วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 418

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 418 ฉุ่ยหยุนหลัน , ฉุ่ยหยุนเทียน

“นี่เป็น....ความจริงทั้งหมดเลยเหรอ?” หลงฮวงเอ๋อร์พลิกดูจนทั่วแล้วปิดลง จากนั้นกล่าวด้วยความประหลาดใจ นางเริ่มเข้าใจการปกครอง ดังนั้นจึงรู้ว่าหากจดจำเรื่องพวกนี้ได้ทั้งหมด การควบคุมเหล่าขุนนางย่อมง่ายเหมือนปอกกล้วย กล่าวให้ถูกต้องที่สุดก็คือ หนังสือเล่มนี้บันทึกถึงจุดอ่อนและจุดแข็ง รวมทั้งการรับมือแต่ละคน ยิ่งกว่านั้นยังเน้นควบคุมไปที่จุดตาย

“วางใจได้ ในนั้นทั้งหมดย่อมไม่มีผิดพลาด” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“สวรรค์ ท่านช่างร้ายกาจจริงๆ ที่ข้าถามเมื่อครู่ไม่ใช่เพราะสงสัยท่านนะ ข้าเพียงแค่ประหลาดใจมากเกินไป” หลงฮวงเอ๋อร์อุทานด้วยความแปลกใจในคราแรก จากนั้นลิ้นน้อยๆหลุดปากถามคำ ทำให้ตอนนี้นางค่อนข้างเขินอาย

เย่หวูเฉินยิ้มและส่ายศีรษะ จากนั้นกล่าว “ฮวงเอ๋อร์ จงอย่าลืมคำว่า ‘หัวใจผู้คน’ ไม่ว่าเวลาใด” จากนั้นใบหน้าของเขาอ้อยอิ่งและกล่าวอย่างรักใคร่ “ข้ารู้ว่าเจ้ากลายเป็นจักรพรรดิอย่างกะทันหัน ย่อมรู้สึกอึดอัดใจ หากเจ้าไม่ต้องการเป็นจักรพรรดิจริงๆ....”

“ไม่เลย” หลงฮวงเอ๋อร์ส่ายศีรษะหนักหน่วง ลุกขึ้นยืนและยืดเอวตรง จากนั้นเผยสีหน้าอย่างที่จักรพรรดิควรเป็น กล่าวคำอย่างมีอารมณ์ “เพราะท่านบอกว่าเรื่องนี้สามารถช่วยท่านได้ ทำให้ช่วยผู้คนได้จำนวนมาก ดังนั้น ข้าจะต้องเป็นผู้เก่งกาจที่สุด เป็นสุดยอดจักรพรรดินีผู้เจิดจรัส ข้าหลงฮวงเอ๋อร์เป็นคนรักษาคำพูด ไม่มีทางหลอกลวงผู้อื่นเหมือนกับท่าน....เฮอะ”

เย่หวูเฉิน “.....”

“พี่หญิงฮวงเอ๋อร์ ท่านพี่ไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย” หนิงเสวี่ยประท้วงเสียงแผ่วให้กับเย่หวูเฉิน

เมื่อกลับมาถึงตระกูลเย่ เพียงเย่หวูเฉินก้าวผ่านเข้าประตู เขาได้กลิ่นบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นจึงหยุดฝีเท้าลงเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มุมปากก็เผยรอยยิ้มบางที่แทบไม่อาจสังเกต รอยยิ้มนี้กลายเป็นเย็นเยียบอย่างเงียบงัน แทบในทันที

....................

....................

