วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 413

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 413 รัชทายาทหลีกทาง

ม่านน้ำแข็งร่วงลง ใบหน้าของจักรพรรดิมารเผยรอยยิ้มเย็นเยียบอีกครั้ง เคล็ดสวรรค์ร่วงหล่นในครั้งนี้บางทีอาจรุนแรงกว่าครั้งก่อนหน้าถึงสามเท่า เหยียนเทียนสงคงปกป้องตัวเองได้อย่างฉิวเฉียด แต่เหยียนต้วนหุนและเทียนเทียนอ้าวในสภาพยามนี้ย่อมไม่มีหวังต้านทาน ม่านน้ำแข็งไร้สิ้นสุดนี้จะเป็นสถานที่ฝังกลบของพวกมัน

แต่ทว่า มีสัญญาณอันตรายแผ่พุ่งขึ้นในใจ รอยยิ้มบนใบหน้าจักรพรรดิมารหายไปทันที

ตูม!!!

ท่ามกลางม่านน้ำแข็งไร้สิ้นสุด กลุ่มแสงสีแดงแรงกล้าระเบิดออกฉับพลัน ผืนดินสั่นสะเทือนพร้อมคลื่นอากาศขนาดใหญ่แผ่ลามออกไป รัศมีหลายร้อยเมตรเหนืออากาศเบื้องบนรวมทั้งตำแหน่งของจักรพรรดิมารถูกปกคลุมด้วยแสงสีแดงน่าหวาดหวั่น แท่งน้ำแข็งจำนวนมหาศาลกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งที่ไร้พลังปลิวว่อนกระจัดกระจาย ทันใดนั้น บริเวณโดยรอบระยิบระยับดุจดารา ราวลูกเห็บเล็กๆร่วงลงมาจากสวรรค์ฟากฟ้า

ท่ามกลางเสียงระเบิดอันเลื่อนลั่น การสั่นไหวของผืนโลกทำผู้คนในที่ไกลๆร่วงล้มระเนระนาด อาคารบ้านเรือนที่อยู่ใกล้พังทลายลง แสงแดงชาดที่เป็นต้นตอหายนะครั้งใหญ่ยังคงอยู่ เป็นเวลาเนิ่นนานที่ไร้วี่แววว่าจะหายไป นี่คือพลังที่เหนือล้ำกว่าเคล็ดวารีสวรรค์ร่วงหล่นของจักรพรรดิมาร พลังที่สามารถสร้างหายนะทำลายล้างครั้งใหญ่

ในตำแหน่งห่างไกล ไม่ทราบว่าเมื่อใดที่จักรพรรดิมารปรากฎตัวอยู่ตรงนั้นและมองไปยังทิศใต้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ในตำแหน่งของเส้นสายตา มีเงาร่างคนผู้หนึ่งในชุดสีเทาหอบหิ้วอีกสองร่างหนีไปอย่างรวดเร็ว จักรพรรดิมารมิได้ไล่ตาม หากเผยรอยยิ้มบางเบาอันโหดเหี้ยมและลึกลับไปยังทางนั้น และส่งเสียงออกจากปากช้าๆ “สมแล้วที่เป็นอันดับหนึ่งแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือเหยียนเทียนสง เจ้าจงใช้เวลาในช่วงสุดท้ายให้รื่นรมณ์ เพราะว่า....”

สถานที่อันเป็นรากฐานของสำนักจักรพรรดิใต้ถูกทำลายโดยการหยิบยืมพลังของเจวี๋ยเทียน หลังจากสำนักจักรพรรดิใต้แล้ว เขาก็ชี้หอกไปที่สำนักจักรพรรดิเหนืออย่างเงียบงัน วันนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นเล็กๆ เป็นตัวอย่างให้แก่พวกมัน

ตั้งแต่เขากลับมายังตระกูลเย่อีกครั้ง เพียงแค่เวลาไม่ถึงสองเดือน ตระกูลหลินได้ถูกกำจัด , หลงหยินตกตาย , สำนักจักรพรรดิใต้พ่ายแพ้อย่างย่อยยับ เพียงชั่วเวลาสั้นๆ หากไม่นับตระกูลหลินและจักรพรรดิแห่งเทียนหลง สำนักจักรพรรดิใต้ที่ไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุกลับถูกบีบคั้นและทำลายถึงระดับนี้ ผู้คนสำนักจักรพรรดิใต้นับไม่ถ้วนตกตายเพราะฝีมือเขา ซึ่งแน่นอนว่าสำนักจักรพรรดิเหนือย่อมกลายเป็นธารโลหิตเช่นเดียวกัน ฝีเท้าเร็วรุดเช่นนี้ไร้ผู้ใดที่จะเทียบเคียงได้ ทว่าเหนือสิ่งอื่นใด ตัวเขาและสำนักจักรพรรดิใต้รวมทั้งสำนักจักรพรรดิเหนือมีความแค้นชิงชังที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้จริงๆหรือ?

