วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 84

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 84 ไม่คุกเข่าต่อโลกหล้า , ไม่คุกเข่าต่อหน้าจักรพรรดิ

เมื่อเข้าไปในห้องเล็กที่เก็บกำมะถัน ,ถ่าน ,ดินประสิว ,น้ำมัน และสิ่งของจุกจิกอื่นๆ เย่หวูเฉินก็ไล่เย่ซีกับเย่บาออกไป สั่งกำชับพวกเขาว่าห้ามให้ใครเข้ามา เย่ซีและเย่บาจึงต้องทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าประตูอยู่ด้านนอก อดคิดไม่ได้ว่าเขากำลังทำอะไร

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง เย่หวูเฉินก็ออกจากห้อง ปิดประตูไว้แล้วสั่งอย่างเคร่งครัด “นับแต่นี้ ห้ามใครเข้าไปในห้องโดยไม่ได้รับอนุญาตจากข้า และห้ามก่อประกายไฟในบริเวณนี้ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?”

เย่ซีและเย่บาพยักหน้าทันที ในหัวของพวกเขาเต็มไปด้วยคำถามหากแต่ไม่กล้าเอ่ยออกมา

พอได้กลิ่นดินปืนจากร่างของตน เย่หวูเฉินก็ขมวดคิ้ว “เสี่ยวลู่เอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาส่งให้ข้าหรือยัง?”

“ส่งมาแล้วขอรับๆ”

รุ่งเช้าของวันต่อมา ท้องฟ้ายังคงมืดอยู่ขณะที่เย่หวูเฉินลืมตาขึ้น เขาค่อยๆแกะหนิงเสวี่ยที่กอดแขนเขาไว้แน่น จากนั้นปีนลงจากเตียงเงียบๆ

เขาไม่ลืมว่าวันนี้มีกำหนดประชุมที่สำนักราชวังในวันนี้ แต่ดูเหมือนเขาจะตื่นเช้ามากเกินไป ทำให้เขารู้สึกมึนศีรษะบ้างเล็กน้อย

“วันนี้ตระกูลหลินสมควรประกาศเรื่องงานแต่งกับตระกูลฮั่ว พวกมันย่อมต้องใช้ความพยายามอย่างที่สุดเพื่ออวดโอ่อำนาจ แต่บางสิ่งไม่อาจเร่งรัดบีบบังคับกันได้ พวกเจ้าประเมินฮั่วเจิ้นเทียนและข้าต่ำเกินไป จะมีวันหนึ่งที่ข้าได้ตัวสตรีงดงามอย่างฮั่วฉุ่ยโหรว นับเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับบุรุษซื่อตรงอย่างหลินเสี่ยว...”

เย่หวูเฉินออกไปเงียบๆโดยไม่รบกวนหนิงเสวี่ยที่กำลังหลับอุตุอยู่ เดินทางไปด้วยกันกับเย่เว่ยและเย่หนู่มุ่งหน้าไปที่วังหลวงแห่งอาณาจักรเทียนหลง

เมื่อพวกเขามาถึงก็พบว่าในท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางนายพล ตระกูลเย่เดินเข้าไปโดยมีสายตานับร้อยคู่จับจ้องมาทางพวกเขา บรรดาคนส่วนใหญ่ต่างได้เห็นความสามารถสุดหยั่งของเย่หวูเฉินครั้งเมื่อวาน มีบางคนที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์เพราะเหตุบางอย่าง และตอนนี้พวกเขามองสำรวจบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลเย่ผู้เป็นต้นตอของข่าวลือสุดประทับใจ

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ในยามนี้ หากเป็นคนธรรมดาคงรู้สึกอึดอัดไม่สบาย แต่แย่หวูเฉินเชิดศีรษะขึ้น อกผึ่งผายแล้วก้าวเข้าไปด้วยท่วงท่าสมบูรณ์แบบ เขามองตรงไปเห็นผู้คนด้วยหางตา ราวกับไม่ใส่ใจเหล่าคนที่อยู่ด้านข้างที่กำลังจับจ้องมองตรงมา

เพียงแสดงความกล้าหาญเล็กน้อยก็สร้างความประทับใจให้กับเหล่าผู้คน พวกเขาพยักหน้ายอมรับกระทั่งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“องค์จักรพรรดิเสด็จแล้ว!”

หลังจากเสียงร้องแหลมแผดขึ้น ผ้าม่านก็เปิดออกเผยให้เห็นหลงหยินที่กำลังเดินเชิดศีรษะออกมาอย่างทรงเกียรติ เมื่อเขานั่งลงบนบัลลังก์มังกรทอง เหล่าขุนนางต่างคุกเข่าลงทันทีราวกับเป็นหุ่นเชิด ต่างร่ำร้องออกมาอย่างนอบน้อม “องค์จักรพรรดิทรงพระเจริญ!”

