วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 431

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 431 ขุนพลปิงหยุน

ความตื่นตระหนกแผ่ปกคลุมตระกูลซีเหมิน บุรุษ สตรี เด็ก ทุกผู้คนล้วนแตกตื่นอลม่าน โดยธรรมดาตระกูลเวทย์มียอดฝีมืออยู่มากมาย ทว่าพวกมันย่อมรู้จักกำลังของตัวเองดี รู้ว่าไม่อาจเปรียบเทียบสำนักมารและจักรพรรดิมาร ดังนั้นจึงไร้ความคิดที่จะต่อต้าน

หนึ่งนาทีผ่านไป.....

เหนือท้องฟ้าตระกูลซีเหมินเกิดหิมะตกหนักในฉับพลัน หิมะร่วงหล่นปกคลุมตระกูลซีเหมินด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ ถัดจากนั้น จู่ๆหิมะก็กลายเป็นน้ำแข็ง ตระกูลซีเหมินทั้งหมดถูกแช่แข็งเป็นผืนเดียว แล้วระเบิดเป็นเสี่ยงในฉับพลัน..... ในเวลาไม่กี่นาที เสียงระเบิดทำให้ผู้คนต้องสั่นกลัว  ตระกูลซีเหมินที่ดำรงมากว่าพันปี ถูกแช่แข็งและระเบิดออกเป็นเศษชิ้น ถูกลบล้างไม่เหลือตัวตนอีกต่อไป

ไม่มีผู้ใดคิดว่าจักรพรรดิมารเอ่ยปากเพียงแค่ขู่ ทว่าเมื่อตระกูลซีเหมินถูกทำลายหมดสิ้นในชั่วเวลาสั้นๆ ผู้คนก็ต้องตื่นตระหนกสุดขีด พลังสุดขั้วและความเหี้ยมโหดของจักรพรรดิมาร ได้ฝังลึกสู่หัวใจของผู้คนอีกครั้ง

มีกี่คนที่ตกตายในตระกูลซีเหมิน หรือมีกี่คนที่วิ่งหนีออกมาทัน ล้วนไม่มีผู้ใดทราบ แต่เชื่อได้อย่างหนึ่งว่า ต่อให้ตระกูลซีเหมินทุกคนวิ่งหนีออกมาทัน แต่ตราบใดที่ยังมีสำนักมาร ย่อมไม่มี ‘ตระกูลซีเหมิน’ ชื่อนี้อีกต่อไป เพราะหากเปิดเผยชื่อนี้ออกมา ย่อมประสบเภทภัยจากจักรพรรดิมาร มันโหดเหี้ยมไร้หัวใจราวกับเสียสติ เพียงเพราะความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ถึงกับต้องทำลายทิ้งทั้งตระกูล

ในมุมแห่งหนึ่ง คนผู้หนึ่งจดจ้องตระกูลซีเหมินถูกทำลายอยู่เงียบๆ คราแรกมันแสดงสีหน้าซับซ้อน จากนั้นเผยรอยยิ้มถากถาง และจากไปอย่างรวดเร็ว

......................

......................

“ท่านประมุข ตระกูลซีเหมินถูกทำลายโดยจักรพรรดิมารแล้ว” เหยียนเทียนอ้าวกลับไปหาเหยียนต้วนหุน กล่าวรายงานด้วยเสียงต่ำ

“ข้ารู้แล้ว” เหยียนต้วนหุนฟื้นกลับจากอาการครุ่นคิด เอ่ยปากตอบ ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่างและกล่าวเสียงเบา “จักรพรรดิมารมาจริงๆ แต่คิดไม่ถึงตรงที่ตระกูลซีเหมินกลับต้องเผชิญภัยพิบัติ คงเป็นชะตากรรมที่พวกมันไม่อาจหลีกเลี่ยง กระทั่งพวกเรายังแปลกใจ”

