วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 60

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 60 ประชันอักษร โหมโรง

หลินเสี่ยวหันไปกล่าวกับหลงหยิน “ฝ่าบาท การแข่งขันสมควรจบลงนานแล้ว แต่หลินเสี่ยวละอายใจอยากทูลขอเวลาพระองค์และท่านผู้ชมทั้งหลาย กับคำร้องขอของข้า”

“แผลของเจ้าเป็นยังไงบ้าง?” หลงหยินถามถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
หลินเสี่ยวแสดงสีหน้ายิ้มขอบคุณ “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย นี่เป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อย ไม่มีสิ่งใดร้ายแรง แผลนี้สมควรหายได้ในเพียงไม่กี่วัน”

“เช่นนั้นข้าก็สบายใจ หากเจ้ามีสิ่งใด ก็จงกล่าวออกมา”

“ขอรับ!” หลินเสี่ยวตอบด้วยความเคารพแล้วเริ่มกล่าว “ข้าหลินเสี่ยวตลอดมามีความมั่นใจในทักษะอักษรและกระบี่ ข้าถูกเรียกขานว่าเป็นนักศึกษาอันดับหนึ่งแห่งเทียนหลงและยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง หากแต่นามเหล่านี้ล้วนไร้ความหมาย การคิดว่าตนเองเหนือล้ำสูงสุดในหมู่รุ่นเยาว์ ผลที่ตามมามีแต่ทำให้ข้าหยิ่งผยองลำพองตน อีกทั้งยังรู้สึกเปล่าเปลี่ยว วันนี้ หลังจากที่ได้ประลองกับนายน้อยเย่ ข้าจึงตระหนักได้ว่ายังมีผู้ยอดเยี่ยมและแข็งแกร่งกว่าข้าอยู่เสมอ ก่อนหน้านี้ ข้าเพียงโอหังและมั่นใจ ยามนี้ ข้าทั้งละอายและยินดี เมื่อเห็นผู้อื่นออกล่า ข้าทั้งตื่นเต้นและหวั่นไหว นายน้อยเย่ไม่เพียงมีวรยุทธเหนือล้ำไม่ธรรมดา แต่ยังฉลาดหลักแหลมไร้ที่เปรียบปาน มีทั้งวาจาที่คมกล้าและวิทยายุทธอันยอดเยี่ยม เนื่องจากเขามีวรยุทธที่ลึกล้ำเกินข้าไปห่างไกล ดังนั้นข้าจึงอยากประลองพรสวรรค์ทางด้านอักษร ข้าหวังว่าฝ่าบาทและนายน้อยเย่จะตกลง”

หลังจากกล่าวจบ เขามองด้วยสายตาเจิดจ้าไปที่เย่หวูเฉิน ส่งความหมายกระตุ้นเร้าอย่างชัดเจน

มีเสียงกระซิบกระซาบในฉับพลัน ชาวเทียนหลงผู้ใดบ้างไม่ทราบว่าหลินเสี่ยวมีฉายา นักศึกษาอันดับหนึ่งแห่งเทียนหลงแม้ทักษะวิชายุทธของเขาจะแตะขอบขั้นสูงส่งในหมู่ผู้เยาว์ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเหล่าผู้อาวุโสจำนวนไม่ถ้วนในอาณาจักรเทียนหลงแล้ว เขายังนับว่ามีฝีมืออยู่ในระดับกลางเท่านั้น หากแต่ความฉลาดรอบรู้ของเขานั้นเหนือล้ำกว่าทักษะยุทธอย่างมาก มากเสียจนยอดบัณฑิตรุ่นก่อนหลายคนต้องยอมศิโรราบเบื้องหน้าเขา ทั้งพวกเขายังประกาศว่าตลอดชีวิตไม่เคยพบเจอผู้ใดมีพรสวรรค์เช่นนี้มาก่อนเลย และย่อมไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเขาได้อีก ไม่ว่าจะเป็นสี่ศิลปะ(ดนตรี , หมากล้อม , อักษร , วาดรูป) , บทกลอน , ร้องเพลง หรือ บทกวี ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในขั้นสูงสุด ทักษะพรสวรรค์ของเขาแตะถึงขั้นเหนือล้ำเกินจินตนาการ

เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการใช้พรสวรรค์สูงส่งเหล่านี้เพื่อกู้หน้าตระกูลหลิน หากแต่ว่านายน้อยตระกูลเย่จะกล้าประจัญหน้ากับเขาหรือ? เบื้องหน้าพระพักตร์และเหล่าผู้คน การปฏิเสธคำเชิญประลองย่อมหมายถึงชัยชนะของตระกูลหลินในทันที แต่หากเขายอมรับคำท้า...นายน้อยตระกูลเย่จะมีความหวังเอาชนะได้ด้วยหรือ?