ไม่เลย! ไม่มีความแค้นชิงชังกับสำนักจักรพรรดิใต้ จะว่าไปแล้ว สำนักจักรพรรดิใต้มีเพียงเรื่องจับตัวเขาเพื่อกระบี่ตัดดารา ขณะที่สำนักจักรพรรดิเหนือมีเพียงเหยียนซีหมิงที่เขาเกลียดชัง แต่สำหรับคนพวกนี้ เย่หวูเฉินไม่คิดที่จะปล่อยพวกมันไว้ ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับบุญคุณความแค้น เขาไม่ได้ต้องการพิชิตโลกด้วยทะยานในพลังสูงสุด สิ่งที่เขาไขว่คว้าเรียบง่ายอย่างมาก มันประทับฝังใจในตอนที่เขาตกลงสู่หุบเหวปลิดวิญญาณ

ในเมื่อสวรรค์ไม่ปล่อยให้เขาตาย เช่นนั้นเขาจะไม่ปล่อยให้เรื่องแบบเดิมเกิดขึ้นซ้ำสอง สิ่งที่เขาต้องทำคือการกำจัด หรือควบคุมทุกอย่างที่อาจกลายเป็นสิ่งคุกคาม ทุกสิ่ง.... แน่นอนว่างานหลักย่อมเป็นสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือ ต้องทำแม้กระทั่งให้พวกมันกลายเป็นเถ้าธุลีและกลุ่มควัน เพราะเขาไม่ต้องการให้สิ่งใดก็ตามที่อาจเป็นอันตรายต่อคนของเขาดำรงอยู่

สามปีก่อนเผชิญอันตรายถึงตาย สลบไร้สติเป็นเวลาถึงสองปี ด้วยการดูแลของหนิงเสวี่ยจึงฟื้นขึ้นมาในภายหลัง เวลานั้น หัวใจของเขาได้เปลี่ยนไป เขาจะไม่ป้องกันอยู่กับที่อีกต่อไป แต่จะรุกคืบควบคุมทุกสิ่งไว้ในกำมือ กำจัดรากเหง้าของทุกความเสี่ยง ความคิดเช่นนี้นับว่าเห็นแก่ตัวยิ่ง กระทั่งยังโหดเหี้ยม เย่หวูเฉินนึกอยู่เสมอว่าตนเองเป็นคนเห็นแก่ตัว หากหนิงเสวี่ยฝ่ายของตนบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อย อีกฝ่ายจะต้องมีผู้บริสุทธิ์ตกตายนับพันคน เขาเพิกเฉยคนนับพันและสังหารได้โดยไม่ลังเล เขาไม่ใช่คนชั่วร้าย แต่ก็ไม่เคยถือว่าตัวเองเป็นผู้กล้าหรือคนดี ดังนั้น เขาจึงตั้งชื่อกลุ่มคนของตัวเองว่า ‘สำนักมาร’ และเรียกตัวเองว่า ‘จักรพรรดิมาร’ เพราะคำว่ามารนั้นยังไม่นับว่าดีหรือชั่ว แค่เพียงทำตามใจปรารถนาของตัวเอง

โครงข่ายขนาดใหญ่ครอบคลุมทั่วโลก ครอบคลุมทั้งสำนักจักรพรรดิเหนือและสำนักจักรพรรดิใต้ กระทั่งขุมกำลังปานนี้ยังไม่รู้สึกตัว รวมถึงสี่อาณาจักรแห่งทวีปเทียนเฉิน ก่อนหน้าที่จะกลับสู่ตระกูลเย่อีกครั้ง เขาได้วางรูปแบบควมคุมทวีปเทียนเฉินดุจทรราชย์ ทุกสิ่งที่หลุดรอดการควบคุมจะถูกทำลาย ด้วยวิธีนี้เขาสามารถจัดการทุกสิ่งโดยไร้ความกดดัน ทว่าแรงกดดันสูงสุดหนึ่งเดียวสำหรับเขา ปรากฎอยู่ที่อีกห้วงมิติหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกล ดินแดนที่ต้องการพรากหนิงเสวี่ยและทงซินไปจากข้างกายเขา