“ท่านประมุข ดูเหมือนว่า....” เหยียนเทียนอ้าวก้าวมาข้างหน้าและเอ่ยปาก

“อืม!” เหยียนต้วนหุนพยักหน้าพร้อมกล่าว “ดูเหมือนข้าจะกังวลมากเกินไป เมื่อเป็นเช่นนี้.....” แววตาของเหยียนต้วนหุนสาดประกาย แฝงความตื่นเต้นและเร่งร้อน “กลับไปยังสำนักทันที นำขุมทรัพย์ที่ฝังไว้มาให้หมดในเวลาอันสั้นที่สุด ก่อนหน้านี้ ในเมื่อพวกเรายังสงสัยจักรพรรดิมารได้ และจักรพรรดิมารไม่ใข่คนโง่เง่า แม้มันระบายโทสะลงที่ตระกูลซีเหมิน แต่มันย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าพวกนั้นไม่ได้หลอกลวง ทั้งยังรู้ว่ากระบี่ถูกขโมยไป คนแรกที่มันสงสัยย่อมต้องเป็นพวกเรา”

เหยียนเทียนอ้าวพยักหน้า พวกมันไม่รั้งรออีก เดินทางกลับสู่สำนักจักรพรรดิเหนือทันที การเดินทางเที่ยวนี้ของพวกมันถูกอำพรางอย่างมิดชิด ไร้ร่องรอยทิ้งไว้เบื้องหลัง มีเพียงพวกมันสองคนที่เดินทางมา ตั้งแต่มาถึงจนกระทั่งกลับไป ไม่มีผู้ใดรู้ตัวว่าพวกมันมายังอาณาจักรเทียนหลง

ทว่า นี่เป็นเพียงความคิดของพวกมันเท่านั้น

..................

..................

ไม่ไกลจากบริเวณพื้นที่ตระกูลซีเหมินที่ถูกทำลาย ในห้องลับที่ฝังอยู่ใต้ดิน

“ทำได้ดีมาก” จักรพรรดิมารไพล่มือสองข้างไว้ด้านหลัง หันหน้าเข้าหาผนัง ที่ด้านหลังมีชายหนุ่มคุกเข่าอยู่ด้วยความเคารพ เขาก้มศีรษะลงต่ำ ไม่อาจมองเห็นใบหน้าได้ชัดเจน หากเสียงหายใจยังคงดังชัด เผยให้เห็นว่าหัวใจกระวนกระวายเพียงใด

“ขอบคุณนายท่านที่ชื่นชม” ชายผู้นั้นรีบกล่าวตอบ

“หยกแดงครามสมุทรประจิมชิ้นนี้ พี่สาวของข้าชื่นชมมาก เรื่องนี้ นับว่าเจ้าทำได้ดีทีเดียว” จักรพรรดิมารหันศีรษะมาเล็กน้อย

ชายคนนั้นกล่าวตอบคล้ายตื่นเต้น “ทำให้นายท่านพอใจได้ นับเป็นวาสนาสูงสุดของข้าแล้ว.... หากข้ารู้มาก่อนว่า.... พี่สาวของนายท่านชมชอบ ข้าคงมอบให้กับนายท่านไปก่อนหน้านี้แล้ว”

“เจ้าออกไปได้ ใส่ใจเรื่องการซ่อนตัวของเจ้าให้ดี” จักรพรรดิมารโบกมือ

ชายผู้นั้นรีบลุกขึ้นทันที ไม่กล้าแสดงอาการดื้อดึงแม้แต่เพียงเล็กน้อย ขณะที่เงยหน้าขึ้นมา ปรากฎว่าเป็นนายน้อยแห่งตระกูลซีเหมิน.... ซีเหมินชิง! แม้ว่าอยู่กับจักรพรรดิมารตามลำพังเพียงชั่วสั้นๆ แต่ร่างกายยังคงชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็น เบื้องหน้าเป็นแรงกดดันอันยากจะทานทน แรงกดดันนี้ทำให้มันไม่กล้าคิดขัดขืนแม้แต่น้อย

