ตอนที่ 60 ประชันอักษร –
โหมโรง
หลินเสี่ยวหันไปกล่าวกับหลงหยิน
“ฝ่าบาท การแข่งขันสมควรจบลงนานแล้ว
แต่หลินเสี่ยวละอายใจอยากทูลขอเวลาพระองค์และท่านผู้ชมทั้งหลาย กับคำร้องขอของข้า”
“แผลของเจ้าเป็นยังไงบ้าง?”
หลงหยินถามถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“เช่นนั้นข้าก็สบายใจ
หากเจ้ามีสิ่งใด ก็จงกล่าวออกมา”
“ขอรับ!” หลินเสี่ยวตอบด้วยความเคารพแล้วเริ่มกล่าว
“ข้าหลินเสี่ยวตลอดมามีความมั่นใจในทักษะอักษรและกระบี่ ข้าถูกเรียกขานว่าเป็นนักศึกษาอันดับหนึ่งแห่งเทียนหลงและยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง
หากแต่นามเหล่านี้ล้วนไร้ความหมาย การคิดว่าตนเองเหนือล้ำสูงสุดในหมู่รุ่นเยาว์
ผลที่ตามมามีแต่ทำให้ข้าหยิ่งผยองลำพองตน อีกทั้งยังรู้สึกเปล่าเปลี่ยว วันนี้
หลังจากที่ได้ประลองกับนายน้อยเย่ ข้าจึงตระหนักได้ว่ายังมีผู้ยอดเยี่ยมและแข็งแกร่งกว่าข้าอยู่เสมอ
ก่อนหน้านี้ ข้าเพียงโอหังและมั่นใจ ยามนี้ ข้าทั้งละอายและยินดี เมื่อเห็นผู้อื่นออกล่า
ข้าทั้งตื่นเต้นและหวั่นไหว นายน้อยเย่ไม่เพียงมีวรยุทธเหนือล้ำไม่ธรรมดา
แต่ยังฉลาดหลักแหลมไร้ที่เปรียบปาน มีทั้งวาจาที่คมกล้าและวิทยายุทธอันยอดเยี่ยม
เนื่องจากเขามีวรยุทธที่ลึกล้ำเกินข้าไปห่างไกล
ดังนั้นข้าจึงอยากประลองพรสวรรค์ทางด้านอักษร
ข้าหวังว่าฝ่าบาทและนายน้อยเย่จะตกลง”
หลังจากกล่าวจบ เขามองด้วยสายตาเจิดจ้าไปที่เย่หวูเฉิน
ส่งความหมายกระตุ้นเร้าอย่างชัดเจน
มีเสียงกระซิบกระซาบในฉับพลัน ชาวเทียนหลงผู้ใดบ้างไม่ทราบว่าหลินเสี่ยวมีฉายา
‘นักศึกษาอันดับหนึ่งแห่งเทียนหลง’
แม้ทักษะวิชายุทธของเขาจะแตะขอบขั้นสูงส่งในหมู่ผู้เยาว์ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเหล่าผู้อาวุโสจำนวนไม่ถ้วนในอาณาจักรเทียนหลงแล้ว
เขายังนับว่ามีฝีมืออยู่ในระดับกลางเท่านั้น หากแต่ความฉลาดรอบรู้ของเขานั้นเหนือล้ำกว่าทักษะยุทธอย่างมาก
มากเสียจนยอดบัณฑิตรุ่นก่อนหลายคนต้องยอมศิโรราบเบื้องหน้าเขา ทั้งพวกเขายังประกาศว่าตลอดชีวิตไม่เคยพบเจอผู้ใดมีพรสวรรค์เช่นนี้มาก่อนเลย
และย่อมไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเขาได้อีก ไม่ว่าจะเป็นสี่ศิลปะ(ดนตรี , หมากล้อม , อักษร , วาดรูป) ,
บทกลอน , ร้องเพลง หรือ บทกวี
ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในขั้นสูงสุด ทักษะพรสวรรค์ของเขาแตะถึงขั้นเหนือล้ำเกินจินตนาการ
เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการใช้พรสวรรค์สูงส่งเหล่านี้เพื่อกู้หน้าตระกูลหลิน
หากแต่ว่านายน้อยตระกูลเย่จะกล้าประจัญหน้ากับเขาหรือ? เบื้องหน้าพระพักตร์และเหล่าผู้คน
การปฏิเสธคำเชิญประลองย่อมหมายถึงชัยชนะของตระกูลหลินในทันที
แต่หากเขายอมรับคำท้า...นายน้อยตระกูลเย่จะมีความหวังเอาชนะได้ด้วยหรือ?