เซียงเซียงปรากฎตัวขึ้นบนไหล่ ยื่นมือเล็กๆดึงหน้ากากของเขาอย่างซุกซน หลังกลับมาจากอาณาจักรชางหลาน นางก็เปลี่ยนไปจากอดีตไม่ทำเสียง “อิย๊า อิย๊า” แบบนั้นอีก ในแววตายังเผยแววบางอย่างที่แปลกไปเป็นครั้งคราว สีหน้าต่างจากเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด.... ราวกับความรู้สึกของนางเติบโตขึ้นจากเด็กเป็นผู้ใหญ่

เย่หวูเฉินถูกชะตาลิขิตให้ผูกโยงเป็นเจ้านายนาง นางจึงสามารถรับรู้อารมณ์ของเย่หวูเฉินได้ในทุกขณะ กล่าวได้ว่าในโลกนี้นางคือคนที่เข้าใจความคิดและอารมณ์ของเย่หวูเฉินมากที่สุด

“เซียงเซียง ไปกันเถอะ ต้องเหนื่อยเจ้าแล้ว” เย่หวูเฉินยิ้มบาง สัมผัสร่างเซียงเซียงด้วยนิ้วตัวเองเบาๆ อบอุ่นตรงข้ามกับคนโหดเหี้ยมไร้หัวใจเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง

เมื่อกลับมาถึงตระกูลเย่ เย่หวูเฉินก็หันหน้าไปที่อากาศว่างและกล่าวเสียงต่ำ “แผนล้างบางสำนักจักรพรรดิเหนือ เริ่มลงมือได้!”

ข่าวเรื่องจักรพรรดิมารต่อสู้กับสามยอดฝีมือสูงสุดแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือที่หน้าซุ้มประตูเมืองเทียนชุยได้แพร่สะพัดด้วยความเร็วสูงสุด ตำนานนี้เต็มไปด้วยสีสันอันลึกลับ จักรพรรดิมารทรงพลังแกร่งกล้าเกินคำว่า ‘มนุษย์’ ครั้งหนึ่งจักรพรรดิมารได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมและทรงพลัง แต่หลังจากวันนี้ จักรพรรดิมารจะห่มอยู่ใต้ผ้าคลุมที่ชื่อว่าไร้ต้าน

นายน้อยแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือตกตายอย่างน่าอนาถเพราะจักรพรรดิมาร ถูกแขวนอยู่เหนือซุ้มประตูเมืองเทียนชุยในสภาพล่อนจ้อนต่อหน้าคนมากมาย เป็นความอัปยศใหญ่หลวงต่อนายน้อยสำนักจักรพรรดิเหนือ อัปยศต่อทั้งสำนัก อัปยศต่อประมุขสำนัก และอัปยศต่อประมุขสำนักรุ่นก่อนๆอย่างไม่มีวันไถ่ถอน ทว่าการร่วมมือกันต่อสู้จักรพรรดิมารแล้วยังตกเป็นรองนับเป็นหายนะยิ่งกว่า ทำให้ชื่อเสียงสำนักจักรพรรดิเหนือไม่มีวันหลุดพ้นใต้ฝ่าเท้าสำนักมารได้ ทั้งการที่สำนักจักรพรรดิใต้ถูกทำลายรากฐาน ตกอยู่ในสภาพรักษาตัวเองอย่างเงียบงัน สำนักมารจึงกลายเป็นตัวตนทรงอำนาจหนึ่งเดียวเหนือสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือ สถานะของจักรพรรดิมารยังกลายเป็นสิ่งลึกลับสูงสุด

จักรพรรดิมาร ชื่อนี้สร้างความหนักหน่วงแก่หัวใจผู้คน แม้ว่าไม่มีผู้ใดเอ่ยออกมาตรงๆ แต่ในจิตใต้สำนึกของผู้คนล้วนรู้สึกว่านี่คือจักรพรรดิสูงสุดผู้ครองพลังอันเหนือล้ำ

ในขณะที่ข่าวจักรพรรดิมารข่มเหงสามยอดฝีมือสูงสุดแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือแพร่กระจายออกไป ตระกูลซีเหมินหนึ่งในสี่ตระกูลเวทย์อันยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรเทียนหลงก็มีข่าวใหญ่เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของเดือนนี้ นั่นคือหลังจากนี้อีกเจ็ดวัน จะมีการประมูลสามสมบัติหายากต่อสาธารณะ และมีของสิ่งหนึ่งที่กระทั่งล้ำค่ายิ่งกว่าสมบัติหายากนับพันๆเท่า