ทั่วทั้งท้องพระโรงมีเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่คือหลงหยิน และบุคคลที่ยังยืนอยู่คือขันทีชุดเหลืองข้างๆหลงหยิน กับเย่หวูเฉินผู้คล้ายไม่รู้เรื่องราวว่าอะไรควรคำ

“...เจ้าต้องจำเอาไว้ว่า พวกเราสืบสายโลหิตที่สูงส่งที่สุดในห้วงสวรรค์และปฐพี พลังที่กล้าแกร่งเหนือผู้ใด นอกจากบิดามารดาของตน ผู้อื่นล้วนไม่คู่ควรให้พวกเราก้มคำนับ แม้กระทั่งโลกหล้าทั้งใบ...”

เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาอยู่ในศีรษะ มันจะดังขึ้นเมื่อเกิดเหตุการณ์พิเศษบางอย่าง เป็นเสี้ยวความทรงจำที่ผุดขึ้นมาในใจ

กระทั่งโลกหล้ายังไม่คู่ควรให้เขาคุกเข่า แล้วจะกล่าวไปไยกับแค่คนธรรมดาที่ถูกเรียกว่าจักรพรรดิ!

“สามหาว! เจ้าเป็นใคร? บังอาจกล้าไม่คุกเข่าเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ!”

เสียงตะโกนแหลมดังมาจากขันที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยเจอเย่หวูเฉินมาก่อน หลงหยินเองก็ขมวดคิ้วเช่นเดียวกัน หากแต่เขาไม่กล่าวคำใด เสียงตะโกนร้องทำให้เหล่าขุนนางเหลือบมองมา ในฉับพลันพวกเขาก็จ้องมองไปที่เย่หวูเฉินผู้เป็นดั่งนกกระเรียนในฝูงไก่

“บังอาจ! หากไม่คุกเข่า ก็เท่ากับเจ้าไม่แสดงความเคารพต่อองค์จักรพรรดิ!”

คราวนี้ผู้ที่ตะโกนเป็นหลินซาน ใบหน้าของเขาโกรธเกรี้ยว เย่หนู่และเย่เว่ยสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขากล่าวเสียงแผ่ว “เฉินเอ๋อร์ คุกเข่าลงเร็วเข้า”

เย่หวูเฉินส่ายศีรษะและกล่าวอย่างเคารพ “ฝ่าบาท โปรดประทานอภัยให้กับความหยาบคายของข้า เนื่องจากท่านอาจารย์ได้สั่งไว้ก่อนที่ข้าจะจากมา ว่าในฐานะผู้สืบทอดแห่งเทพกระบี่ ในโลกหล้านี้ข้าสามารถคุกเข่าได้เพียงต่อหน้าบิดามารดาเท่านั้น ชีวิตของหวูเฉินถูกช่วยไว้โดยอาจารย์ วิชาและพลังทุกอย่างเป็นอาจารย์มอบให้ แม้ข้าไม่อยากแสดงความไม่เคารพต่อฝ่าบาท แต่ในขณะเดียวกัน ข้าก็ไม่ต้องการขัดขืนคำสั่งท่านอาจารย์ มิเช่นนั้น ข้าคงไม่อาจมีหน้าไปพบอาจารย์ได้อีก หากฝ่าบาทต้องการลงโทษข้า หวูเฉินยินดีรับโทษโดยไม่ปริปาก”

เหตุผลเป็นเช่นนี้เอง... ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจ ทีแรกพวกเขาคิดในใจว่าเด็กหนุ่มที่เก่งกล้าฉลาดหลักแหลมผู้นี้ย่อมไม่กระทำเรื่องไม่ฉลาด และปรากฎว่าแท้จริงเป็นคำสั่งของเทพกระบี่โดยตรง ในมุมมองของพวกเขา ‘เทพ’ ผู้จุติลงมายังโลกต่ำตม นั้นไม่มีใครคู่ควรพอให้เขาคุกเข่า เทพกระบี่ยังไม่เคยแสดงความเคารพใดๆต่อหน้าจักรพรรดิองค์ก่อน อีกทั้ง จักรพรรดิองค์ปัจจุบันยังต้องแสดงความเคารพต่อเขาอย่างมาก เป็นเรื่องปกติที่เทพกระบี่จะตั้งกฎเช่นนี้ให้กับลูกศิษย์ของตน และเป็นเรื่องสมเหตุผลที่เย่หวูเฉินจะยึดถือในกฎนี้ หากเขาเพิกเฉยต่อคำสั่งของอาจารย์ยามต้องเผชิญหน้าองค์จักรพรรดิ ผู้คนคงได้แต่ดูถูกเขาแทน

“โฮ่ โฮ่ โฮ่ โฮ่! เรื่องเป็นแบบนี้นี่เอง ในเมื่อเป็นกฎที่อาจารย์ของเจ้าตั้งไว้ ข้าจึงไม่อาจตำหนิเจ้าได้ ข้าจะยกเว้นเจ้าไว้เป็นกรณีพิเศษ และเจ้าไม่จำเป็นต้องคุกเข่าให้แก่ผู้ใดในอาณาจักรเทียนหลง ถือว่าเป็นการแสดงความเคารพของข้าต่ออาจารย์ของเจ้า หากไม่มีอาจารย์ของเจ้า ย่อมไม่มีอาณาจักรเทียนหลงที่เจริญรุ่งเรืองและสงบสุขอย่างเช่นทุกวันนี้” หลงหยินกล่าวอย่างเคารพ

เย่หวูเฉินได้รับความเมตตาครั้งใหญ่อีกครั้ง เขากล่าวด้วยความเคารพ “หวูเฉินขอบพระทัยฝ่าสำหรับความเมตตา!”

