วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 100

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 100 สตรีผู้งดงามไร้ที่เทียบเทียม (2)

เย่ฉุ่ยเหยาหันกายวางขลุ่ยยาวลงบนโต๊ะ สีหน้าของนางฉายแววโดดเดี่ยวอย่างไม่อาจปิดบัง แต่เมื่อนางหันตัวกลับมา สีหน้าก็กลับมาสงบเหมือนเช่นเดิม “เช่นนั้นเจ้าก็ควรสอนข้าวาดภาพต่อ”

เย่หวูเฉินส่ายศีรษะ ยิ้มและกล่าว “พี่หญิง วันนี้ท่านควรพักบ้าง ข้าอยากวาดภาพให้ท่านสักหนึ่งรูปจะได้หรือไม่?”

“ให้ข้า?”

เย่หวูเฉินตั้งกระดานวาดภาพจากนั้นคลี่กระดาษแผ่นใหม่ออก เขายืนอยู่ใกล้ประตูหันหน้าเข้าหาเย่ฉุ่ยเหยา เขากล่าวเบาๆ “แม้ว่าภาพดอกบัวจะงดงาม แต่มันก็ไม่อาจเปรียบเทียบความงามของพี่หญิงได้ ข้าวาดภูเขา , สระใส , เหล่าสัตว์และนกกา บุปผานับร้อยและพฤกษานับพัน แต่ข้าไม่เคยวาดรูปคนมาก่อน ข้าอยากวาดภาพหญิงงามที่ไม่มีผู้ใดทัดเทียม ท่านจะช่วยข้าได้หรือไม่ พี่หญิง?”

ความปรารถนาที่เขาแสดงออกมาได้ไหวคลอนจุดอ่อนในหัวใจนาง โดยที่แทบไม่อาจขัดขืน นางพยักหน้าเบาๆและยังคงยืนนิ่งอยู่ในจุดเดิม รอให้เขาวาดภาพอยู่เงียบๆ

เย่หวูเฉินใช้สายตาสำรวจทั่วทุกส่วนของร่างกายนาง ตั้งแต่ใบหน้าเย็นชาแสนเสน่ห์ ลำคอขาวราวหยกสลัก หน้าอกที่ดุนดันชุดให้นูนออกมา เอวบางของนาง.... ไม่ปล่อยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียวให้หลุดรอดสายตา สายตาของเขาราวกับมีพลังรุกราน เย่ฉุ่ยเหยารู้สึกราวกับว่าทั่วร่างถูกเขาสัมผัสลูบไล้ นางเบือนสายตาหนีออกไป ด้วยเกรงว่าจะสบสายตากับเขาโดยตรง

ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ เย่หวูเฉินยังไม่ได้แตะพู่กันลงบนกระดาษ เขาทำเพียงยิ้มขณะมองสำรวจร่างกาย “พี่สาว” ของตน หนึ่งนาทีผ่านไปจนเย่ฉุ่ยเหยาเริ่มบิดร่างเล็กน้อยภายใต้สายตารุกรานของเขา เย่หวูเฉินพลันหลับตา มือขวาเริ่มร่ายตวัดบนกระดาษ

เย่ฉุ่ยเหยาลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกและนั่งลงบนเก้าอี้เงียบๆ เห็นได้ชัดว่านางไม่มีอะไรให้ทำหลังจากผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงลุกขึ้นยืน แต่นางพลันพบว่าร่างของนางราวกับถูกสูบกลืนพลังออกไป

นางมองใบหน้าของเย่หวูเฉิน เขายังหลับตาอยู่และไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน เป็นครั้งแรกที่เย่ฉุ่ยเหยาได้มองเขาอย่างละเอียด เวลานี้นางไม่ต้องกังวลว่าเขาจะรู้ตัว นางไล่สายตามองที่หน้าผาก ที่คิ้ว ที่ตา... มองซ้ำแล้วซ้ำอีก ช่างคุ้นเคยเหลือเกินแต่ก็รู้สึกแปลกหน้ามากเช่นกัน ด้วยเหตุนี้.... กลับยิ่งทำให้นางรู้สึกหลงใหล

เวลาค่อยๆเคลื่อนผ่านอย่างเงียบงัน โลกทั้งใบมีเพียงเสียงของพู่กันที่ลากไปบนกระดาษ เย่ฉุ่ยเหยาสายตาเริ่มเหม่อลอยขณะที่จมลงสู่ห้วงความคิด

“พี่หญิง ข้าวาดเสร็จแล้ว”

สุ้มเสียงปลุกนางตื่นจากภวังค์ เย่หวูเฉินเคลื่อนสายตาออกจากภาพวาดและมองไปที่นาง ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม ราวกับกำลังเปรียบเทียบภาพวาดกับบุคคล เย่ฉุ่ยเหยาในใจเต็มไปด้วยความคาดหวัง นางเดินไปอยู่เบื้องหน้าเย่หวูเฉิน เลื่อนสายตามองไปที่ภาพวาด เป็นรูปของสตรีที่งดงามไร้ที่เทียบเทียม