“เจ้ารู้สถานะของข้า สมควรรู้ว่าหากแพร่งพรายสถานะของข้าออกไป จะมีผลลัพธ์ใดตามมา” จักรพรรดิมารพลันเอ่ยปาก

ซีเหมินชิงที่เพิ่งลุกขึ้นรีบกระแทกเข่าลงพื้นทันที กล่าวคำด้วยความหวาดกลัวจับจิต “ข้าขอสาบานต่อฟ้า หากวันหนึ่งกระทำเรื่องไม่สมควรต่อนายท่าน ขอให้หัวใจเจ็บปวดทรมานเหมือนถูกมดนับหมื่นกัดกิน ตระกูลซีเหมินตั้งแต่สูงยันต่ำตกตายเหมือนหมา ให้บุรุษกลายเป็นทาส ให้สตรีกลายเป็นหญิงนางโลม....”

ซีเหมินชิงสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง รีบถวายความภักดี กล่าวสาบานด้วยคำร้ายกาจสุดเท่าที่จะคิดได้ มันรู้ว่าสำนักมารแข็งแกร่งเพียงใด หากจักรพรรดิมารต้องการฆ่ามันหรือแม้กระทั่งสังหารทั้งตระกูล ย่อมไม่ต่างอันใดกับการเหยียบย่ำไปบนฝูงมด

“ประเสริฐ แน่นอนว่าจักรพรรดิผู้นี้ไม่ได้สงสัยในตัวเจ้า เจ้าออกไปได้”

“ขอรับ นายท่าน” ซีเหมินชิงลุกขึ้นยืน โค้งเอวลงและก้าวเท้าอย่างระวัง ด้วยเกรงว่าจะก่อเสียงดังรำคาญต่อจักรพรรดิมาร

“หนึ่งปีหลังจากนี้ ตระกูลซีเหมินจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง สามปีให้หลัง ตระกูลซีเหมินจะกลายเป็นตระกูลเวทย์ที่ทรงพลังสูงสุดในทวีปเทียนเฉิน ซีเหมินผ่านไปแห่งใด ผู้คนจะต้องครั่นคร้าม”

ซีเหมินชิงเพิ่งก้าวเท้าพ้นจากประตู เสียงของจักรพรรดิมารก็ลอยเข้าหูช้าๆ ซีเหมินชิงปิติดีใจ ตื่นเต้นจนตัวสั่น ขณะที่มันออกไปนั้น มีคนอ้วนผู้หนึ่งเดินสวนทางมา สายตาของทั้งสองสบกันแล้วเคลื่อนออกจากกันทันที

“มีอะไร?” เมื่อชายอ้วนวัยกลางคนก้าวเข้ามา จักรพรรดิมารเอ่ยถามเสียงเคร่งขรึมโดยไม่ได้หันกาย

“เรียนนายท่าน เหยียนต้วนหุนและเหยียนเทียนอ้าวไม่อยู่ในเมืองแล้ว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าพวกมันรีบกลับไปยังสำนักจักรพรรดิเหนือ” ชายอ้วนวัยกลางคนกล่าวตอบด้วยความเคารพ

จักรพรรดิมารครุ่นคิดเงียบงันเพียงชั่วขณะ “หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว เจ้าก็ออกไปได้”

“ขอรับนายท่าน!” ชายกลางคนก้มหัวถอยออกมาอย่างระวัง หลังจากพ้นประตูแล้วจึงกล้าเงยหน้าขึ้นมา.... เป็นใบหน้ากว้างๆธรรมดา จมูกหนา สองดวงตาเล็กหยี หากในแววตากลับแฝงประกายคมกล้า.... ใบหน้านี้เป็นที่รู้จักของคนมากมาย เพราะมันเป็นของผู้ร่ำรวยสูงสุดในทวีปเทียนเฉิน เฉียนก่วนก่วน!

