วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 123

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 123 หนึ่งวันกับหลงฮวงเอ๋อร์ (2)

หลงฮวงเอ๋อร์เชิดจมูกขึ้น ไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอ นางแค่นเสียงบางเบา จากนั้นเพ่งสมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่กับการจับปลา พวกมันแหวกว่ายอยู่ทั่ว หลงฮวงเอ๋อร์พบเป้าหมายอย่างรวดเร็ว นางรีบเดินแหวกน้ำเข้าไปหาเป้าหมาย แต่นางเหยียบพลาดและล้มคว่ำลงในน้ำ

เย่หวูเฉินหัวเราะร่วน หลงฮวงเอ๋อร์พรวดขึ้นจากน้ำด้วยความอับอาย ชุดของนางเปียกเกือบทุกส่วน นางไม่จำเป็นต้องยกชายกระโปรงอีกต่อไป นางปาดหยดน้ำออกจากหน้าและกล่าว “ฮึ่ม! ข้าไม่ทันระวัง ข้าไม่มีทางแพ้ท่านแน่”

“ข้าจับได้สองตัวแล้ว” เย่หวูเฉินยกปลาในมือทั้งสองข้าง แต่ละข้างจับปลาหนึ่งตัว เขาโยนปลาไปข้างหลังแล้วนั่งบนโขดหินริมลำธาร มององค์หญิงเฟยฮวงที่กำลังอยู่กลางสายน้ำ เขาไม่สนใจว่าปลาสองตัวที่จับได้จะหนีไป

ในที่สุดหลงฮวงเอ๋อร์ก็พบเหยื่อตัวใหม่ นางย่องช้าๆด้วยปลายเท้า แล้วใช้มือจ้วงจับในฉับพลัน เสียงน้ำแตกกระเซ็นกระเด็นไปทั่ว พร้อมกับปลาที่ว่ายดิ้นหนีไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ใด หลงฮวงเอ๋อร์กระทืบเท้า นางยังไม่ยอมแพ้และหาเหยื่อตัวใหม่

บนท้องฟ้าไร้หมู่เมฆและมีลมพัดโชยอ่อน เย่หวูเฉินเงยมองฟ้าแล้วพึมพำแผ่วเบา “ฝนจะตกหรือ?”

“ข้าจับได้แล้ว ข้าจับได้แล้ว...อ๊า!”

ดีใจได้อยู่ชั่วครู่ ปลาตัวน้อยเหยื่อที่หลงฮวงเอ๋อร์จับได้ก็ลื่นหลุดมือ ตกลงสู่ธารน้ำแล้วว่ายหนีไป

“....ข้าช่างน่าสงสารจริงๆ ไม่อาจจับได้สักตัวเดียว ท่านไม่ช่วยข้าเลยด้วย” หลงฮวงเอ๋อร์ยอมแพ้ในที่สุด หัวใจเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย

“ข้างๆเท้าของท่าน มีปลาตัวโตมากอยู่” เย่หวูเฉินกล่าวราบเรียบ

“เอ๋?” หลงฮวงเอ๋อร์รีบมองไปที่เท้า นางพบปลาตัวใหญ่จริงๆ มันยาวมากกว่าสองเท่าของเท้าของนาง มันนิ่งไม่ไหวติงยกเว้นปากที่พะงับพะงาบ หลงฮวงเอ๋อร์ก้มร่างลงอย่างระมัดระวัง มือนางค่อยๆเคลื่อนเข้าไปใกล้ จากนั้นคว้าจับแน่นอย่างฉับพลัน

“ดูๆ ข้าจับมันได้แล้ว!” นางตะโกนร้องอย่างตื่นเต้น เพื่อกันปลาหลุดจากมือซ้ำสอง คราวนี้นางฉลาดขึ้นและโยนมันไปบนพื้นหญ้าข้างลำธาร แต่เพราะออกแรงมากเกินไป นางจึงลื่นล้มหงายลงน้ำอีกครั้ง นางใช้เรี่ยวแรงที่มีปีนขึ้นฝั่ง หัวเราะราวกับร้อยบุปผาเบ่งบาน ไม่สนใจความเจ็บปวดบนร่างกาย