ผืนทะเลสาบราบเรียบเหมือนผิวกระจก มีเรือลำน้อยลอยเคลื่อนผ่านระลอกน้ำ สตรีงดงามราวกับเทพธิดายืนอยู่บนเรือ นางงดงามอย่างที่สุดไม่อาจเปรียบกับคนธรรมดา ชุดของนางเป็นสีฟ้า ผิวของนางดั่งหยกละเอียด สายตาชุ่มชื้นของนางมองมา ใบหน้าของสตรีงดงามสะท้อนกับผิวน้ำ ผสานเข้ากับภาพรวมที่งดงาม ภายใต้คิ้วโค้งมีดวงตางามทอประกายล้ำลึก มุมปากนางแย้มยิ้มเพียงบางเบา รอยยิ้มที่ทำให้ผู้คนว้าวุ่นหัวใจ หัวไหล่กลมดุจคมกระบี่ หน้าอกนูนตระหง่านอย่างภาคภูมิ องค์เอวโค้งเว้า รูปร่างสมบูรณ์แบบที่ทำให้ผู้คนไม่อาจต้านทาน

ไม่ว่าใครก็ตามหากตกอยู่ในสถานการณ์ยามนี้ พวกเขาจะต้องสับสนตะลึงงัน และอุทานเช่นว่า “สตรีผู้นี้งดงามราวนางฟ้าจากสวรรค์ ยากที่จะพบพานบนโลกมนุษย์”

“นี่คือข้าจริงๆหรือ?”

เย่ฉุ่ยเหยาจ้องมองอย่างโง่งม สายตานางจ้องค้างอยู่ที่ภาพวาด นางเอ่ยคำราวกับอยู่ในความฝัน

“นอกจากพี่หญิงแล้ว ยังจะมีใครที่คู่ควรกับคำว่า ‘สตรีผู้งดงามไร้ที่เทียบเทียม’? อย่าบอกข้านะว่ากระทั่งท่านยังไม่รู้ตัว?”

สายตาของเย่ฉุ่ยเหยาราวตกอยู่ในภวังค์ นางยื่นมือออกสัมผัสใบหน้าสตรีที่อยู่ในภาพวาดอย่างอ่อนโยน

“ดูสิ ในภาพวาดรอยยิ้มของพี่หญิงช่างงดงามนัก ข้าเชื่อว่าถ้าหากท่านยิ้ม  บุรุษทั่วโลกหล้าย่อมหลงใหลท่านหัวปักหัวปำ ท่านเชื่อข้าหรือไม่ พี่หญิง?”

“.........”

“ข้ารู้ว่าพี่หญิงไม่ได้ยิ้มมาเป็นเวลานานมากแล้ว กระทั่งต่อหน้าข้า ท่านก็ไม่เคยยิ้ม หากพี่หญิงชอบภาพวาดนี้จริงๆ ท่านจะ...ยิ้มให้ข้าได้หรือไม่?” เย่หวูเฉินหันไปมองหน้านางด้วยความคาดหวัง

นางพลันรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ แต่ในความอบอุ่นนั้นกลับมาพร้อมความเจ็บปวดเสียดแทงไม่จางคลาย ริมฝีปากนางขยับเล็กน้อย พยายามสร้างรอยยิ้มอย่างสุดแสน แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ นางก็ไม่อาจสร้างรอยยิ้มที่แท้จริง

“ข้าลืมมันไปแล้ว” นางตอบพร้อมส่ายศีรษะ นางลืมวิธียิ้มตั้งแต่เนิ่นนาน อาจบางทีเมื่อห้าปีก่อน หรืออาจจะเป็นสิบปีก่อน นานแสนนานที่นางลืมว่าการยิ้มนั้นทำอย่างไร

“เป็นไปไม่ได้! อารมณ์คือสัญชาติญาณพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน เป็นสิ่งที่ถูกประทานมาจากสวรรค์ ย่อมไม่มีทางที่จะลืมเลือนได้อย่างสมบูรณ์ หากพี่หญิงลืมมันชั่วคราว เช่นนั้นข้าก็จะช่วยให้พี่หญิงจดจำมัน ท่านตกลงหรือไม่?” เย่หวูเฉินพลันแสดงรอยยิ้ม

เย่ฉุ่ยเหยามองที่เขาคล้ายสับสน นางไม่พยักหน้าหรือปฏิเสธ เย่หวูเฉินยื่นแขนออกในฉับพลัน มือสองข้างจี้ที่เอวนาง จากนั้นเกานิ้วอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเขาแสดงความซุกซน

เมื่อถูกจู่โจมอย่างกะทันหัน เย่ฉุ่ยเหยาบิดร่างหนีไม่รู้ตัว ปากก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ เย่หวูเฉินไม่ปล่อยให้นางหลุดไปง่ายๆ มือของเขาเคลื่อนไปทั่วเอว จี้หนักสลับเบากระตุ้นนาง....