งานประมูลพบเห็นได้ไม่ยากนัก ข่าวพรรค์นี้หาเจอได้ในทุกแห่งหน ตระกูลซีเหมินอาจไม่นับเป็นสิ่งใด งานประมูลสมบัติหายากก็อาจไม่นับเป็นสิ่งใด แต่ส่วนที่กล่าวถึงสิ่งหนึ่งที่ล้ำค่ายิ่งกว่าสมบัติหายากนับพันๆเท่าทำให้หัวใจผู้คนต้องสั่นไหวและเบิกตาโต ของสิ่งนั้นก็คือ : แผนที่ที่ซ่อนอยู่ในกระบี่เหล็กของจักรพรรดิบรรพชนแห่งอาณาจักรเทียนหลง

ฉับพลันทันใด ทั่วทั้งทวีปเทียนเฉินต่างคุยกันกระหึ่มถึงเรื่องนี้ ขุมกำลังมากมายต่างพร้อมที่จะสร้างปัญหา

...................

...................

หลังจากหลงหยินจากไปได้เจ็ดวัน พิธีกรรมฝังพระศพก็จบลงเรียบร้อย เรื่องตระกูลหลินก่อกบฎค่อยๆถูกทิ้งไว้เบื้องหลังและซาลง กำแพงที่พังถล่มถูกสร้างขึ้นใหม่หามรุ่งหามค่ำในเวลาไม่กี่วัน จนกระทั่งกลับมาแน่นหนาดังเดิม จักรพรรดินีคนปัจจุบันก็ตกตายไปแล้วเช่นกัน หลังจากที่หลงหยินตายไปแล้ว จักรพรรดินีหลินซิวทราบว่าตระกูลหลินก่อกบฎ นางรู้ตัวว่าหากยังใช้ชีวิตอยู่ย่อมเหมือนตายทั้งเป็น ดังนั้นนางจึงแขวนคอปลิดชีพตัวเอง ยามนี้ราชตระกูลแห่งอาณาจักรเทียนหลงกำลังระส่ำระสายด้วยไร้ผู้นำ เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้คือเร่งสถาปนารัชทายาทหลงเจิ้งหยางให้เร็วที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย เพื่อปลอบประโลมหัวใจเหล่าขุนนางในราชสำนัก ภายใต้คำแนะนำของขุนนางระดับสูง เย่หนู่และราชครูหวังป๋อผู้ทรงเกียรติภูมิสูงสุดถูกยกให้เป็นหัวหน้าของเหล่าขุนนางชั่วคราว ทว่าสองคนนี้ หนึ่งคือปู่ของเย่หวูเฉิน อีกคนคือตาของเย่หวูเฉิน

วันนี้บรรดาขุนนางระดับสูงรวมตัวกันที่ราชวังเทียนหลงหลังจากตระเตรียมพิธีสวมมงกุฎไว้อย่างเหมาะสมแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อหลงเจิ้งหยางที่มาถึงช้ากล่าวคำ คำตอบของเขาทำให้เหล่าขุนนางต้องตกใจตาค้าง

“ข้าตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยสนใจเรื่องบ้านเมือง ไม่อาจรับตำแหน่งจักรพรรดินี้ได้ หากข้ายังฝืนขึ้นครองบัลลังก์ มีเพียงจะสร้างความเสียหายต่ออาณาจักรเทียนหลง ใต้เท้าทั้งหลายโปรดอย่าบังคับข้าเลย”

ขณะที่หลงเจิ้งหยางกล่าวคำเช่นนี้ต่อหน้าเหล่าขุนนาง สีหน้าของเขาราบเรียบอย่างผิดธรรมดา ราวกับว่าสิ่งที่เขาละทิ้งไม่ใช่ราชบัลลังค์ แต่เป็นสิ่งของธรรมดาที่ไม่อาจธรรมดากว่านี้ได้อีก

“ฝ่าบาท องค์ชายรัชทายาท พิธีสวมมงกุฎนี้ไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น ฝ่าบาทคือรัชทายาทแห่งอาณาจักรเทียนหลง มีสิทธิ์ชอบธรรมในการสืบทอดราชบัลลังค์ กุมอำนาจปกครองแผ่นดิน ตัดสินชะตาอาณาจักร เป็นที่ยึดเหนี่ยวของปวงชน เหตุใดจึงกล่าววาจาง่ายๆเช่นนี้”

ไม่น่าแปลกใจเท่าใดนัก ขุนนางชราผู้หนึ่งอายุมากกว่า 60 ปีกล่าวห้ามปรามทันที อันที่จริงขุนนางส่วนใหญ่ต่างรู้ว่าหลงเจิ้งหยางมีอุปนิสัยไม่เด็ดขาด ไม่เพียงไม่สนใจในเรื่องการปกครอง แต่ยังแสดงออกในทางต่อต้าน ทว่าหลงหยินจากไปแล้ว เขาในฐานะรัชทายาทจึงควรสืบทอดบัลลังก์ตามที่กฎบัญญัติไว้