“ปลาฮุบเหยื่อแล้ว” จักรพรรดิมารยังคงหันหน้าเข้าผนัง รอยยิ้มตรงมุมปากห่อหุ้มด้วยความลึกลับ

“ช่างเป็นละครชั้นเลิศ ยอดเยี่ยมไร้ที่ติ สร้างความบันเทิงได้ดีจริงๆ.... จักรพรรดิมาร ข้าทำเรื่องที่เจ้าต้องการจนเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว จงอย่าลืมถ้อยคำที่เจ้าได้กล่าวเอาไว้”

ในห้องลับ มีเสียงชรากระแสหนึ่งไม่ทราบดังมาจากที่ใด จักรพรรดิมารไม่แปลกใจและกล่าวราบเรียบ “ด้วยพลังของเทพมายา ยังมีผู้ใดในโลกหล้าที่ไม่หวั่นเกรงท่าน ไหนเลยจักรพรรดิผู้นี้จะผิดสัญญาที่ให้ไว้กับตัวท่าน ไม่จำเป็นต้องรอนาน อีกไม่ช้าจักรพรรดิผู้นี้จะทำให้ท่านได้สมปรารถนา”

“ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ โลกนี้ยังมีใครที่จักรพรรดิมารอย่างเจ้าไม่กล้าล่วงล้ำ? ชายชราผู้นี้ขอตัว....”

เสียงชายเสื้อสะบัดบางเบา จักรพรรดิมารเพียงได้ยินก็ทราบว่าเขาจากไปไกลแล้ว รอยยิ้มตรงมุมปากยิ่งกลายเป็นลึกลับ กล่าวคำอีกครึ่งที่ไม่ได้พูดออกมาช้าๆ “แต่ว่า รูปแบบมันอาจไม่เหมือนกับที่ท่านจินตนาการไว้”

......................

.....................

ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงย่างเยือนเข้ามาใกล้ อากาศนำพาความหนาวเย็นมาอย่างเห็นได้ชัด

เมืองซีหลู

เหนือแผ่นดินยังคงมีร่องรอยการรบ ในอากาศยังคละคลุ้งด้วยกลิ่นคาวเลือดที่ยังไม่จางหาย เมื่อกองทัพเกรียงไกรมาถึงประตูตะวันออกของเมืองซีหลู ประตูเมืองก็ถูกเปิดออกทันที คนผู้หนึ่งวิ่งโซซัดโซเซออกมา เขาหมดแรงล้มพับกับพื้นที่เบื้องหน้าเย่หนู ส่งเสียงโอดครวญ

“ขุนพลเย่.... ท่านขุนพล ในที่สุดท่านก็มา.... ผู้น้อยไร้ความสามารถ ภูเขาเกอหลู หุบเขาฟงอวิ๋น ถนนฟงอวิ๋น ตกอยู่ในมือศัตรูแล้ว!”

ชายวัยกลางคนผู้นี้อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเย่เว่ย สภาพเสื้อผ้าสะบักสะบอม เกราะตรงหน้าท้องเป็นร่องโลหิตอย่างชัดเจน สีหน้าแสดงความเหนื่อยล้าเจ็บปวดอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้พักมานาน เย่หนู่และเย่เว่ยลงจากหลังม้าและช่วยพยุงเขาขึ้น เย่หนู่ถอนหายใจ “กองทัพอาณาจักรต้าฟงรวดเร็วปานสายฟ้า พวกเรามาช้าเกินไป”

“ยังไม่สายเกินไป!” เย่เว่ยมุ่นหัวคิ้ว “เมืองซีหลูยังคงไม่แตกพ่าย นี่นับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม” เขาตบไหล่คนผู้นั้น และปลอบโยน “น้องเฟิง อย่าได้กล่าวโทษตัวเองเลย เจ้าสามารถนำพาทหารซีหลูต้านยันได้จนถึงตอนนี้ นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