หลงหยินผงกศีรษะ “สองสุดยอดพรสวรรค์ประลองทักษะกันย่อมเป็นฉากที่น่ามหัศจรรย์เหนือสิ่งใด กระทั่งข้ายังไม่อาจอดทนไหว เหตุใดข้าจึงจะไม่อนุญาต ทุกคนต่างรู้ดีในความสามารถของหลินเสี่ยว และหวูเฉินเองก็ย่อมไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน เจ้าตัดสินใจได้รึยัง หวูเฉิน?

เย่หวูเฉินพิจารณาอย่างรอบคอบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวอย่างเสียไม่ได้ “ในเมื่อเป็นความคาดหวังของฝ่าบาท ข้าย่อมน้อมรับคำท้าประชันอักษรของนายน้อยหลิน”

ดูจากท่าทางและน้ำเสียง ราวกับว่าเขายอมรับการประลองไม่ใช่เพราะหมดทางเลือก หากแต่...เพราะความคาดหวังขององค์จักรพรรดิ เย่หวูเฉินดูคล้ายไม่มีความสนใจใดๆกับการแข่งครั้งนี้เลย

หลังจากให้คำตอบ บรรยากาศโดยรอบก็ยิ่งกระตือรือล้น ปรากฎการณ์ที่น่าสนใจกำลังจะเริ่มขึ้น ผู้คนจำนวนมากต่างตื่นเต้นที่จะได้เป็นพยานต่อการแสดงพรสวรรค์ยอดเยี่ยมของหลินเสี่ยว

“คุณชายหลิน ท่านอยากประลองด้วยวิธีใด?” เย่หวูเฉินถาม

“มิทราบว่าคุณชายเย่เชี่ยวชาญในเรื่องใด” หลินเสี่ยวถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่ผู้คนยังรับรู้ได้ถึงความหยิ่งผยองจากความหมาย เขามั่นใจในพรสวรรค์ของตน ไม่เพียงในหมู่รุ่นเยาว์ กระทั่งทั่วทั้งอาณาจักรเทียนหลง เขาเชื่อว่ายากที่จะหาผู้ใดเป็นคู่มือกับเขาได้

“ข้าเอาตามที่ท่านว่า ในเมื่อท่านเป็นคนเสนอการประชันอักษร ท่านก็สมควรเป็นผู้ตัดสินใจ” เย่หวูเฉินตอบกลับอย่างห้าวหาญ ปักหลักในจุดยืน ไม่มีใครอยากแข่งขันในสิ่งที่ตนไม่ถนัด หากเขาเอาชนะได้ อย่างน้อยฝ่ายตรงข้ามย่อมต้องยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้ง

“ถ้าเช่นนั้น พวกเราสมควรทูลขอให้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัย?

เย่หวูเฉินพยักหน้า ให้ความยินยอม


หลินเสี่ยวหันร่างไปแล้วกล่าว “เพื่อความยุติธรรม หลินเสี่ยวขอบังอาจทูลขอฝ่าบาทเป็นประธานการแข่งขันระหว่างพวกเราสองคน บทกลอน , ร้องเพลง , บทกวี และ สี่ศิลปะ (ดนตรี , หมากล้อม , อักษร , วาดรูป) ทุกอย่างล้วนยอมรับได้!

“โฮ่โฮ่! น่าสนใจ ข้าจะเลือกการแข่งให้พวกเจ้าเอง ประชันอักษรนั้นต่างจากการประลองวิชายุทธ เงื่อนไขปัจจัยหลายอย่างล้วนเกี่ยวข้อง เพียงการแข่งเดียวย่อมไม่อาจตัดสินผู้แพ้ชนะได้ ข้าจะให้พวกเจ้าแข่งกันสามรอบ หากใครชนะได้สองรอบให้ถือว่าเป็นฝ่ายชนะ พวกเจ้ายอมรับได้หรือไม่?” หลงหยินกล่าวพร้อมหัวเราะ แสดงความสนใจอย่างมากกับการประลองที่กำลังจะเกิดขึ้น

“น้อมรับตามพระบัญชาของฝ่าบาท” เย่หวูเฉินและหลินเสี่ยวกล่าวพร้อมกัน ในตอนนี้ทั้งคู่ต่างมีความคิดผิดปกติแบบเดียวกัน แค่สองรอบก็พอ รอบที่สามคงไม่จำเป็น

“ประเสริฐ!” หลงหยินพยักหน้า คิ้วขมวดเล็กน้อยขณะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าว “แผนเดิมของข้าคือหลังจากจบการแข่งครั้งนี้แล้ว ข้าจะไปเที่ยวชมทะเลสาบด้านตะวันตกของเมือง จากนั้นทำงานอดิเรกคือวาดรูปอันน่าหลงใหล ข้าเผอิญนำอุปกรณ์การวาดมาสองชุดพอดี เมื่อเป็นเช่นนี้ รอบแรกของพวกเจ้าคือวาดภาพประชัน!

