามือออก สามคนด้านหน้าที่อยู่ใกล้หญิงสาวมากที่สุดก็ร่างขาดออกตรงเอว ร่างกายส่วนบนร่วงตกลงพื้น ร่างกายส่วนล่างยังคงวิ่งต่อไปอีกเล็กน้อย เมื่อหมดแรงเฉื่อยจึงล้มลงบนพื้น ร่างกายที่แยกออกเป็นสองส่วน ทำให้โลหิตไหลนองบนพื้นอย่างรวดเร็ว

นางไม่รู้จักว่าอะไรคือความเหี้ยมโหด ไม่รู้จักว่าอะไรคือความเมตตา นางทำร้ายคนบนท้องถนน ทหารคุ้มกันประจำเมืองจึงต้องทำหน้าที่จับกุมนาง แม้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ทว่าสำหรับนางแล้ว นี่เป็นการล่วงล้ำที่ต้องสังหาร

เวลานี้เอง หัวหน้าทหารคุ้มกันเมืองเป็นอีกคนที่หัวใจสั่นสะท้านด้วยความกลัว ความคิดหัวร่อต่อหลี่เซ่อที่สั่นเป็นกระสอบฟางข้าวพลันสลายไปจากใจ

“ไป....ไป! กำจัดนางเดี๋ยวนี้!” เขาขบฟันแน่น ยกกระบี่ขึ้นและพุ่งไปเบื้องหน้าเป็นคนแรก ออกคำสั่งพร้อมกับการลงมือ เผชิญหน้ากับฆาตกรบนท้องถนน

ติ้ง!

หากเวลาช้าลงกว่านี้อีก 1,000 เท่า จะสามารถมองเห็นแสงสีเงินบางตวัดผ่าน

ทั้ง 13 คนพุ่งเข้ามาจากสารทิศ ที่ใกล้สุดอยู่ห่างจากนางราวหนึ่งเมตร ที่ไกลสุดคือราวสิบเมตร ทั้งหมดร่างขาดครึ่งตรงกลาง รวมยอดเบ็ดเสร็จ 16 ศพโดยไม่มียกเว้น ทหารคุ้มกันทั้งหมดตกตายโดยไม่อาจอธิบายได้

ภาพที่เห็นทำให้ผู้คนที่อยู่โดยรอบสงสัยว่าตัวเองกำลังอยู่ในความฝัน

“ผี.... ผี....” หลี่เซ่อล้มพับลงกับพื้นทันที เสือกไสตะกายร่างไปด้านหลัง จากนั้นไม่ทราบว่ามันไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน มันหยัดร่างขึ้นจากพื้น ตัวสั่นเทิ้มวิ่งไปทางขวามือและตะโกน “มีผีอยู่ตรงนี้.... มีผี!!”

หญิงสาวไม่สนใจใดๆต่อมัน ในสายตานาง กระทั่งตัวตลกมันยังไม่อาจเป็นได้ นางเดินตรงไปข้างหน้า ท่ามกลางสายตาสั่นกลัวของผู้คน ทุกแห่งหนที่นางเดินผ่านไร้สายตาตกตะลึงชื่นชมอีก มีแต่คนก้มหัวถอยตัวออกห่างจากนางให้มากที่สุด ไม่มีใครกล้าทำท่าขวางทางนาง

ทิศที่นางกำลังเดินตรงไปนั้น คือทิศทางของตระกูลเย่



<<<PREV    .    NEXT>>>