ฮ้า... เล่นกับเด็กนี่ช่างเหน็ดเหนื่อยนัก ถึงกับต้องใช้พลังวิญญาณ เย่หวูเฉินลอบหัวเราะจากนั้นลุกขึ้นยืน ถือปลาสามตัวไว้ในมือ ชูขึ้นสูงแล้วแกว่งสองครั้ง “มาทานมื้อเที่ยงกันเถอะ”

.................................

พื้นที่ตรงนี้เป็นเนินเขาข้างถนนหลัก... เป็นเนินใหญ่เต็มไปด้วยพื้นหญ้าเขียว ด้านข้างของกองไฟที่สุมด้วยเศษไม้ หลงฮวงเอ๋อร์ถือไม้เสียบปลาไว้และเขมือบอย่างตะกละตะกลาม ไม่เคยรู้เลยว่าปลาจากลำธารเมื่อย่างไฟแล้วจะอร่อยถึงเพียงนี้ อร่อยยิ่งกว่าพวกอาหารแปลกตาที่นางต้องฝืนกิน

“อร่อยหรือไม่?” เยห่วูเฉินเสียบไม้สะอาดใส่ปลาอีกตัวแล้วปิ้งไฟ

“อร่อย อร่อยมากๆเลย” เดินมาแสนไกลและสนุกเกือบทั้งวัน ท้องของนางร้องประท้วงด้วยความหิว นอกจากอารมณ์ที่ปราศจากความกังวลอย่างไม่เคยเป็น ท้องของนางยังเจริญอาหารขึ้นด้วย

“ท่านสุดยอดจริงๆ กระทั่งอาหารที่ท่านย่างไฟยังอร่อยขนาดนี้... ตั้งแต่นี้ไป ท่านจะทำอาหารให้ข้ากินทุกวันได้หรือไม่?” หลงฮวงเอ๋อร์ฉีกเนื้อปลาขณะที่ถามตาปริบๆ

เย่หวูเฉินกล่าวติดตลก “เสี่ยวฮวงเอ๋อร์ ข้าเป็นว่าที่สามีเจ้า เรื่องการเตรียมอาหารสมควรเป็นหน้าที่ของเจ้า”

หลงฮวงเอ๋อร์หน้าแดงฝาด นางกัดเนื้อปลาทีละน้อย จากนั้นกล่าวเสียงเบา “แต่ข้าทำไม่เป็น”

“สามารถฝึกฝนได้” มองดูปลาในมือของนางที่ถูกกินจนเรียบ หากนางยังกินต่อ นางคงกินไม้เสียบลงไปด้วย เขายื่นปลาย่างอีกไม้ให้นาง “เอ้านี่ กินซะ ก่อนที่เสี่ยวฮวงเอ๋อร์จะเรียนทำอาหาร ข้าจะยอมลดตัวเตรียมอาหารให้เจ้าทุกวัน”

หลงฮวงเอ๋อร์รับมาแล้วแลบลิ้นทะเล้น นางคิดในใจว่าจะไม่มีวันเรียนเพื่อจะได้ทานอาหารฝีมือเขาทุกวัน

เพียงไม่นาน ปลาตัวที่สองและสามก็ถูกหลงฮวงเอ๋อร์จัดการจนหมด นางโยนกระดูกปลาทิ้งแล้วลูบท้องน้อยๆอย่างพึงอกพึงใจ ก่อนที่จะตระหนักได้ว่าว่าที่สามียังไม่ได้กินสักตัว นางรู้สึกละอายทันที “ดู... ดูเหมือนว่าท่านจะยังไม่ได้กิน”

