วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 434

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 434 การระเบิด

สงครามที่เกือบทำให้เมืองอวิ๋นหัวแตกพ่ายได้สร้างความสูญเสียต่อทหารอีกนับหมื่นนาย ทว่าสุดท้ายกำลังเสริมได้เข้าช่วยเหลือทันท่วงทีในช่วงเวลาวิกฤต ประตูเมืองถูกสร้างขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว หลังจากทุกอย่างสงบลงก็ล่วงเข้าสู่เวลากลางคืน เย่ฮุยนำทหารมียศแห่งเมืองอวิ๋นหัวเข้าพบชูเกอเสี่ยวหยู ประสานมือคำนับตรงอกและกล่าว “ผู้น้อยเย่ฮุย คารวะขุนพลปิงหยุน”

ชูเกอเสี่ยวหยูเชื่อฟังถ้อยคำของเย่หนู่ ยามนี้จึงไม่แสดงตัวเป็นชายอีกต่อไป ลักษณะของหญิงสาวทำให้เย่ฮุยและทหารมียศสีหน้าแปลกแปร่ง ชูเกอเสี่ยวหยูทราบว่าพวกเขาคิดสิ่งใด นางเป็นหญิงสาวเยาว์วัยย่อมยากที่คนจะยอมรับ ตอนนี้ยังถูกแต่งตั้งให้เป็นขุนพลปิงหยุน พวกเขายังพอรับได้หากต้องคำนับคนอายุน้อยกว่าสักสิบปี แต่นี่ต้องคำนับหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกสาวของพวกตน หัวใจย่อมรู้สึกอึดอัดตะขิดตะขวงใจ

ชูเกอเสี่ยวหยูไม่ได้กล่าวคำใด พวกเขาเพียงรายงานไม่กี่ประโยค เย่ฮุยกล่าวว่าสงครามซับซ้อนและออกไป หลังจากที่พวกเขาไปแล้ว ชูเกอเสี่ยวหยูมุ่นคิ้วอย่างเงียบงัน เย่ฮุยไม่ปิดบังอารมณ์ตนเอง แสดงอาการดูถูกและผิดหวัง

หญิงสาวอายุ 20 ปีคนหนึ่งจะมีความสามารถสักเท่าไร? อคติใดบังตาของคนพวกนั้น หรือเพียงเพราะนางเป็นธิดาของชูเกอหวูอี้?

กำลังสนับสนุนที่หวังถึงกลับกลายเป็นหญิงสาวเยาว์วัย ไหนเลยตัวเขาจะไม่ผิดหวัง?

ชูเกอเสี่ยวหยูร่วมรบกับบิดามาตลอดสามปี ล้วนมิได้เป็นความลับในราชสำนักเทียนหลง ทว่าสำหรับคนนอก มีน้อยคนนักที่จะรู้

ชูเกอเสี่ยวหยูพ่นลมหายใจบางเบาออกจากปาก ครั้งหนึ่งเคยทำตามใจอย่างเสรี ไม่เคยต้องพะวงสิ่งใด นางไม่เคยต้องถอนหายใจเช่นนี้ หากตั้งแต่นางได้พบกับเย่หวูเฉิน นางก็มักมองดวงจันทร์และถอนหายใจเงียบงัน

เทียบกับบุรุษแล้ว เป็นสตรียากกว่าหลายเท่า

นางเป็นหญิงสาว เมื่อเข้าสู่สมรภูมิจึงถูกกำหนดให้ไม่อาจหาเพื่อนคุยได้ เพราะนั่นจะสร้างความไม่เหมาะสมหลายประการ ในกระโจมที่พักยังต้องอยู่ลำพัง ไม่อาจพักร่วมกับผู้ใด

เดินมาอยู่ตรงหน้าต่าง เปิดแง้มและแหงนมองท้องฟ้ายามราตรี พระจันทร์เสี้ยวแขวนกลางอากาศสว่างสดใส ลมราตรีพัดพาเมฆดำ ลอยละล่องบดบังพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวช้าๆ ชูเกอเสี่ยวหยูมองท้องฟ้าราตรีงมงายด้วยสายตาสั่นไหว ไม่ทราบว่ากำลังคิดถึงสิ่งใด....

เมื่อไหร่จะได้กลับบ้าน....

หนึ่งปี สองปี สิบปี.... หรืออาจไม่ได้กลับไปอีกตลอดกาล....

...................

...................