หลงหยินปรบมือ ผู้ติดตามที่นั่งอยู่เบื้องหลังสองคนลุกขึ้นทันที แต่ละคนนำกระดานไม้จันทร์ขนาดใหญ่และอุปกรณ์การวาดอื่นๆตรงไปยังเย่หวูเฉินและหลินเสี่ยว พวกเขาตั้งกระดานแล้วคลี่แผ่นกระดาษวาดภาพ พู่กันและน้ำหมึกทุกชนิด จากนั้นทิ้งไว้ให้สองบุรุษหนุ่มและพวกเขาก็กลับไปยังที่นั่งของตน

วาดรูปในที่สาธารณะ... ผู้คนต่างยืดคอมอง ไม่อาจอดทนรอ พวกเขาแอบชื่นชมองค์จักรพรรดิที่มีปรีชาญาณราวกับรู้อนาคตนำอุปกรณ์วาดรูปติดมาด้วย

“นี่...ไม่ดีแล้ว เฉินเอ๋อร์เจ็บป่วยมาตั้งแต่เด็ก เขาไม่เคยเรียนการวาดรูป” หวังเวิ่นชูกลับมากังวลอีกครั้ง นางไม่สนใจการแข่งขัน แต่นางไม่อาจทนเห็นบุตรชายที่รักต้องเสียชื่อต่อหน้าผู้คน

เย่ฉุ่ยเหยาอยากกล่าวบางสิ่งแต่ก็หยุดชะงักไป สายตานางติดตรึงที่เย่หวูเฉิน รอให้เขาเผยตัวตนออกมา วันนี้ เป็นอีกครั้งที่นางพยายามทำความเข้าใจในตัวน้องชาย ผู้ที่นางรู้จักมาตั้งแต่เกิด

“อย่ากังวลเลย ไม่ว่าเขาจะแพ้ย่อยยับแค่ไหน แต่หลังจากวันนี้ไป ชื่อเสียงของเขาย่อมขจรขจายไปทั่วทั้งอาณาจักรเทียนหลง! แพ้แล้วอย่างไร ตระกูลเย่เราไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับบทกวีและโคลงกลอนอยู่แล้ว” เย่เว่ยกล่าวอย่างมั่นใจ ใบหน้าของเขาไม่ปรากฎความกังวลหากแต่แทนที่ด้วยความภาคภูมิ

“เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง” เย่หนู่พยักหน้า เขาเชื่อโดยไม่แคลงใจว่าเย่หวูเฉินไม่อาจเปรียบเทียบกับหลินเสี่ยวในเรื่องประชันอักษรได้แม้แต่น้อย แต่นั่นหมายความว่าอะไร? การที่หลินเสี่ยวเสนอประชันอักษรย่อมเห็นได้ชัดว่ากำลังถูกกดดันจนเข้าตาจนและต้องใช้ทางเลือกสุดท้ายเพื่อกู้ชื่อเสียงกลับมา สำหรับเย่หนู่ผู้ที่ต่อสู้ในสมรภูมิโชกเลือดมาหลายปี เขาไม่ให้ค่าพวกบัณฑิตที่เอาแต่ซุกอยู่ในรังบ้านของตนและท่องบทกลอนบทกวี สำหรับทวีปเทียนเฉินนั้นให้คุณค่านับถือผู้ที่มีวรยุทธ

“การประลองยังไม่ทันเริ่ม แต่เจ้าก็พยายามแก้ต่างให้หลานชายแล้ว ถ้าเช่นนั้น ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมแพ้ไปเลย จะได้ง่ายขึ้น?” หลินขวงแค่นเสียงใส่

“น้องชายของเจ้าเป็นหลานของหลานชายข้า ซึ่งก็หมายความว่า เจ้าเป็นหลานของหลานชายข้าเช่นกัน เวลาผู้อาวุโสพูด พวกผู้เยาว์อย่าได้สอดคำ” เย่หนู่แค่นเสียงเย็นชา

“เจ้า!” หลินขวงโกรธขึ้ง ขณะที่กำลังจะยืนขึ้นทะเลาะก็นึกถึงสถานการณ์ขึ้นได้ เขากดระงับความโกรธแล้วไม่มองไปที่เย่หนู่อีก

“ไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับหัวข้อการวาด พวกเจ้าสามารถวาดสิ่งใดก็ได้ตามที่ต้องการ แต่เมื่อเวลาผ่านไปครบหนึ่งในสี่ชั่วโมง ไม่ว่าพวกเจ้าจะวาดภาพเสร็จหรือไม่ พวกเจ้าก็ต้องหยุดมือ” หลงหยินกล่าว


<<<PREV    .    NEXT>>>