หลังจากเสียงห้ามปรามของคนแรกจบลง เหล่าขุนนางต่างคัดค้านต่อเนื่องกันเป็นพัลวัน หลงเจิ้งหยางยิ้มอย่างจนใจและส่ายศีรษะ เวลานี้เอง ใบหน้าหนึ่งที่ภาคภูมิอยู่เสมอ ทว่าเป็นขุนนางที่มักพูดน้อย เขาก้าวออกมาและกล่าวเสียงดัง “ใต้เท้าทั้งหลายโปรดฟังคำของข้าสักครู่ก่อน”

แววตาของเขาจริงจังอย่างยิ่งขณะกล่าว “หากมีจิตใจฝักใฝ่ในบ้านเมือง ย่อมตัดสินชะตาอาณาจักรได้ หากมีใจคิดช่วยเหลือผู้คน ย่อมเป็นที่ยึดเหนี่ยวของปวงชน อย่างที่องค์รัชทายาทกล่าวไว้ หากองค์รัชทายาทไม่มีใจในการขึ้นครองบัลลังก์จริงๆ ก็มีแต่จะทำร้ายอาณาจักรเทียนหลง ในเมื่อพระองค์ไม่สนใจในราชบัลลังค์ พวกเราที่เป็นขุนนางก็ควรยอมรับความปรารถนาขององค์รัชทายาท ไม่บีบคั้นฝืนใจ”

“นี่มัน.... แต่ว่าใต้เท้าฉื่อ เรื่องพิธีสวมมงกุฎนี้สำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่เรื่องที่จะกล่าวว่าละทิ้งได้ง่ายๆ องค์ชายรัชทายาทยังทรงเยาว์ เริ่มต้นครองบัลลังก์และกุมอำนาจย่อมไม่สบายพระทัย เหตุผลใหญ่อีกข้อ ย่อมไม่มีใครเกิดมาเป็นราชันที่เจิดจรัสได้ในทันที จักรพรรดิองค์ก่อนขณะที่ขึ้นครองบัลลังก์ในช่วงแรกยัง....”

ขุนนางชรายังไม่ทันกล่าวถ้อยคำจบ ใบหน้าจริงจังของขุนนางอีกคนที่ไม่ค่อยพูดจานักก็โผล่ออกมา และกล่าวดังลั่น “บ่าวผู้ต่ำต้อยเห็นด้วยกับคำกล่าวของใต้เท้าฉื่อ หากองค์รัชทายาทมิได้สนพระทัยในราชบัลลังค์ พวกเราก็ไม่ควรบีบบังคับองค์รัชทายาท บ่าวผู้ต่ำต้อยเห็นสีพระพักตร์ของท่านแล้วล้วนกระจ่างแจ้งแก่ใจ ว่าท่านล้วนมีเจตนาที่ดีเยี่ยม หรือว่าองค์รัชทายาทได้ตัดสินพระทัยไว้แล้วว่าจะยกบัลลังค์ให้องค์ชายรอง?”

หลงหยินมีบุตรชายสามคนซึ่งตกตายไปแล้วหนึ่ง ตอนนี้เหลือหลงเจิ้งหยางและหลงเจิ้งเยว่ ทว่าพอนึกถึงองค์ชายรอง เหล่าขุนนางต่างลอบส่ายศีรษะ เทียบกับหลงเจิ้งหยางที่ไม่สนใจเรื่องการปกครองแล้ว หลงเจิ้งเยว่ยิ่งไร้ความทะยานยิ่งกว่า เติบโตในราชวังอันทรงอำนาจ แต่กลับเห็นได้ชัดว่าลักษณะเหมือนนักศึกษาจากตระกูลธรรมดา เทียบกับหลงเจิ้งหยางแล้วเขาป่วยที่จะเป็นจักรพรรดิเสียยิ่งกว่า ดังนั้น หลงเจิ้งหยางจึงแทบจะกลายเป็นตัวเลือกเดียวในเวลานี้

หลงเจิ้งหยางมองยังคนที่ถามด้วยแววตาล้ำลึก ก่อนจะกล่าวตอบพลางพยักหน้า “บัลลังก์นี้ ข้าได้ตัดสินใจมอบให้พระขนิษฐาองค์ที่เจ็ดของข้า ไม่ทราบใต้เท้าทั้งหลายคิดเห็นเป็นเช่นไร?”

“อะไรนะ!?”



<<<PREV    .    NEXT>>>