วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 105

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 105 แลกเปลี่ยน

“สิ่งที่ทำให้ข้าแปลกใจมากที่สุดคือตอนที่ประมุขสำนักจักรพรรดิใต้พบหลงหยินเมื่อห้าปีก่อน ในหมู่คนที่เขาสามารถพามา เขากลับพาลูกสาวของตัวเองมาด้วย จักรพรรดิหลงหยินยอมชะลอคำขอ เนื่องจากเขารู้ว่าประมุขมีลูกสาวเพียงคนเดียว เขารอเวลาสิบปีเพื่อให้นางเติบโตก่อนที่จะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างราชตระกูลเทียนหลงกับสำนักจักรพรรดิใต้ องค์จักรพรรดินับว่าวางแผนได้ดี แต่ประมุขสำนักจักรพรรดิใต้ยิ่งเหนือล้ำคู่ควรกับสมญา เขาวางแผนการล่อลวงให้จักรพรรดิยื่นข้อเสนอ เขาจึงพาธิดาไปยังเมืองเทียนหลงเมื่อห้าปีก่อน ใช้สถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ต่อตน และรอให้จักรพรรดิเอ่ยคำ ไม่อย่างนั้น เหตุใดตัวตนยิ่งใหญ่อย่างประมุขสำนักจักรพรรดิใต้ถึงยอมสละธิดาเพียงคนเดียวอย่างง่ายดาย?”

“ท่านผิดแล้ว” ฉุ่ยเมิ่งฉานส่ายศีรษะนางเบาๆ “สำนักจักรพรรดิใต้ของพวกเรายึดมั่นในคำสัญญาอย่างยิ่ง เมื่อพวกเราได้สัญญาว่าจะทำตามคำขอของราชตระกูลเทียนหลง เมื่อมีคำขอเช่นนั้นมา ในฐานะที่ประมุขของพวกเรารับปากแล้วจึงไม่อาจกลับคำ เมิ่งฉานก็จะไม่ยอมผิดสัญญาเช่นกัน มิเช่นนั้น ข้าคงถูกสวรรค์ลงโทษ”

“โอ้! สัญญาจริงจังถึงเพียงนั้น? ข้าเชื่อท่าน แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากหลงหยินตกตายก่อนที่ท่านจะอายุครบ 25 ปี? ท่านยังต้องรักษาสัญญาอยู่หรือไม่?” เย่หวูเฉินกล่าวยิ้มๆ

ฉุ่ยเมิ่งฉานเงียบชะงัก สายตาสั่นไหวในฉับพลัน ทีแรกนางมีท่าทางสงสัยขณะเผชิญหน้ากับเย่หวูเฉิน แต่ตอนนี้จิตใจสั่นไหวราวกับมีแรงกดดันท่วมทับบนร่างของนาง กระทั่งเริ่มรู้สึกตื่นตระหนกและหวั่นเกรง

นางถอนหายใจราบเรียบ น้ำเสียงราวสายลม “คุณชายเย่ หากสิ่งที่ท่านพูดเป็นความจริง เวลานี้ท่านกล่าวมันออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ท่านไม่กลัวว่าจะถูกสังหารหรือ?”

“คนทั้งเจ็ดที่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ทุกคนล้วนมีพลังไม่ด้อยกว่าข้า ย่อมเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกนางที่จะสังหารข้า เช่นนั้นเหตุใดคุณหนูฉุ่ยถึงไม่สั่งการให้พวกนางลงมือ?” เย่หวูเฉินเลิกคิ้วขึ้น เขายังคงมีสีหน้าไม่สนใจผู้ใด ไร้วี่แววความหวั่นเกรงแม้แต่น้อย