ในอีกสถานที่หนึ่ง

ใต้การอำพรางของม่านฟ้ารัตติกาล มีคลื่นฝูงคนเร่งเดินทางใต้ความมืดราวกับภูติผี เวลานี้คลื่นคนจำนวนมากหากไม่ผลักก็ลากรถเข็นเหล็ก ร่างกายรับภาระหนัก ทว่าคนเหล่านี้นำของหนักในมือเคลื่อนไปราวกับโบยบิน ยิ่งกว่านั้นยังไร้สุ้มเสียงอย่างประหลาด

หลังจากมาถึงสถานที่อันเป็นจุดหมาย ฝูงคนก็เริ่มเข้าไป เคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่ง ทีละคนหายเข้าไปในผาสูง ประมาณคร่าวๆด้วยสายตากลุ่มนี้มีอยู่ราวพันคน แต่ละคนเดินทางไกลโดยไม่มีหยุดพัก มาพร้อมอุปกรณ์การขนจำนวนมาก ทว่ามิได้ดึงดูดความสนใจของผู้ใด ด้วยคนเหล่านี้ล้วนเป็นยอดฝีมือที่หาตัวจับยาก

มีเรื่องแปลกเพียงอย่างเดียว ในเมืองใกล้ๆ รถเข็นไม้และรถเข็นเหล็กทุกคันถูกซื้อในราคาสูงลิ่วโดยไม่ทราบสาเหตุ

ทุกอย่างกลายเป็นเงียบงันอีกครั้ง หลังจากเงียบสงัดอยู่นาน รถเข็นเหล็กคันหนึ่งก็ถูกสองคนเข็นออกมาจากหน้าผา บนรถเข็นมีหีบใหญ่สามใบถูกมัดตรึงไว้ ใต้แสงอ่อนจางของพระจันทร์ หีบเหล่านั้นสะท้อนแสงทองบางเบา หลังจากรถเข็นคันแรกออกมา คันที่สองและคันที่สามก็ตามออกมาต่อเนื่อง แม้ที่ถูกเข็นออกมาเป็นของหนัก แต่พวกมันยังคงรวดเร็วราวโบยบิน เพียงพริบตาก็หายลึกไปในความมืด

ทันทีที่ย่างเข้าสู่ราตรี คนเหล่านี้ออกมาจากดินแดนสาบสูญ หลังจากเดินทางไกลอย่างเหน็ดเหนื่อย คนพวกนี้ก็กลับมาถึงดินแดนสาบสูญอีกครั้ง เส้นตายคือเวลาก่อนรุ่งสาง แม้ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังมากนัก แต่อย่างไรต้องป้องกันสำนักมาร ครั้งหนึ่งจักรพรรดิมารเคยเอาชนะเหยียนเทียนสง , เหยียนต้วนหุน และ เหยียนเทียนอ้าว สังหารประมุขน้อยเหยียนซีหมิงอย่างโหดเหี้ยม ทำให้สำนักจักรพรรดิเหนือเกลียดชังและหวาดกลัวต่อสำนักมารอย่างยิ่งชนิดที่ไม่เคยเป็น

เหนือท้องฟ้าสูงลิบ มีหนึ่งจุดสีเงินอันไร้ผู้ใดสังเกต ด้วยอยู่ระยะไกลเกินไปจึงไม่มีใครรู้ตัว เงาร่างสีเงินมองลงไปเบื้องล่างด้วยแววตาเย็นชา

สำนักจักรพรรดิเหนือย่อมคิดไม่ถึงว่า สิ่งที่พวกมันนำกลับไปนั้นไม่ใช่หีบแห่งความมั่งคั่ง แต่เป็น....

เทียบเชิญสู่ยมโลก!

ด้านตะวันตกของดินแดนสาบสูญ สำนักจักรพรรดิเหนือ

ทางทิศตะวันออกเริ่มมีแสงสีขาวทอจางๆ เป็นเวลาที่สมควรเงียบสงบมากที่สุดในสำนักจักรพรรดิเหนือ ทว่าตอนนี้มีแต่เสียงเอะอะ ผู้คนที่เดินทางไปขนสมบัติกลับมาหมดแล้ว ไม่มีผู้ใดเหลือตกค้าง ที่ใจกลางสำนักจักรพรรดิเหนือ สมบัติสีทองกองกันเป็นพะเนิน กองภูเขาสมบัติเหล่านี้ ทำให้สำนักจักรพรรดิเหนือตั้งแต่สูงยันต่ำตะลึงตื่นเต้นจนไร้อาการง่วงนอน

อัญมณีหลากหลายนับไม่ถ้วน เช่นเดียวกับเหรียญเงินสมัยโบราณ ที่เด่นสะดุดตาคือหีบทองคำที่ซ้อนกันเป็นภูเขา ผู้คนมากมายแทบไม่เชื่อสายตา หลายคนอ้าปากค้างน้ำลายไหล นี่คือขุมทรัพย์มหาศาลในตำนานที่จักรพรรดิบรรพชนแห่งเทียนหลงทิ้งไว้เบื้องหลัง ทว่าสมบัติที่อยู่ตรงหน้าเกินคำว่า ‘มหาศาล’ ไปห่างไกล หากกำหนดนิยามที่ดีกว่านี้ควรใช้คำว่า ‘เหลือเชื่อ’ พวกมันสงสัยกระทั่งว่าในอดีตจักรพรรดิบรรพชนคงปล้นสะดมมาทั้งโลก