นี่คือเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้อันห่างไกลในอาณาจักรเทียนหลง ด้านหลังเมืองตั้งอยู่ใกล้ตีนเขา มีสวนขนาดใหญ่อยู่ แม้สวนนี้มิได้ห่างจากตัวเมืองมากนัก แต่ผู้คนในเมืองไม่มีใครมาที่สวนแห่งนี้ จากคำบอกเล่า นี่เป็นสวนของมหาเศรษฐีแห่งเมืองหลงเหยียน เจ้าของจะมาที่นี่ในช่วงฤดูร้อนที่ร้อนจัดของทุกปี ในช่วงเวลาอื่นของปีที่นี่จะเงียบสงบมาก น้อยนักที่จะมีเสียงเล็ดออกมา ในขณะเดียวกัน เบื้องหน้าประตูสวนมียามเฝ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ ผู้คนที่พำนักในเมืองเล็กๆแห่งนี้ส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดา ไม่มีผู้ใดต้องการสร้างปัญหา เมื่อเวลาผ่านไป ชาวบ้านจึงไม่ค่อยผ่านมาที่นี่บ่อยนักนอกจากจำเป็น และยังเพิกเฉยต่อการดำรงอยู่ของมัน

น้อยคนนักที่จะรู้  ว่านี่คือหางเรือย่อยของสำนักจักรพรรดิใต้ เป็นที่ๆใกล้ศูนย์กลางสำนักจักรพรรดิใต้มากที่สุด หลังจากวันที่ฉุ่ยหยุนหลันและฉุ่ยเสวียนฟงรอดพ้นจากความตาย ที่แห่งนี้ก็กลายเป็นสถานที่พักฟื้น เมื่อฉุ่ยหยุนหลันรักษาตัวเสร็จ ข้อความเรียกรวมตัวเร่งด่วนก็ถูกส่งไปยังผู้คนสำนักจักรพรรดิใต้ที่กระจายตัวอยู่ทั่วทวีปเทียนเฉิน

วันนี้ คือวันรวมตัว สำนักจักรพรรดิใต้ประสบคราวเคราะห์สาหัสอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้น ขุมกำลังและเกียรติภูมิถดถอยต่ำสุดในรอบประวัติศาสตร์ ประมุขสำนักไม่ได้ตกตายนับเป็นโชคใหญ่หลวง การเรียกรวมตัวกลุ่มหัวหน้าทุกผู้ทั้งระดับใหญ่ระดับกลาง เพื่อปรึกษาปัญหาอนาคตอันเป็นเรื่องเร่งด่วนในเวลานี้

อย่างไรก็ตาม วันนี้บนท้องถนนในเมืองเล็กๆไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก มีหน้าใหม่ๆเพียงไม่กี่คน ผู้คนในเมืองไม่ทราบเลยว่า ในสวนใหญ่หลังเมืองตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา

ประตูหน้าสวนถูกปิดแน่น สี่คนผู้ไม่ธรรมดายังคงฝืนเฝ้าประตูอย่างเกียจค้าน ไม่มีวี่แววผิดปกติใดๆ ขณะที่ในห้องโถงภายในสวน ตอนนี้มีผู้คนยืนอยู่ด้วยสีหน้าภาคภูมิ หากในหัวใจผู้คนล้วนหนักหน่วงดุจมีหินถ่วงไว้

ฉุ่ยหยุนหลันนั่งอยู่ในห้องโถง ตัวมันยามนี้ไร้อาการอ่อนแอแล้ว ทว่าสีหน้าดูท้อใจอย่างไม่อาจปิดบัง แม้มันพยายามอย่างหนักเพื่อสงบใจผู้คนที่มาชุมนุม แต่ผู้คนล้วนไม่พอใจอยู่ลึกๆ โดยเฉพาะความเชื่อมั่นที่สั่นคลอน ทำให้มันมีปัญหามากมายในหลายวันนี้

ที่นั่งอยู่เบื้องขวาของมัน คือฉุ่ยเสวียนฟงที่มีใบหน้าซีดขาว แม้ว่าภายนอกมันดูไร้อาการบาดเจ็บ แต่จากสีหน้าและกลิ่นอายของมัน ล้วนเป็นข้อยืนยันในข่าวลือที่ว่ามันสูญสิ้นพลังหยกวารีจนหมดสิ้น ทว่าแม้มันจะกลายเป็นคนพิการ แต่สถานะอันเป็นที่เคารพของมันยังคงไม่เปลี่ยนไปเพราะเรื่องนี้