“ด้วยความปราดเปรื่องของคุณชายเย่ ในเมื่อท่านสามารถกล่าวออกมาได้ตามอำเภอใจ ท่านสมควรเตรียมการไว้แล้ว เมิ่งฉานจึงไม่อาจเสี่ยง โปรดบอกเหตุผลที่ท่านมาที่นี่” ฉุ่ยเมิ่งฉานกล่าว คำพูดของนางเป็นอันยืนยันว่าสิ่งที่เย่หวูเฉินกล่าวนั้นถูกต้อง แม้จะมีม่านบางกางกั้นไว้ นางก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมอง หากนางยังคงปฏิเสธต่อไป นางย่อมถูกเขาดูแคลน

เย่หวูเฉินหัวเราะและกล่าว “คุณหนูฉุ่ยสมกับเป็นสตรีที่ไม่ธรรมดา ความอดกลั้นเช่นนี้ทำให้หวูเฉินนับถือจริงๆ วันนี้ ข้ามาที่นี่เพื่อเสนอข้อแลกเปลี่ยนกับคุณหนูฉุ่ย”

“แลกเปลี่ยน?” ฉุ่ยเมิ่งฉานเลิกคิ้วงามขึ้น

“ข้าขอใช้อุปกรณ์การวาด และแผ่นกระดาษที่ใหญ่พอ” เย่หวูเฉินกล่าว

แม้ว่าฉุ่ยเมิ่งฉานจะงุนงง นางยังคงพยักหน้า นางหันศีรษะไปและกล่าว “ทำตามคำขอของคุณชายเย่”

เย่หวูเฉินไม่ต้องรอนาน หญิงสาวงดงามเข้ามาจากประตูที่อยู่เบื้องหลังฉุ่ยเมิ่งฉาน หญิงสาวยกผ้าม่านแล้วก้าวเข้ามาหาเย่หวูเฉินพร้อมอุปกรณ์การวาดและวางกระดาษบนพื้น แผ่นกระดาษนั้นมีขนาด ‘ใหญ่พอ’ ซึ่งขนาดของมันเพียงพอที่จะห่อเย่หวูเฉินทั้งตัว

เย่หวูเฉินยืนยิ้มให้หญิงสาวที่หายใจถี่ขึ้น นางรีบเบือนสายตาหลบและจากไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

เย่หวูเฉินวางหนิงเสวี่ยลงข้างกาย จากนั้นจับพู่กันด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งจับมือหนิงเสวี่ยไว้ เขาพูดเสียงเบา “เสวี่ยเอ๋อร์ ดูพี่ชายของเจ้าวาดรูป อย่าได้มองไปที่อื่น”

หนิงเสวี่ยพยักหน้า “ข้าชอบดูท่านพี่วาดรูปที่สุด”

พู่กันลากไปบนประดาษ เย่หวูเฉินลากเส้นจากบนลงล่าง...

เวลาผ่านไปเงียบๆ นอกจากเสียงลากเส้นพู่กันแล้วก็ไม่มีเสียงอื่นใด สตรีที่ซ่อนอยู่ในเงามืดมองบุรุษผู้นี้อยู่เงียบๆ หัวใจของพวกนางยังคงรู้สึกหวั่นตะลึง ทุกสิ่งที่เขากล่าว ทุกถ้อยคำที่เขาพูด ราวกับค้อนฟาดเข้ากลางดวงใจ แม้แต่ฉุ่ยเมิ่งฉานยังไม่อาจสงบจิตใจ ภายในสั่นไหวภายใต้ท่าทีที่สงบ

คนธรรมดาย่อมไม่สนใจสิ่งผิดปกติเพียงเล็กน้อยจากข่าวลือ แต่สิ่งผิดปกติเล็กน้อยนี้ ซ่อนความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสำนักจักรพรรดิใต้และเหนือไว้

เขาเป็นคนแบบใดกัน? เขามาที่นี่เพื่อประสงค์สิ่งใด? หากคนผู้นี้ต้องการร่วมมือกับสำนักจักรพรรดิใต้ เช่นนั้นก็.... แต่ว่า ถ้าหากเขาต้องการต่อต้านประมุขสำนักจักรพรรดิใต้ เขาย่อมเป็นศัตรูผู้น่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย

เย่หวูเฉินวางพู่กันลงหลังผ่านไปเพียงไม่กี่นาที จากนั้นม้วนแผ่นกระดาษ ตลอดเวลาใบหน้าเขาสวมรอยยิ้มไร้พิษสง “น้องหญิงเมื่อครู่ เจ้าออกมาก่อน”

ไม่นานม่านผ้าก็เปิดอีกครั้ง หญิงสาวคนเดิมออกมารับม้วนภาพวาด แล้วกลับไปโดยไม่ตอบคำ นางวางมันลงเบื้องหน้าฉุ่ยเมิ่งฉานด้วยความเคารพ

เย่หวูเฉินไม่กล่าวสิ่งใดและทำเพียงเติมน้ำชาลงในถ้วย ยกขึ้นใกล้ๆริมฝีปากของหนิงเสวี่ย “เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้ากระหายรึยัง?”

“อื้ม!” หนิงเสวี่ยตอบกลับ นางขยับริมฝีปากเข้าใกล้ช้าๆ ค่อยๆดื่มอย่างใจเย็น ในขณะเดียวกัน ฉุ่ยเมิ่งฉานก็กางภาพวาดออกบนโต๊ะธูปหอมของนาง

เป็นรูปวาดภาพของกระบี่ ทั้งเล่มล้วนเป็นสีทอง ไม่ว่าจะเป็นใบกระบี่หรือด้ามจับล้วนเป็นมันวาวราวกระจกเงา ฉุ่ยเมิ่งฉานอุทานด้วยความชื่นชม “ฝีมือการวาดของคุณชายเย่ช่างสมกับคำร่ำลือ สามารถวาดภาพกระบี่ที่มันวาวราวกระจกบนกระดาษหยาบกร้านได้ เพียงแค่เรื่องนี้ เมิ่งฉานก็ละอายและรู้สึกต่ำต้อย ถึงแม้จะเป็นเพียงกระบี่ในภาพวาด แต่กลับดูราวกับของจริงและแฝงพลังอันเกรียงไกรในกระบี่...”

ฉุ่ยเมิ่งฉานเสียงขาดห้วงราวกับมีบางสิ่งอุดในลำคอ ที่ปลายกระบี่ มีตัวอักษรเล็กๆแต่สะดุดตาคำว่า ‘ใต้’

นางถูกดึงดูดสายตาและมองไล่ไปทั่วกระบี่ทุกซอกมุม นางมองย้ำซ้ำหลายครั้ง แววตายิ่งเปล่งประกายรุนแรง

ผ่านไปครู่ใหญ่ จู่นางก็ตะโกนขึ้นอย่างตื่นเต้น “เร็วเข้า รีบไปเอาสายวัดมาให้ข้า!”

พอได้ยินน้ำเสียงตื่นเต้นของนางเป็นครั้งแรก หญิงสาวที่อยู่ด้านหลังจึงไม่กล้าเคลื่อนไหวชักช้า นางเร่งฝีเท้าออกไป เมื่อนางกลับมา ก็ถือสายวัดเส้นยาวอยู่ในมือ ฉุ่ยเมิ่งฉานยืนขึ้นดึงสายวัดออก นางวัดจุดต่างๆในภาพวาด ทั้งขนาดความกว้างและความยาวของใบกระบี่ ความกว้างและยาวของด้ามจับ แม้กระทั่งความยาวของเส้นกึ่งกลาง... ขณะที่ไล่วัดทีละจุด สีหน้าของนางยิ่งมายิ่งตื่นเต้น