เย่หวูเฉินใช้แขนเสื้อเช็ดปากให้นางอย่างอ่อนโยน จากนั้นกล่าวพลางหัวเราะ “เจ้าช่วยข้ากินแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ข้าไม่หิว”

ทั้งการกระทำ , สีหน้า , น้ำเสียง ทั้งหมดของเขาล้วนอ่อนโยน หลงฮวงเอ๋อร์รู้สึกว่าจมูกเริ่มสะอื้นในฉับพลัน บางสิ่งเริ่มปริ่มที่ดวงตา ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ เขาเป็นคนแรกที่เต็มใจเล่นกับนาง เป็นคนแรกที่เช็ดปากให้นางอย่างอ่อนโยน สิ่งเหล่านี้ช่างอบอุ่นและนางทำได้เพียงฝันถึงตลอดมา

ครืน

สายลมเย็นกรรโชก ท้องฟ้ากระจ่างใสเมื่อครู่เต็มไปด้วยเมฆครึ้มในฉับพลัน เสียงฟ้าคำรามค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้ เย่หวูเฉินดึงหลงฮวงเอ๋อร์ลุกขึ้น “ฮวงเอ๋อร์ ฝนกำลังจะตก รีบเข้าไปหลบฝนที่วัดร้างเล็กๆนั่นกัน”

ยืนอยู่ในที่สูงและโล่งกว้างขณะฝนฟ้าคะนองนั้นเสี่ยงต่อชีวิต พวกเขาทั้งสองวิ่งไปที่วัดร้างที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อพวกเขาพลักประตูไม้เก่าโทรมเปิดออก ห่าฝนและสายลมก็กรรโชกมา พวกมันมาถึงอย่างรวดเร็ว เสียงฟ้าผ่าที่ดังขึ้นเรื่อยๆมาพร้อมเสียงฝนที่ตกกระหน่ำ

“กอดข้า” หลงฮวงเอ๋อร์กางแขนออกยื่นไปทางเขา สายตาเปล่งประกาย

เย่หวูเฉินกอดนางโดยไม่ลังเล รั้งนางไว้ในอ้อมแขน ใช้มือปลอบประโลมนาง

“ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่ฟ้าผ่า ข้าจะกลัวอย่างมาก แม้ว่าข้าจะเรียกนางกำนัลมากมายมา ข้าก็ยังกลัวมากอยู่ดี ในยามกลางคืนข้ากลัวจนไม่อาจนอนหลับ แต่เมื่ออยู่กับท่าน ข้าไม่รู้สึกกลัวสิ่งใดเลย ไม่มีแม้แต่น้อย” หลงฮวงเอ๋อร์ใช้มือวาดวงกลมบนอกเขา ขณะที่กล่าวเสียงแผ่วเบา

“ข้าไม่เคยต้องการกลับไปที่ราชวัง ในนั้นข้ารู้สึกโดดเดี่ยว นอกจากพระบิดาและพี่ใหญ่ ไม่มีใครปฏิบัติต่อข้าด้วยดี บางครั้งพวกเขายังรังแกข้า... แต่ข้าแกล้งพวกเขากลับคืน พระบิดานั้นยุ่งอยู่ตลอด เขาไม่มีเวลามาเยี่ยมข้า พี่ใหญ่ก็ไม่อยู่ที่นี่มาหลายปี ในปีหนึ่งเขาจะมาเยี่ยมข้าสักครั้ง...”

พี่ใหญ่ที่นางหมายถึงสมควรเป็นหลงเจิ้งหยาง

“พรุ่งนี้...ท่านจะพาข้ามาเล่นอยู่หรือเปล่า?” นางถามเสียงเบา

“แน่นอนข้าจะมา ในไม่กี่วันนี้ หากว่าเจ้าต้องการ ข้าจะพาเจ้าออกมาเล่น” เย่หวูเฉินกล่าวอย่างอ่อนโยน

“อืม... ทำไมท่านถึงดีกับข้านัก?”