“ท่านประมุข มากันพร้อมแล้วขอรับ” คนผู้หนึ่งแต่งกายในชุดพ่อค้าเข้ามาหาฉุ่ยหยุนหลันและกระซิบกล่าว

ฉุ่ยหยุนหลันพยักหน้าและลุกขึ้นยืน การเคลื่อนไหวของมันดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที สายตาจับจ้องที่ร่าง รอคอยให้เอ่ยคำพูด

อย่างไรก็ตาม ฉุ่ยหยุนหลันกำลังขยับริมฝีปากได้เพียงเล็กน้อย ด้านนอกก็มีเสียงแหบพร่าประหลาดดังเข้ามา “ประมุขแท้จริงแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ยังมาไม่ถึง เหตุใดจึงกล่าวว่ามากันพร้อมแล้ว....”

เสียงแหบพร่านี้ทำให้คนในห้องโถงสีหน้าเปลี่ยนทันที ที่นี่รวมเหล่าหัวหน้าของสำนักจักรพรรดิใต้ ซึ่งเรียกระดมมาจากทั่วทวีปเทียนเฉิน แต่ละคนกุมพลังยิ่งใหญ่ไว้ในมือเทียบเท่าผู้คนนับพันๆ ยิ่งกว่านั้น แต่ละคนคือยอดฝีมือผู้เด่นล้ำ ไม่เกินเลยหากจะกล่าวว่าที่นี่รวมขุมกำลังสูงสุดแห่งสำนักจักรพรรดิใต้เท่าที่มีได้ในยามนี้ ทว่า ยอดฝีมือสำนักจักรพรรดิใต้มากมายกลับไม่มีผู้ใดตระหนักถึงตัวตนของเจ้าของเสียง! ไม่ทราบว่ามันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เหตุใดจึงมาที่นี่ และอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว

ฉุ่ยหยุนหลันสีหน้าทะมึน หมัดขวากำแน่นเหวี่ยงไปยังจุดกำเนิดเสียง แสงสีฟ้าเข้มข้นพวยพุ่งออกไป เพียงเกิดเสียงดัง ‘ปัง’ หลังคาก็เกิดรูเรียบเหนือห้องโถง แสงสว่างลอดส่องเข้ามา ทว่าน้ำเสียงแบบเดิมกลับยังคงลอยมาจากทางนั้น “ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ นี่คือศูนย์กลางสำนักจักรพรรดิใต้ของพวกเจ้า ประมุขสำนักตัวจริงยังไม่ทันออกคำสั่ง เจ้าประมุขตัวปลอมเหตุใดจึงกล้าลงมือทำลาย”

“ผู้ใดเล่นลูกไม้!!”

เสียงตะโกนดังลั่น ชายชราสองคนอายุเกิน 60 ปี ลอยร่างขึ้นกลางอากาศ พุ่งตรงไปยังจุดกำเนิดเสียง สองคนนี้มีชื่อว่า ฉุ่ยม่านโล๋ว และ ฉุ่ยม่านเฉิง คืออาวุโสทมิฬและอาวุโสเหลืองจากบรรดาสี่อาวุโส ฟ้า ดิน ทมิฬ เหลือง แห่งสำนักจักรพรรดิใต้ เป็นอีกสองคนที่บรรลุวิถีเทวะ พวกมันไม่ได้จู่โจม เพราะเพียงพลังที่แผ่พุ่งจากร่างก็สามารถสร้างโพรงใหญ่เหนือศีรษะ ทว่าถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่พบตัวตนใดๆ หากหลบหนีอย่างน้อยต้องมีเสียงบ้าง ทว่าพวกมันกลับยังคงไม่พบสิ่งใด