นางไม่เคยเห็นกระบี่หนานฮวงมาก่อน ทุกคนในสำนักจักรพรรดิใต้รวมทั้งตัวประมุขต่างก็ไม่เคยเห็นกระบี่หนานฮวง ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของสำนักจักรพรรดิใต้ก็ไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นเช่นกัน มีเพียงบันทึกลักษณะเฉพาะอยู่ในหนังสือโบราณเท่านั้น ในแวบแรกที่มอง ฉุ่ยเมิ่งฉานย่อมไม่อาจดูออกได้ในทันที ต่อเมื่อนางดูอย่างละเอียด จึงพบว่ากระบี่ในภาพมีลักษณะเหมือนที่บันทึกไว้ ทั้งลักษณะเฉพาะ ทั้งขนาดแต่ละจุดล้วนตรงบันทึกทุกอย่าง ไม่มีผู้ใดรู้จักหนังสือโบราณนอกจากตระกูลฉุ่ยแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ ดังนั้นคำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้ก็คือ....

“นี่คือกระบี่หนานฮวงใช่หรือไม่!?” ในที่สุดนางก็เอ่ยปากถามด้วยความสงสัย ถ้อยคำของนางทำให้สตรีที่อยู่ในเงามืดตกใจจนแทบไม่เชื่อหูตัวเอง

นับหลายพันปี หรืออาจกระทั่งหลายหมื่นปี ยังจะมีเหตุผลใดสำหรับการดำรงอยู่ของสำนักจักรพรรดิใต้ นอกจากการตามหากระบี่แห่งจักรพรรดิใต้ – ‘ตัดดารา’ นี่คือเหตุผลดั้งเดิมที่สำนักจักรพรรดิใต้ดำรงอยู่ ตลอดเวลาหลายปี ไม่ต้องกล่าวถึงการตามหา กระทั่งเบาะแสใดๆของกระบี่ก็ไม่เคยปรากฎ หลังจากผ่านไปหลายปี กระทั่งผู้คนของสำนักจักรพรรดิใต้ยังนึกสงสัยถึงการมีอยู่ของมัน

แต่วันนี้ พวกนางต้องตื่นตะลึงเพราะนายน้อยแห่งตระกูลเย่ผู้นี้ พวกนางได้ยินชื่อที่ทุกคนในสำนักจักรพรรดิใต้ล้วนจดจำได้ดีจนวันตาย

“ท่านคู่ควรกับสมญาว่าองค์หญิงแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ กับการที่สามารถระบุตัวตนของมันได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ นี่คือกระบี่หนานฮวง” เย่หวูเฉินตอบ

ฉุ่ยเมิ่งฉานม้วนภาพวาดอย่างระมัดระวัง พยายามอย่างหนักที่จะกดระงับอารมณ์ไว้ “ท่านวาดภาพนี้ได้อย่างไร?”

“นี่ยังเดาได้ยากอยู่อีกหรือ?” เย่หวูเฉินหัวเราะและกล่าว “เพราะว่าข้าเคยเห็นกระบี่เล่มนี้มาก่อน ไม่เพียงแค่เห็น ข้ายังรู้ด้วยว่าตอนนี้มันอยู่ที่ใด พอได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสำนักจักรพรรดิใต้ ข้าก็รู้ว่าเดิมทีแล้วสำนักของพวกเจ้ากำลังตามหามัน”

เสียงลมหายใจของผู้ที่ซ่อนตัวอยู่กลายเป็นหนักหน่วงขึ้น กระทั่งผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนพลังใดๆ หากพวกเขาผ่านมาในยามนี้ พวกเขาย่อมเห็นคนที่ซ่อนอยู่ในเงามืดได้อย่างชัดเจน นี่คือผลกระทบของกระบี่หนานฮวงต่อพวกนาง พวกนางถึงกับเผยที่ซ่อนเพียงแค่ได้ยินชื่อของมัน หากสำนักจักรพรรดิใต้ได้กระบี่เล่มนี้มา พวกเขาย่อมสามารถปกครองโลกหล้าได้อย่างง่ายดาย กระทั่งสำนักจักรพรรดิเหนือยังจนปัญญาไม่อาจค้นหาคันศรเป่ยตี้ที่มีชื่อว่า – ‘บาปวิบัติ’