“ฝ่าบาท บ่าวผู้ต่ำต้อยอยากกล่าวบางอย่างในใจ ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะควรอย่างยิ่ง ธรรมเนียมนี้ปฏิบัติสืบทอดกันมานับพันปีในอาณาจักรเทียนหลง เหตุใดถึงต้องมาพังลงเพราะเขาด้วย? ยิ่งกว่านั้น ผู้เยาว์แห่งตระกูลหลินยังทำตนอ่อนน้อมเฉกเช่นคนธรรมดาทั่วไปและแสดงความเคารพต่อฝ่าบาท การกระทำเช่นนี้ล้วนไม่ต่างจากขบฎ สบประมาทอำนาจขององค์จักรพรรดิ!” หลินซานตะโกนอย่างมีอารมณ์

พอได้ยินหลินซานยกเรื่อง “การรักษาธรรมเนียมปฏิบัติ และศักดิ์ศรีขององค์จักรพรรดิ” บรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนในฉับพลัน สายตาหลายคู่วาบผ่านด้วยความโกรธ กระทั่งหลงหยินยังมีสีหน้าขุ่นเคือง ขณะที่หลินขวงต้องแอบใช้ศอกถองกระทุ้ง

หลินซานตระหนักได้ในฉับพลันว่าต้องพูดบางอย่างผิดไป แต่เมื่อเขาคิดตรองถึงคำที่พึ่งพูดออกไป เขากลับไม่พบว่ามีส่วนไหนของถ้อยคำที่ผิดพลาด

เมื่อเห็นเขายังมีท่าทีงุนงง หลินขวงกดข่มความโกรธไว้ในใจ เขารีบก้าวออกไปเบื้องหน้าแล้วกล่าว “ฝ่าบาทและใต้เท้าทุกท่าน โปรดสงบใจก่อน ในปีที่อาณาจักรเทียนหลงเผชิญหน้ากับหายนะภัย บุตรของข้านั้นล้มป่วยรุนแรงอยู่ตลอดสามปี ฝ่าบาทและทุกๆท่านคงเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้างแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเหตุที่ทำให้เขากล่าวถ้อยคำไร้ความเคารพต่อเทพกระบี่เช่นนี้ออกไป เหมือนคำที่ว่า ผู้ไม่รู้ย่อมไม่รู้สึกผิดบาปกับการกระทำ บุตรชายข้าคำนึงถึงแต่เกีรยติยศขององค์จักรพรรดิ ได้โปรดให้อภัยที่บุตรของข้าแสดงกิริยาอันไม่สมควร ข้าต้องขอภัยอีกครั้งและขอร้องฝ่าบาทให้อภัยกับคำพูดบุตรชายข้า”

สองพ่อลูกตระกูลหลินต่างเป็นขุนนางในราชสำนัก ในเหล่าขุนนางหลายร้อย พวกเขามีอำนาจมากพอที่จะปิดผืนฟ้าด้วยมือเพียงข้างเดียว วันนี้นับเป็นครั้งแรกที่หลินซานเห็นหลินขวงต้องลดศักดิ์ศรีของตัวเองลง เขาตระหนักในทันทีว่าคำพูดของเขาได้กระตุ้นโทสะของผู้คน ดังนั้นเขาจึงรีบก้าวออกมายอมรับความผิดทันที

“หากไม่มีเทพกระบี่ อาณาจักรเทียนหลงของข้าย่อมพ่ายแพ้ย่อยยับต่ออาณาจักรต้าฟง! หากไม่ใช่เพราะการคงอยู่ของเทพกระบี่ เจ้าคิดจริงๆหรือว่าอาณาจักรต้าฟงไม่กล้ารุกรานอาณาจักรเทียนหลงของพวกเราเพียงเพราะว่าตระกูลเย่และตระกูลฮั่ว? หากเจ้าไม่เคารพข้าอย่างมากเจ้าก็ถูกลงโทษ แต่หากเจ้าไม่เคารพเทพกระบี่... หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เจ้า, หลินซาน จะต้องทนทุกข์ทรมานจากคำสาปแช่งประนาม!” หลงหยินกล่าวถมึงทึง

“บ่าวผู้ต่ำต้อยขออภัยอย่างลึกซึ้งต่อความผิดที่ได้กระทำ!”

“ในเมื่อเจ้าไม่ได้เจตนา เช่นนั้นข้าก็จะลืมมันเสีย พวกเจ้าทุกคนลุกขึ้น”



<<<PREV    .    NEXT>>>