ความกังวลล้ำลึกแผ่พุ่งขึ้นในหัวใจของผู้คนสำนักจักรพรรดิใต้ พวกมันเพิ่งเจ็บปวดกับหายนะครั้งใหญ่ ตอนนี้พวกมันยังมาเจอบุคคลลึกลับในงานชุมนุมลับ.... ลึกลับยังอาจไม่นับเป็นสิ่งใด ทว่ามันทำตัว ‘ลึกลับ’ ได้ต่อหน้ายอดฝีมือสำนักจักรพรรดิใต้มากมาย พลังของมันย่อมน่าสะพรึงโดยไม่ต้องสงสัย การปรากฎตัวของคนผู้นี้ทำให้พวกมันหวาดกลัวเป็นลูกนก เพราะอดคิดไม่ได้ว่ามันอาจเป็นบุคคลที่ทำลายดินแดนรากฐานสำนักจักรพรรดิใต้ คนผู้นั้นหายตัวไปหลังจากทำลายสำนักจักรพรรดิใต้ลง แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง

ทว่าฉุ่ยหยุนหลันเมื่อได้ยินคำว่า ‘ประมุขสำนักจักรพรรดิใต้ตัวปลอม’ มันรู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นฤดูหนาวรดราดศีรษะ หากสำนักจักรพรรดิใต้ไม่ประสบหายนะใหญ่หลวง มันคงหัวเราะใส่คนที่กล่าวคำพูดนี้ ทว่าเวลานี้ มันพึมพำกับตัวเองด้วยสติเลื่อนลอย “ยังโดนไม่พออีกเหรอ?”

“อย่ากลัวไปเลย จักรพรรดิผู้นี้มิใช่เทพแห่งทวีปเทวะ แต่เป็นมนุษย์เฉกเช่นเดียวกับพวกเจ้า เราจักรพรรดิมาที่นี่ในวันนี้เพื่อมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับพวกเจ้าสำนักจักรพรรดิใต้”

ตอนนี้น้ำเสียงไม่ได้ห่างไกลเหมือนก่อนหน้า แต่อยู่ใกล้และชัดเจน ผู้คนหันไปทางด้านหลังทันที ตกตะลึงเมื่อพบว่าที่มุมขวาของห้องโถง มีเงาร่างสีเงินที่ไม่ทราบปรากฎตัวขึ้นเมื่อใด ใบหน้าสวมไว้ด้วยหน้ากากเงิน นามอันหนึ่งปรากฎขึ้นในใจของแต่ละคน

“จักรพรรดิมาร!”

ไอปราณแกร่งกล้าลดหลั่นกันนับร้อยสายล็อคตรึงที่ร่างจักรพรรดิมาร ยิ่งกว่านั้นคือสายตาที่จับจ้องบนร่างมัน ตราบใดที่มันเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ยอดฝีมือสำนักจักรพรรดิใต้ทั้งฝูงจะลงมือทันที

การปรากฎตัวของจักรพรรดิมารอยู่เหนือความคาดหมายของฉุ่ยหยุนหลัน มันขมวดหัวคิ้ว สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย จากนั้นยืดกายตรงยกมือขึ้นส่งสัญญาณ ทำให้ผู้คนไม่ลงมือวู่วาม มันเชิดศีรษะขึ้นและกล่าว “ข้าก็คิดอยู่ว่าเป็นผู้ใดทรงพลังเหนือล้ำดุจเทพ ที่แท้ก็เป็นจักรพรรดิแห่งสำนักมารนี่เอง หากท่านไม่รังเกียจ เชิญนั่งลงและดื่มชากับพวกเราเป็นอย่างไร?”

“หืม รังเกียจ? บนโลกนี้ ผู้ใดจะกล้ารังเกียจสำนักจักรพรรดิใต้ของพวกเจ้า แต่แย่นักที่แม้ข้าได้มา แต่ก็ไม่อาจร่วมดื่มชาได้ เพราะวันนี้ตัวละครเอกไม่ใช่จักรพรรดิผู้นี้ แต่เป็น....”

ตูม!