“มันอยู่ที่ไหน?” ฉุ่ยเมิ่งฉานโพล่งถาม

เย่หวูเฉินโบกมือไม่ตอบคำ เขากล่าวช้าๆ “เรามาตกลงแลกเปลี่ยนกันได้หรือยัง? โอ้ ใช่แล้ว ข้าต้องบอกแม่นางทั้งหลายที่เตรียมตัวพุ่งเข้ามา ว่าในเมื่อข้ากล้ามาเหยียบที่นี่ นั่นหมายถึงข้าไม่กลัวว่าจะตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกเจ้า พวกเจ้าสามารถลองดูได้ แต่ในท้ายที่สุด กระบี่จะตกไปอยู่ในมือของสำนักจักรพรรดิเหนืออย่างรวดเร็ว ข้าล่ะอยากเห็นจริงๆว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น หากกระบี่หนานฮวงตกอยู่ในมือของสำนักจักรพรรดิเหนือขึ้นมาจริงๆ พวกเขาจะยังรักษาความปรองดองกับพวกเจ้าอยู่หรือไม่?”

ฉุ่ยเมิ่งฉานค่อยๆสงบลง นางยกมือส่งสัญญาณให้คนที่ซ่อนอยู่ในเงาและพร้อมที่จะทำเสียเรื่อง นางกล่าวช้าๆ “คุณชายเย่ อย่าพึ่งเข้าใจผิดไป พวกนางอยู่เคียงข้างเมิ่งฉานตลอดมาและคอยปกป้องข้า พวกนางไม่ได้คิดทำร้ายท่านใดๆ คุณชายเย่ต้องการให้ข้าทำสิ่งใดเพื่อแลกกับการที่ท่านบอกที่ซ่อนของกระบี่หนานฮวง? เมิ่งฉานยินดียอมรับมัน”

“คุณหนูฉุ่ย นับว่าท่านเป็นคนตรงไปตรงมา ดังนั้นข้าจะกล่าวเข้าประเด็น” เย่หวูเฉินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จับจ้องสายตาอยู่ที่เงาร่างที่อยู่เบื้องหลังม่าน เขากล่าวต่อ “ข้าสามารถเดาได้ว่าเพราะเหตุใดคุณหนูฉุ่ยถึงมาอยู่ในเมืองเทียนหลง ข้าเดาว่าสำนักจักรพรรดิใต้ได้แทรกซึมอิทธิพลเข้าสู่เมืองเทียนหลงอยู่เงียบๆ แม้กระทั่งในราชตระกูลก็ตาม คนของพวกท่านได้กระจายกันแทรกซึมทั่วทั้งเมืองเทียนหลง...โอ้? คุณหนูฉุ่ย โปรดอย่าได้ปฏิเสธ หากให้ข้าเดา หัวหน้าราชองครักษ์หวู่ชางสมควรเป็นคนของสำนักจักรพรรดิใต้ใช่หรือไม่? ในวันนั้น ระหว่างที่ข้ามีเรื่องกับเขาหน้าบ้านหมอกฝัน ข้าคิดว่าคุณหนูฉุ่ยสมควรดูอยู่เช่นกัน ตอนนั้นเขามองขึ้นไปที่ห้องของคุณหนูฉุ่ยสามครั้ง แม้ว่าเขาจะเหลือบมองเพียงชั่วขณะ แต่ทุกครั้งสีหน้าเขาจะเต็มไปด้วยความเคารพ เท่าที่ข้าทราบ องค์จักรพรรดิแทบไม่เคยเข้าไปในบ้านหมอกฝัน”

ฉุ่ยเมิ่งฉานหัวใจเต้นกระหน่ำรุนแรง หัวหน้าราชองครักษ์หวู่ชางเป็นคนของสำนักจักรพรรดิใต้อย่างแท้จริง

แม้ยังไม่นับรวมถึงเรื่องอื่น เพียงญาณทัศนะของเขาอย่างเดียวก็บรรลุถึงระดับขั้นตะลึงโลก



<<<PREV    .    NEXT>>>