ชายผู้นี้มีนามว่าเฟิงเหยียน ในอดีตเคยเป็นศิษย์และผู้ใต้บัญชาคนโปรดของเย่หนู่ เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเย่หนู่และเย่เว่ยในสมรภูมิ เป็นบุรุษผู้แกร่งกล้าดุจเหล็กและเลือดร้อน หลังจากที่สงครามสงบลง เขาก็คอยป้องกันอยู่ที่เมืองซีหลู เมืองที่อยู่ทางตะวันตกสุดของอาณาจักรเทียนหลง สามารถบีบคั้นเขาจนหมดสภาพได้ เห็นได้ชัดว่าหลายวันมานี้เขาต้องรับมือกับศึกหนักเพียงใด ทั้งชุดเกราะที่แตกยุบและรอยเลือด บ่งบอกว่าเขาเข้ารบด้วยตัวเอง หลายวันมานี้ ไม่ทราบว่าเขาหลุดรอดความตายอย่างเฉียดฉิวมาแล้วกี่ครั้ง

เฟิงเหยียนเอามือกดทาบหน้าอกตัวเอง ปรับอารมณ์ให้สงบ หลังจากสูดหายใจยาว ก็กล่าวอย่างองอาจ “ขุนพลชราเย่ ศัตรูมีขวัญกำลังใจสูงล้ำ แต่ละคนราวกับคนบ้า พวกมันใช้เวลาเพียงสองวันในการยึดภูเขาเกอหลู กองทัพของพวกเราไม่อาจต้านทาน ศัตรูฮึกเหิมเกินไป จนพวกเราไม่อาจหยุดพวกมันได้.....”

เป็นเรื่องธรรมดาที่กองทัพอาณาจักรต้าฟงจะมีขวัญกำลังใจสูงล้ำ พวกมันผจญความลำบากจากพายุทรายตลอดปี ย่อมเกิดความอิจฉาอาณาจักรเทียนหลงที่สุขสงบ พวกมันต่อสู้เพื่อตัวเอง มิใช่เพื่ออาณาจักร มีหรือที่พวกมันจะไม่ทุ่มเทจิตวิญญาณทั้งหมด เดิมทีพวกมันควรได้เคลื่อนทัพโจมตีตั้งแต่สามปีก่อน ทว่ากลับถูกประวิงเวลามาจนถึงตอนนี้ ความอัดอั้นที่เก็บไว้นับสามปีถูกปลดปล่อยออกมา ฉะนั้นจึงทะลักล้นจนไม่อาจหยุดยั้ง

“ขุนพลเฟิงกล่าวได้ถูกต้อง สงครามอยู่ในช่วงเริ่มต้น ขวัญกำลังใจของศัตรูยังแกร่งกล้า ยังไม่เหมาะที่จะสู้กับพวกมันในทันที หลายวันมานี้สามารถรักษาเมืองซีหลูไว้ได้ หากยังต้านยันไว้ได้อีก เมื่อเวลาผ่านไป ขวัญกำลังใจของพวกมันย่อมถดถอยลง เมื่อถึงเวลานั้นย่อมเป็นโอกาส เปลี่ยนจากรับให้เป็นรุก โจมตีศัตรูให้แตกพ่ายโดยที่ไม่ทันตั้งตัว" ชูเกอเสี่ยวหยูก้าวออกมาเบื้องหน้าและกล่าว

ตลอดสามปีที่ผ่านมา เฟิงเหยียนประจำอยู่ที่เมืองซีหลู และร่วมมือกับเย่เว่ยรบทัพกับศัตรูมาแล้วหลายครั้ง ทั้งสองคุ้นเคยกับชูเกอเสี่ยวหยูเป็นอย่างดี ยิ่งเวลาผ่านไป ยิ่งรู้สึกชื่นชม เขารีบกล่าวคำ “ขุนพลเย่ เมืองซีหลูยังสามารถต้านรับได้ เมื่อวานนี้กองทัพอาณาจักรต้าฟงแยกออกเป็นสองกลุ่ม มีกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าลงใต้ไปที่เมืองอวิ๋นหัว กองทัพประจำเมืองเคยพ่ายแพ้มาต่อเนื่อง ขวัญกำลังใจอยู่ในสภาพย่ำแย่ กำลังการรบย่อมอ่อนแอ ยามนี้จึงตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายอย่างมาก จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนเร่งด่วน!”