“อย่า....ได้โปรด.....อ๊าา.....”

ในที่สุดเย่ฉุ่ยเหยาก็ส่งเสียงหัวเราะพร้อมน้ำตาเล็ดขณะที่บิดร่างไปมา เสียงหัวเราะของนางงดงามแจ่มใส นางตกเข้าสู่อกของเย่หวูเฉินหลังบิดร่างจนสิ้นกระบวน หน้าอกกลมกลึงเบียดชิดกับอกเขา นางสิ้นเรี่ยวแรงด้วยความรู้สึกมึนงง

และแล้วนิ้วซุกซนก็หยุด แต่มือทั้งสองยังวางอยู่บนเอวของนาง “พี่หญิง ท่านหัวเราะแล้ว”

เย่ฉุ่ยเหยาพิงบนอกเขาและหอบหายใจแรง ไหล่บางและอ่อนแอของเขากลับทำให้นางอยากพิงซบตลอดไป แต่ว่า...ได้ดื่มด่ำเพียงชั่วขณะ นางก็ค่อยๆพลักเย่หวูเฉินออกไปจากนั้นหันไปทางทิศตรงข้าม “เสี่ยวเฉิน ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้ากลับไปก่อนได้หรือไม่?”

“อืม ข้าจะให้พี่หญิงพักก่อน”

เย่หวูเฉินไม่คิดอยู่ต่อนาน ดังนั้นเขาจึงออกมา พอถึงปากประตูเขาก็หันมายิ้มและกล่าว “พี่หญิง รอยยิ้มของท่านงดงามอย่างแท้จริง”

ร่างของเขาหายไปจากสายตา เสียงฝีเท้าของเขาจางหายไป ในห้องที่ว่างเปล่า เย่ฉุ่ยเหยาอยู่กับตัวเอง สับสนและไม่อาจสงบใจ

นางยืนอยู่หน้าภาพวาดตัวนาง สายตานางมองและไม่อาจถอนออกไป ไม่ทราบว่าตั้งแต่ตอนไหน ดวงตาทั้งสองของนางเต็มไปด้วยน้ำตา

วันนี้นางหัวเราะ และนางก็ร้องไห้

“ทำไมต้องเป็นเจ้า.... ทำไมต้องเป็นเจ้า....”

นางพึมพำแผ่วเบาขณะที่ลูบนิ้วไปตามใบหน้าของสตรีที่อยู่ในภาพวาด หัวใจที่เจ็บปวดจนแทบแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ สุดท้าย น้ำตาก็ร่วงลงบนผิวทะเลสาบเรียบราวกระจกบนผืนภาพวาดนั้น

................

หลังจากนั้นสามวัน

วันนี้นับว่าเป็นวันที่ไม่ธรรมดาวันหนึ่ง จากข่าวที่ประโคมกันไปทั่ว ผู้คนต่างรู้ว่าวันนี้เป็นวันพิธีหมั้นอย่างเป็นทางการระหว่างตระกูลหลินและตระกูลฮั่ว หลังจากงานหมั้นครั้งนี้ งานแต่งงานจะจัดขึ้นตามมา

แต่มีเสียงกระซิบลือกันกันว่านายน้อยตระกูลเย่ก็ชอบพอคุณหนูตระกูลฮั่วเช่นเดียวกัน ทั้งยังกล่าวกันว่าทั้งสองต่างชอบพอกันอย่างมาก ทำให้ตระกูลฮั่วเตรียมที่จะปฏิเสธการแต่งงานและหันไปหาตระกูลเย่ และข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้คือ ฮั่วเจิ้นเทียนพาลูกสาวไปเยี่ยมเยือนตระกูลเย่ และเขามีใบหน้าร่าเริงสุขสันต์ยามออกมาจากตระกูลเย่

...............