“เพราะเจ้าคือว่าที่ภรรยาของข้า เจ้าก็พึ่งพูดเองไม่ใช่หรือ?” เย่หวูเฉินกล่าวพร้อมแตะจมูกนาง

“อืม....”

ห่าฝนตกกระหน่ำสายฟ้าเกรี้ยวกราด หลงฮวงเอ๋อร์พิงซบอยู่ตรงไหล่ ผล็อยหลับไปอย่างสงบและมั่นคง กระทั่งเสียงฟ้าลั่นยังไม่อาจปลุกนาง เย่หวูเฉินกอดนางไว้ขณะนั่งอยู่บนพื้น มองนางหลับอย่างมีความสุข สายตาที่สั่นไหวไม่ทราบว่านางกำลังฝันถึงเรื่องใด

ต่อให้ในอนาคตองค์หญิงเฟยฮวงกลายเป็นจักรพรรดิณี ต่อให้ในวันหน้านางได้หลับอย่างสงบในอ้อมกอดเขา นางก็จะไม่มีทางลืมวันนี้ที่เปลี่ยนความรู้สึกลึกซึ้งในจิตใจ เย่หวูเฉินใช้เวลาเพียงวันเดียว แต่กลับคุ้มค่าเพียงพอแลกน้ำตาของนางสามปี หลงฮวงเอ๋อร์จะไม่มีวันเสียใจ ไม่มีวันแน่นอน

ขณะเดียวกันที่บ้านหมอกฝัน

สายฝนกระหน่ำซัดลงมา แต่ไม่อาจหยุดฝีเท้าของฉุ่ยสื่อหัวหน้าของสตรีทั้งเจ็ด เกือบหนึ่งวันหนึ่งคืนที่นางไม่หยุดฝีเท้า กลับไปยังสำนักจักรพรรดิใต้ จากนั้นนางเดินทางกลับมา เมื่อนางมาถึงหน้าบ้านหมอกฝัน ทั่วร่างล้วนชุ่มโชกไปด้วยหยาดฝน

ฉุ่ยเมิ่งฉานเปิดอ่านข้อความที่ฉุ่ยสื่อมอบให้ มันเป็นข้อความที่สั้นอย่างยิ่ง

คนผู้นี้ไม่อาจถูกสังหาร และไม่อาจเป็นศัตรู ผูกสัมพันธ์กับเขาให้ได้ไม่ว่าจะใช้วิธีใด

ฉุ่ยเมิ่งฉานม่านตาหดลีบเล็กน้อยเมื่อเห็นข้อความ “ไม่ว่าจะใช้วิธีใด” เป็นครั้งแรกที่นางเห็นบิดาใช้ถ้อยคำเช่นนี้ พิสูจน์ได้ชัดถึงความสำคัญของเย่หวูเฉิน

“ท่านบอกกับท่านพ่อตรงทุกคำ ตามที่เย่หวูเฉินบอกพวกเราหรือไม่?” ฉุ่ยเมิ่งฉานวางข้อความลงแล้วถาม

“ค่ะ ตรงทุกถ้อยคำ” ฉุ่ยสื่อตอบ

“เขาบอกอย่างอื่นอีกหรือไม่?”

“ท่านประมุขมองที่ภาพวาดเป็นเวลานานมาก จากนั้นเขาเขียนข้อความแล้วมอบให้กับข้า เขากระทั่งกล่าวว่า... เรื่องกระบี่หนานฮวงนั้นสำคัญยิ่งยวด องค์หญิงอาจจำเป็นด้วยลงมือเอง หากจำเป็น” ฉุ่ยสื่อตอบคำ แม้ว่านางจะมีประสบการณ์มากมาย แต่นางก็ไม่เข้าใจความหมายของประโยคสุดท้าย

“เข้าใจแล้ว ท่านควรออกไป ฟง , ฮั่ว , เสวี่ย และเยว่ ได้ตกตายด้วยน้ำมือของเถาไปไป ท่านไปเคารพศพของพวกนางเถอะ” ฉุ่ยเมิ่งฉานนั่งลงช้าๆ ใบหน้าไม่แสดงความสุขหรือความโศกเศร้า เพียงราบเรียบเหมือนสายน้ำ

.............................