“ท่านประมุข ด้วยความมั่งคั่งมหาศาลนี้ พวกเราไร้สิ่งใดให้เป็นกังวลอีก ขอเพียงเวลาอีกสามปี ไม่สิ อีกหนึ่งปี ถึงตอนนั้นพวกเราไม่จำเป็นต้องดำเนินการลับอีก สามารถเข้าพิชิตโลกหล้าด้วยกำลังของตัวเอง” ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่อยู่ด้านข้างเหยีนต้วนหุนตะโกนอย่างตื่นเต้น

ไร้คำตอบกลับมา มันหันศีรษะไปมองและพบว่าใบหน้าภาคภูมิของเหยีนต้วนหุนกำลังจางลง

จู่ๆเหยียนต้วนหุนก็เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ

ราบรื่นเกินไป เริ่มตั้งแต่ได้กระบี่เหล็กมา จากนั้นได้แผนที่คลังสมบัติในกระบี่ สำรวจสถานที่ฝังขุมทรัพย์และขนกลับสำนัก เพียงไม่กี่วันก็สำเร็จลุล่วง ไร้อุปสรรคขัดขวางใดๆ ไร้ความยากลำบากแม้แต่น้อย ราบรื่นจนผิดปกติ

ยังมีอีกอย่าง.... สมบัติตรงหน้ามีมากเกินไป มากกว่าที่มันคาดไว้หลายเท่า

“เปิดตรวจดูหีบทุกใบ!” เหยียนต้วนหุนกดน้ำเสียงทะมึน ตะโกนออกไปฉับพลัน จากน้ำเสียงที่ใช้ออกคำสั่ง ทำให้สำนักจักรพรรดิเหนือทุกคนที่ตื่นเต้นอยู่ตกใจทันที

“ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ ต้องการให้จักรพรรดิผู้นี้เปิดให้หรือไม่!”

ผู้คนโดยรอบรวมถึงเหยียนต้วนหุนไร้เวลาตอบสนอง เสียงของจักรพรรดิมารดังลงมาจากฟ้าฉับพลัน ขณะที่ผู้คนแหงนศีรษะมองด้วยความตกใจ จักรพรรดิมารก็ดิ่งร่างลงมาจากฟ้า ตกลงสู่หีบทองคำที่อยู่บนสุด สายตาเย็นชาสาดประกายเย้ยหยันมองที่เหยียนต้วนหุน

“จักรพรรดิมาร!” เหยียนต้วนหุนขมวดหัวคิ้วชิดกัน น้ำเสียงแฝงความชิงชังและกดดันอย่างล้ำลึก ความไม่สบายใจผุดขึ้นทันที การปรากฎตัวของจักรพรรดิมารอย่างกะทันหัน ทำให้มันเริ่มรู้สึกถึงบางอย่าง

สำนักจักรพรรดิเหนือเผชิญหน้ากับศัตรู พวกมันจึงรีบรวมตัวเข้าขวางอยู่เบื้องหน้าเหยียนต้วนหุนและจ้องมองไปที่จักรพรรดิมาร

“ปุ” ไม่ทราบว่าท่อยาวปรากฎขึ้นในมือจักรพรรดิมารได้อย่างไร จากนั้น จักรพรรดิมารขยับมือเล็กน้อย ปักท่อยาวลงไปในหีบใต้เท้า ง่ายดายราวกับแทงเต้าหู้ หากมองสังเกตให้ดี จะพบเห็นบางอย่างติดอยู่ปลายท่อ

“ยอดเยี่ยม สำนักจักรพรรดิเหนือนับว่ามีความเร็วคู่ควรแก่การอวดโอ่ เจ้าพบแผนที่คลังสมบัติในกระบี่เหล็ก แต่ทว่า....” จักรพรรดิมารฉีกยิ้ม “สมบัติเหล่านี้ยังไม่ใช่ทั้งหมด”

จำนวนมากถึงเพียงนี้ กลับบอกว่ายังไม่ใช่ทั้งหมด? ผู้คนไม่ทราบว่าจักรพรรดิมารกำลังพูดถึงสิ่งใด