หลงหยินผงกศีรษะ “สองสุดยอดพรสวรรค์ประลองทักษะกันย่อมเป็นฉากที่น่ามหัศจรรย์เหนือสิ่งใด
กระทั่งข้ายังไม่อาจอดทนไหว เหตุใดข้าจึงจะไม่อนุญาต
ทุกคนต่างรู้ดีในความสามารถของหลินเสี่ยว
และหวูเฉินเองก็ย่อมไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน เจ้าตัดสินใจได้รึยัง หวูเฉิน?”
เย่หวูเฉินพิจารณาอย่างรอบคอบอยู่ครู่หนึ่ง
จากนั้นกล่าวอย่างเสียไม่ได้ “ในเมื่อเป็นความคาดหวังของฝ่าบาท
ข้าย่อมน้อมรับคำท้าประชันอักษรของนายน้อยหลิน”
ดูจากท่าทางและน้ำเสียง
ราวกับว่าเขายอมรับการประลองไม่ใช่เพราะหมดทางเลือก
หากแต่...เพราะความคาดหวังขององค์จักรพรรดิ เย่หวูเฉินดูคล้ายไม่มีความสนใจใดๆกับการแข่งครั้งนี้เลย
หลังจากให้คำตอบ
บรรยากาศโดยรอบก็ยิ่งกระตือรือล้น ปรากฎการณ์ที่น่าสนใจกำลังจะเริ่มขึ้น
ผู้คนจำนวนมากต่างตื่นเต้นที่จะได้เป็นพยานต่อการแสดงพรสวรรค์ยอดเยี่ยมของหลินเสี่ยว
“คุณชายหลิน ท่านอยากประลองด้วยวิธีใด?” เย่หวูเฉินถาม
“มิทราบว่าคุณชายเย่เชี่ยวชาญในเรื่องใด”
หลินเสี่ยวถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หากแต่ผู้คนยังรับรู้ได้ถึงความหยิ่งผยองจากความหมาย เขามั่นใจในพรสวรรค์ของตน
ไม่เพียงในหมู่รุ่นเยาว์ กระทั่งทั่วทั้งอาณาจักรเทียนหลง
เขาเชื่อว่ายากที่จะหาผู้ใดเป็นคู่มือกับเขาได้
“ข้าเอาตามที่ท่านว่า
ในเมื่อท่านเป็นคนเสนอการประชันอักษร ท่านก็สมควรเป็นผู้ตัดสินใจ” เย่หวูเฉินตอบกลับอย่างห้าวหาญ
ปักหลักในจุดยืน ไม่มีใครอยากแข่งขันในสิ่งที่ตนไม่ถนัด หากเขาเอาชนะได้
อย่างน้อยฝ่ายตรงข้ามย่อมต้องยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
“ถ้าเช่นนั้น
พวกเราสมควรทูลขอให้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัย?”
เย่หวูเฉินพยักหน้า ให้ความยินยอม
หลินเสี่ยวหันร่างไปแล้วกล่าว
“เพื่อความยุติธรรม หลินเสี่ยวขอบังอาจทูลขอฝ่าบาทเป็นประธานการแข่งขันระหว่างพวกเราสองคน
บทกลอน , ร้องเพลง , บทกวี และ สี่ศิลปะ (ดนตรี , หมากล้อม , อักษร , วาดรูป) ทุกอย่างล้วนยอมรับได้!”
“โฮ่โฮ่! น่าสนใจ
ข้าจะเลือกการแข่งให้พวกเจ้าเอง ประชันอักษรนั้นต่างจากการประลองวิชายุทธ
เงื่อนไขปัจจัยหลายอย่างล้วนเกี่ยวข้อง เพียงการแข่งเดียวย่อมไม่อาจตัดสินผู้แพ้ชนะได้
ข้าจะให้พวกเจ้าแข่งกันสามรอบ หากใครชนะได้สองรอบให้ถือว่าเป็นฝ่ายชนะ
พวกเจ้ายอมรับได้หรือไม่?” หลงหยินกล่าวพร้อมหัวเราะ
แสดงความสนใจอย่างมากกับการประลองที่กำลังจะเกิดขึ้น
“น้อมรับตามพระบัญชาของฝ่าบาท”
เย่หวูเฉินและหลินเสี่ยวกล่าวพร้อมกัน
ในตอนนี้ทั้งคู่ต่างมีความคิดผิดปกติแบบเดียวกัน แค่สองรอบก็พอ
รอบที่สามคงไม่จำเป็น
“ประเสริฐ!” หลงหยินพยักหน้า
คิ้วขมวดเล็กน้อยขณะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าว
“แผนเดิมของข้าคือหลังจากจบการแข่งครั้งนี้แล้ว
ข้าจะไปเที่ยวชมทะเลสาบด้านตะวันตกของเมือง จากนั้นทำงานอดิเรกคือวาดรูปอันน่าหลงใหล
ข้าเผอิญนำอุปกรณ์การวาดมาสองชุดพอดี เมื่อเป็นเช่นนี้
รอบแรกของพวกเจ้าคือวาดภาพประชัน!”