เวลาบ่ายสาม ฝนได้หยุดลง เย่หวูเฉินพาหลงฮวงเอ๋อร์กลับพระราชวัง เขาได้เตรียมตัวอยู่เป็นเพื่อนหลงฮวงเอ๋อร์ในระหว่างสองสามวันนี้ หลงฮวงเอ๋อร์ละเมอฝันขณะอยู่ในอ้อมแขนของเขา ทำให้เขาเกิดความลังเล เขาไม่ทราบว่าการตัดสินใจของตนนั้นถูกหรือผิด

ในวันต่อมา เมื่อเขาและหลงฮวงเอ๋อร์มาถึงห้องเรียนวาดภาพชั้นเริ่มต้นในราชวิทยาลัยเทียนหลง เขาพบว่าในห้องเรียนมีคนมากกว่าเมื่อวาน ห้องศิลป์ที่กว้างขวางยามนี้อัดแน่นไปด้วยผู้คน มีสาวน้อยมากมายอยู่ในห้อง หัวปูเฮ่ายืนบนแท่นเวทีด้วยความสับสนและกังวลขณะมองออกไปข้างนอก เมื่อเย่หวูเฉินมาถึง เขาตื่นเต้นและแทบร้องไห้ออกมาเสียงดังขณะพุ่งตัวเข้าไปหาเย่หวูเฉิน

แววตากระหายแรงกล้าต่างจับจ้องไปที่ร่างของเย่หวูเฉิน จนเขารู้สึกราวกับร่างถูกเผา แน่นอนว่ามีบางสายตาที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบาย การมาถึงของเขาทำให้ห้องเรียนแตกตื่นอึงอล เย่หวูเฉินปล่อยหลงฮวงเอ๋อร์ไปนั่งประจำที่ จากนั้นก้าวขึ้นไปบนแท่นเวทีด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เขาขมวดคิ้วกล่าว “ข้าโชคดีที่ได้เป็นอาจารย์ชั่วคราวของพวกเจ้า ด้วยการอนุญาตจากอาจารย์หัว ในเมื่อพวกเจ้าพากันมาที่นี่ เช่นนั้นข้าขอสันนิษฐานว่าพวกเจ้าต้องการเรียนเรื่องการวาด แต่หากว่าไม่ใช่เช่นนั้น จงออกไปข้างนอก และอย่าส่งเสียงดัง ไม่เช่นนั้น ในฐานอาจารย์ข้าจะโยนพวกเจ้าออกไป”

ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเขาจะกล่าววาจาก้าวร้าวถึงเพียงนี้ด้วยใบหน้าที่กำลังยิ้ม พวกที่มาเพียงเพื่อดูเย่หวูเฉินถึงกับไม่ทันตั้งตัว เสียงเอะอะในห้องพลันเงียบลง แต่หลังจากความสงบ ก็มีเสียงไม่พอใจดังขึ้น “ที่แท้ก็แค่กล่าววาจาอวดโอ่ ข้าอยากจะเห็นนักว่าเจ้าจะโยนข้าออกไปยังไง”

ผู้ที่กล่าวคำนี้คือชายที่กำลังนั่งพิงผนัง เขาอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเย่หวูเฉิน เมื่อตอนที่เย่หวูเฉินก้าวเข้ามา เขาสังเกตเห็นเจตนาร้ายของชายผู้นี้จากสายตาเกลียดชัง ดังนั้นเขาจึงกล่าววาจากระตุ้นยั่ว



<<<PREV    .    NEXT>>>