แม้ว่าไม่พบการเคลื่อนไหวใดๆของจักรพรรดิมาร แต่เพดานเหนือศีรษะก็ระเบิดออกฉับพลัน มีเงาร่างของสามบุคคลลอยลิ่วลงมา ร่วงลงสู่พื้นห้องโถง ทันทีที่ทั้งสามแตะเท้าถึงพื้น ดวงตาสามคู่ก็จับจ้องที่ฉุ่ยหยุนหลัน แฝงด้วยความชิงชังอันล้ำลึก

กลายเป็นว่ายังมีอีกสามบุคคลที่บุกรุกเข้ามา ก่อนหน้านี้พวกมันไม่ตระหนักถึงตัวตนของสามคนนี้ด้วยเช่นกัน ทว่าในห้องโถงไม่ได้แตกตื่นเพราะเรื่องนี้ ตรงกันข้ามกลับสงบเงียบอย่างน่ากลัว สายตาทุกคู่ตกลงที่บุรุษที่อยู่ตรงกลาง ทั้งสามคนนี้ หนึ่งคือองค์หญิงฉุ่ยเมิ่งฉาน หนึ่งคือฉุ่ยอู๋เชวบุตรชายของประมุข.... ทว่าคนผู้หนึ่งในกลุ่มนี้ นอกจากชุดแต่งกายที่ต่างออกไป ที่เหลือล้วนเหมือนประมุขสำนักไม่มีผิดเพี้ยน หากสายตาที่จับจ้องไปยังประมุขนั้น ไม่ว่าผู้ใดล้วนสัมผัสได้ถึงความชิงชังอันล้ำลึก เป็นความชิงชังที่ฝังลึกถึงกระดูกดำ ไม่มีทางลบเลือนออกไปได้

ฉุ่ยหยุนหลันสีหน้าทะมึน จับจ้องฉุ่ยหยุนเทียนตรงหน้าอย่างเงียบงัน ท่ามกลางความเงียบดุจป่าช้า ในที่สุดมันก็เป็นฝ่ายแรกที่เปิดปาก “เจ้าเป็นใคร?”

สีหน้าของฉุ่ยหยุนเทียนมืดทะมึนยิ่งกว่านับร้อยพันทวี มันขบฟันกล่าวเสียงทุ้มต่ำอย่างยิ่ง “ฉุ่ยหยุนหลัน ข้ารอคอยวันนี้มาตลอด 23 ปี.... ข้าต้องขอขอบคุณสวรรค์ที่ไม่ปล่อยให้เจ้าตายด้วยน้ำมือของเจวี๋ยเทียน เพราะข้าฝันอยู่เสมอ.... ว่าวันหนึ่งจะได้ฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆเองกับมือ!!”

บุคคลผู้เหมือนประมุขสำนักไม่มีผิด มันกลับเรียกประมุขสำนักว่าฉุ่ยหยุนหลัน?

แม้ว่าเรื่องราวผ่านมานานกว่า 20 ปี แต่น้อยคนนักที่ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสฉุ่ยเสวียนฟงมีบุตรชายชื่อฉุ่ยหยุนหลัน มันเป็นบุคคลผู้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนประมุขสำนัก ทว่า 20 กว่าปีก่อน เนื่องจากมันลุ่มหลงฉุ่ยฟู๋เอ๋อร์ภรรยาของประมุขสำนักอย่างงมงาย ถึงขนาดบ้าคลั่งจนคิดสังหารประมุขสำนัก มันสังหารอดีตประมุขฉุ่ยม่านชางและฮูหยินของประมุขได้สำเร็จ ซึ่งหากไม่ใช่ฉุ่ยเสวียนฟงกัดฟันลงโทษมันที่เป็นคนในครอบครัว ประมุขน้อยแห่งสำนักก็คงถูกสังหารโดยมันเช่นกัน.... หลังจากประมุขน้อยยกเรื่องอดีตมิตรภาพกับฉุ่ยเสวียนฟง ‘ฉุ่ยหยุนหลัน’ จึงมิได้ถูกประหัตประหาร ทว่าขังมันไว้ในหลุมใต้ดินเล็กๆเป็นเวลานาน 20 กว่าปี ‘ฉุ่ยหยุนหลัน’ สูญเสียจิตใจและกลายเป็นบ้า ผู้คนสำนักจักรพรรดิใต้เพียงเอ่ยถึงมันบางครั้งยามไม่มีเรื่องใดให้พูดคุย



<<<PREV    .    NEXT>>>