หลงหยินปรบมือ ผู้ติดตามที่นั่งอยู่เบื้องหลังสองคนลุกขึ้นทันที
แต่ละคนนำกระดานไม้จันทร์ขนาดใหญ่และอุปกรณ์การวาดอื่นๆตรงไปยังเย่หวูเฉินและหลินเสี่ยว
พวกเขาตั้งกระดานแล้วคลี่แผ่นกระดาษวาดภาพ พู่กันและน้ำหมึกทุกชนิด จากนั้นทิ้งไว้ให้สองบุรุษหนุ่มและพวกเขาก็กลับไปยังที่นั่งของตน
วาดรูปในที่สาธารณะ...
ผู้คนต่างยืดคอมอง ไม่อาจอดทนรอ พวกเขาแอบชื่นชมองค์จักรพรรดิที่มีปรีชาญาณราวกับรู้อนาคตนำอุปกรณ์วาดรูปติดมาด้วย
“นี่...ไม่ดีแล้ว เฉินเอ๋อร์เจ็บป่วยมาตั้งแต่เด็ก
เขาไม่เคยเรียนการวาดรูป” หวังเวิ่นชูกลับมากังวลอีกครั้ง นางไม่สนใจการแข่งขัน
แต่นางไม่อาจทนเห็นบุตรชายที่รักต้องเสียชื่อต่อหน้าผู้คน
เย่ฉุ่ยเหยาอยากกล่าวบางสิ่งแต่ก็หยุดชะงักไป
สายตานางติดตรึงที่เย่หวูเฉิน รอให้เขาเผยตัวตนออกมา วันนี้
เป็นอีกครั้งที่นางพยายามทำความเข้าใจในตัวน้องชาย ผู้ที่นางรู้จักมาตั้งแต่เกิด
“อย่ากังวลเลย ไม่ว่าเขาจะแพ้ย่อยยับแค่ไหน
แต่หลังจากวันนี้ไป ชื่อเสียงของเขาย่อมขจรขจายไปทั่วทั้งอาณาจักรเทียนหลง! แพ้แล้วอย่างไร ตระกูลเย่เราไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับบทกวีและโคลงกลอนอยู่แล้ว”
เย่เว่ยกล่าวอย่างมั่นใจ
ใบหน้าของเขาไม่ปรากฎความกังวลหากแต่แทนที่ด้วยความภาคภูมิ
“เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง”
เย่หนู่พยักหน้า เขาเชื่อโดยไม่แคลงใจว่าเย่หวูเฉินไม่อาจเปรียบเทียบกับหลินเสี่ยวในเรื่องประชันอักษรได้แม้แต่น้อย
แต่นั่นหมายความว่าอะไร? การที่หลินเสี่ยวเสนอประชันอักษรย่อมเห็นได้ชัดว่ากำลังถูกกดดันจนเข้าตาจนและต้องใช้ทางเลือกสุดท้ายเพื่อกู้ชื่อเสียงกลับมา
สำหรับเย่หนู่ผู้ที่ต่อสู้ในสมรภูมิโชกเลือดมาหลายปี เขาไม่ให้ค่าพวกบัณฑิตที่เอาแต่ซุกอยู่ในรังบ้านของตนและท่องบทกลอนบทกวี
สำหรับทวีปเทียนเฉินนั้นให้คุณค่านับถือผู้ที่มีวรยุทธ
“การประลองยังไม่ทันเริ่ม แต่เจ้าก็พยายามแก้ต่างให้หลานชายแล้ว
ถ้าเช่นนั้น ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมแพ้ไปเลย จะได้ง่ายขึ้น?”
หลินขวงแค่นเสียงใส่
“น้องชายของเจ้าเป็นหลานของหลานชายข้า
ซึ่งก็หมายความว่า เจ้าเป็นหลานของหลานชายข้าเช่นกัน เวลาผู้อาวุโสพูด
พวกผู้เยาว์อย่าได้สอดคำ” เย่หนู่แค่นเสียงเย็นชา
“เจ้า!” หลินขวงโกรธขึ้ง
ขณะที่กำลังจะยืนขึ้นทะเลาะก็นึกถึงสถานการณ์ขึ้นได้
เขากดระงับความโกรธแล้วไม่มองไปที่เย่หนู่อีก
“ไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับหัวข้อการวาด
พวกเจ้าสามารถวาดสิ่งใดก็ได้ตามที่ต้องการ แต่เมื่อเวลาผ่านไปครบหนึ่งในสี่ชั่วโมง
ไม่ว่าพวกเจ้าจะวาดภาพเสร็จหรือไม่ พวกเจ้าก็ต้องหยุดมือ” หลงหยินกล่าว