“ข้าไปเอง!”

เย่หนู่ยังไม่ทันได้กล่าวตอบ ชูเกอเสี่ยวหยูก็ก้าวออกมาอีกครั้ง แววตาดูแน่วแน่ ท่วงท่าทรนง ทำผู้คนลอบยกย่องในใจ

แม้ว่าชูเกอเสี่ยวหยูจะเป็นสตรี แต่เรื่องราวของนางนั้น เย่เว่ยแอบเล่าให้เย่หนู่ฟังอยู่บ่อยๆ ชายชราต้องตื่นตะลึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยามนี้เมื่อเห็นนางอาสาอย่างมั่นใจ ไร้ความกังวลใดๆแม้แต่น้อย เย่หนู่พลันหัวเราะ “ฮ่า ฮ่า” เสียงดัง จากนั้นลดเสียงทะมึน ออกคำสั่งอย่างเคร่งครัด “ประเสริฐ! ข้าขอแต่งตั้งเจ้าให้เป็นขุนพลปิงหยุนนำทัพชั่วคราว จงเร่งนำกำลังพล 50,000 นายพร้อมทั้งม้า มุ่งหน้าไปยังเมืองอวิ๋นหัวทันที ห้ามมีข้อผิดพลาด!”

เย่หนู่ยามอยู่บนสมรภูมิย่อมหนักแน่นตลอดกาล ไม่มีคำว่าพ่อลูกบนสนามรบ ไม่มีคำว่าเห็นอกเห็นใจ ไม่เห็นแก่สตรีและเกิดความลังเล ไม่ไต่ถามความเห็นใดๆจากชูเกอหวูอี้

“ทราบแล้ว!” ชูเกอเสี่ยวหยูรับคำสั่งอย่างนอบน้อม สีหน้ายังคงราบเรียบเป็นปกติ

“ยัยหนู เจ้าไม่จำเป็นต้องปกปิดตัวเอง บนสนามรบไม่มีแบ่งแยกว่าชายหญิง จงให้โลกหล้าได้รับรู้ ว่าอาณาจักรเทียนหลงของข้าไม่เพียงมีสตรีเป็นราชัน แต่สตรียังย่ำเท้าบนโลกได้ไม่เป็นรองบุรุษใด!” เย่หนู่กล่าวพลางพยักหน้าหนัก

ชูเกอเสี่ยวหยูถอดหมวกเกราะออก ปล่อยมวยผมให้สยายปกแผ่นหลัง จากนั้นย่อเข่ากระทำคารวะอย่างงดงาม “น้อมรับบัญชาขุนพลเย่!”

“ไป!”

ชูเกอเสี่ยวหยูลุกขึ้นและหันร่าง เลือกทหารและนำออกไปอย่างรวดเร็ว มีเสียงเย่หนู่ลอยตามมาไกลๆจากด้านหลังอีกครั้ง “ขับไล่ต้าฟงจนหมดสิ้นแล้ว ข้าจะรับผิดชอบด้วยตัวเอง ทำให้เฉินเอ๋อร์ขอเจ้าแต่งงานเข้าตระกูล หากเขาไม่ยอมทำตาม ข้าจะไม่ยอมให้เขาเดินเข้าประตูบ้านอีก ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า.....”

บรรยากาศตึงเครียดแตกเป็นเสี่ยงด้วยเสียงหัวเราะของเย่หนู่ แววตาของชูเกอเสี่ยวหยูพร่ามัว ในที่สุดก็ฉายแววแท้จริงของหญิงสาว นางตอบคำเสียงเบาที่ไม่มีใครได้ยิน



<<<PREV    .    NEXT>>>