ในตอนเช้า มีบุรุษผู้หนึ่งมาถึงเมืองเทียนหลง

สิ่งแรกที่แวบผ่านเข้ามาในหัวคือ...สีขาว เขาแต่งกายด้วยชุดสีขาวทั้งตัว ผ้าคาดขาวผูกไว้รอบเอว เขาสวมใส่รองเท้าสีขาว และมีผ้าพันแผลสีขาวพันอยู่รอบศีรษะ มีผู้คนมากมายที่แต่งกายด้วยชุดสีขาวบนท้องถนน แต่สำหรับเขาที่แต่งกายด้วยชุดสีขาวทั้งร่างทำให้ผู้คนต้องเลิกคิ้ว ชุดขาวของเขาไม่เพียงสะดุดสายตาผู้คนที่ผ่านไปมา แต่เหมือนการไว้ทุกข์อย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าของเขาซีดขาวอย่างน่ากลัว เมื่ออยู่ต่อหน้าสายตามากมาย สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย สีหน้าเขายังคงซีดขาวราวกับซากศพ ใบหน้าเมือนศพคนตายทำให้ผู้คนไม่สามารถประเมินอายุของเขาได้ บางทีเขาอาจอายุ 30 ปี , 40 ปี , 50 ปี หรือกระทั่ง 60 ปี หรือบางทีเขาอาจแค่สวมหน้ากากหนังมนุษย์

มือซ้ายของเขาถือกระบี่.... ทั้งปลอกกระบี่และด้ามจับล้วนมีสีขาว ชื่อของเขาทำให้ผู้คนหน้าขาวซีดด้วยความกลัว คนผู้นี้คือ เถาไปไป

เขาเดินอย่างเงียบเชียบ ผู้ที่สังเกตย่อมพบว่าเขาไม่เร่งรีบ ราวกับว่าทุกย่างก้าวเขากำลังนับคำนวณ เขาไม่แสดงสีหน้าขะมักเขม้นใดๆ มีเพียงกลิ่นอายเยียบเย็นแห่งความตายไหลวนอยู่ทั่วร่าง ทำให้ยามผู้คนเดินผ่านต้องตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม

เย่หวูเฉิน.... เมืองเทียนหลง....

เขามองไปเบื้องหน้า มุมปากยกขึ้นเผยให้เห็นฟันขาวน่าขนลุกทำให้ผู้คนรู้สึกเย็นยะเยียบ

..........................

ณ ตระกูลหลิน แห่งเมืองเทียนหลง

โถงรับแขกของตระกูลหลินยามนี้มีชีวิตชีวา เหล่าขุนนางชั้นสูงต่างก้าวเข้ามาทีละคนและมองหาที่นั่งของตน หลินซานยืนอยู่หน้าห้องโถง ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มขณะต้อนรับแขก แต่เบื้องลึกในใจเขากำลังกังวล ปกติแล้วงานหมั้นไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่พวกเขาไม่มีทางเลือกและได้แต่ส่งจดหมายเชิญเพื่อบังคับให้เป็นงานใหญ่ พวกเขาจำเป็นต้องกดดันตระกูลฮั่ว เขาไม่เชื่อว่าฮั่วเจิ้นเทียนจะผิดสัญญาทำลายชื่อเสียงของตนและตระกูลฮั่วต่อหน้าผู้คนมากมาย

ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด คือทูลขอต่อองค์จักรพรรดิ แม้ว่าการหมั้นก่อนหน้าจะเป็นเพียงการพูดปากเปล่า แต่องค์จักรพรรดิก็เป็นผู้จับคู่จัดการด้วยพระองค์เอง

หลินเสี่ยวอยู่ในห้องโถงเช่นเดียวกัน กล่าวคำทักทายต่อแขกทุกคน ทั้งนิสัยใจคอและรูปร่างหน้าตาต่างทำให้ผู้คนยกย่องสรรเสริญ แต่ไม่ว่าใครก็รู้สึกว่างานหมั้นครั้งนี้มีบางสิ่งที่ผิดปกติ แม้ว่าตระกูลหลินจะมีอิทธิพลกว้างขวางแต่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานใหญ่โตเกินเลยเช่นนี้ ด้วยการเชิญขุนนางระดับสูงทุกคนในเมืองเทียนหลง.... ยิ่งพวกเขาทำเช่นนี้ ยิ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาขาดความมั่นใจและตื่นกังวล ทั้งยังเป็นข้อพิสูจน์ว่าข่าวลือนั้นเป็นจริง บางทีตระกูลฮั่วอาจเปลี่ยนใจไปแล้วเรียบร้ย

“ใต้เท้า ชูเกอ มาถึงแล้ว!”

..........

“ใต้เท้า หลิว มาถึงแล้ว!”

..........

“ขุนพลเย่ และ นายน้อยเย่ มาถึงแล้ว!”

ผู้คนที่กำลังสนทนาเคลื่อนสายตามองไปที่ภายนอกห้องโถงในทันที แค่ขุนพลเย่ก็เพียงพอแล้ว แต่เขากลับพานายน้อยเย่มาด้วย คนที่สร้างความแปลกใจให้กับผู้คนชาวเทียนหลง เมื่อบุตรชายตระกูลเย่ที่นิ่งเงียบอยู่หลายวันมาร่วมงาน เขาย่อมกลายเป็นเป้าที่ผู้คนจับตา



<<<PREV    .    NEXT>>>