“หมายความว่ายังไง!?” เหยียนต้วนหุนระงับอารมณ์ ขบฟันขณะกล่าว ด้านหลังมีสายลมเย็นแผ่วพัด ร่างชรามาปรากฎตัวอยู่ด้านข้าง เหยียนเทียนสงที่ปิดตนอยู่สัมผัสได้ถึงจักรพรรดิมาร ในวันที่จักรพรรดิมารใช้เคล็ดสวรรค์ร่วงหล่นต่อเนื่องสี่ครั้ง มันจำต้องใช้เคล็ดเพลิงวิญญาณต้องห้ามในการรับมือ พลังยุทธจึงเสียหายอย่างหนัก กระทั่งจนถึงตอนนี้ มันฟื้นฟูได้เพียงไม่ถึงเจ็ดในสิบส่วน ทันทีที่เหยียนเทียนสงปรากฎกาย มันก็เอ่ยปากพร้อมสายตาที่กราดเกรี้ยว “จักรพรรดิมาร ในเมื่อเจ้ากล้าบุกรุกเข้ามาในสำนักจักรพรรดิเหนือ ก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอดกลับออกไป ตั้งค่ายกลมังกรผลาญเพลิงวิญญาณ!”

แม้ว่าเหยียนต้วนหุนเป็นประมุขสำนักคนปัจจุบัน แต่ในด้านเกียรติภูมิแล้ว เหยียนเทียนสงยังคงเหนือกว่าเหยียนต้วนหุน เมื่อได้ยินคำสั่งของมัน ผู้คนโดยรอบเคลื่อนไหวทันที แปรรูปขบวนตั้งค่ายกลอย่างรวดเร็ว เป้าหมายติดตรึงที่จักรพรรดิมาร สิ่งที่ต่างจากสำนักจักรพรรดิใต้ก็คือ สำนักจักรพรรดิเหนือมุ่งเน้นไปที่การโจมตี ยิ่งมีคนผสานพลังมาก อำนาจทำลายล้างก็ยิ่งแกร่งกล้า

‘ค่ายกลมังกรผลาญเพลิงวิญญาณ’ พลังของมันเย่หวูเฉินเคยฟังมาจากเหยียนเทียนเว่ยมาก่อน ด้วยพลังของเหยียนเทียนเว่ย หากใช้ยอดฝีมือขอบเขตวิญญาณร้อยคนสร้างขึ้นมา เหยียนเทียนเว่ยย่อมได้รับบาดเจ็บร้ายแรงแม้สุดท้ายจะเอาชนะได้ ค่ายกลของสำนักจักรพรรดิใต้ และค่ายกลของสำนักจักรพรรดิเหนือ คือหนึ่งในไพ่ตายสูงสุดที่น่ากลัวของพวกมัน เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลังจากเย่หวูเฉินได้รับพลังวารีไร้สิ้นสุดมาแล้ว เขาจึงยังไม่เคลื่อนไหวลงมือต่อสำนักจักรพรรดิเหนือเพียงลำพัง แม้เขาสามารถเอาชนะสามสุดยอดแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือเพียงตัวลำพังได้ แต่ยังคงไม่คู่ควรเผชิญหน้าต่อสำนักจักรพรรดิเหนือทั้งสำนัก หากบุกเข้าไปในแดนสำนักจักรพรรดิเหนือเพียงลำพัง เขายังคงเป็นรองอยู่มาก

จักรพรรดิมารไม่ได้สนใจต่อเหยียนเทียนสง สายตายังคงมองที่เหยียนต้วนหุนและตอบช้าๆ “นั่นก็เพราะว่า.... สมบัติเก้าในสิบส่วนที่เหลือ ล้วนตกอยู่ในมือสำนักมารของข้าตั้งแต่หนึ่งปีก่อน เศษสมบัติหนึ่งในสิบส่วนนี้ ไว้ให้พวกเจ้าสำนักจักรพรรดิเหนือนำติดตัวเดินทางไปยังยมโลก.... ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”

ขณะที่มันหัวเราะวิปริต จักรพรรดิมารก็จุดไฟสีแดงเข้มขึ้นในมือ จากนั้นเคลื่อนมือไปยังปลายท่อที่เพิ่งปักลงบนหีบทอง ประกายไฟติดลามบนท่อนั้นทันที และลามลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว.... ทันใดนั้นร่างของจักรพรรดิมารหายวับไปไร้ร่องรอย

ตูม!!!!!!!!!

เกิดการระเบิดสะเทือนลั่นฟ้า ทั่วทั้งดินแดนสาบสูญสั่นไหวอย่างรุนแรง สัตว์อสูรนับไม่ถ้วนร้องตระหนกตกใจ ฝูงนกบินว่อนด้วยความตื่นกลัว

สถานที่ลับแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของดินแดนสาบสูญ ที่ตั้งของสำนักมาร จักรพรรดิมารมองไปยังกลุ่มควันรูปเห็ดขนาดมหึมา ที่กำลังพวยพุ่งขึ้นเหนือน่านฟ้าสำนักจักรพรรดิเหนือ คลื่นเสียงสะท้านหูดับแผ่มาถึงในยามนี้ เขย่าบ้านที่อยู่ด้านหลังให้สั่นกราว






<<<PREV    .    NEXT>>>