ตอนที่ 61 ประชันอักษร –
สระกระจ่างวารี
หนึ่งในสี่ชั่วโมง!? แผ่นกระดาษสี่เหลี่ยมขนาดหนึ่งเมตรทำให้ผู้ชมต้องตกใจ
หากต้องวาดภาพขนาดใหญ่เช่นนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงเย่หวูเฉินที่ไม่มีความรู้ด้านวาดภาพ
กระทั่งหลินเสี่ยวที่มีพรประทานด้านการวาดยังต้องใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีจึงจะทำได้
ทั้งสองคนไม่กล่าวคำคัดค้านใด และต่างตอบสนองด้วยความเคารพ ขณะที่ทั้งสองยืนอยู่เบื้องหน้าผืนกระดาษที่ติดยึดอย่างมั่นคงอยู่บนกรอบกระดาน ใบหน้าทั้งคู่ต่างสงบ ท่าทางปลอดโปร่งของเย่หวูเฉินทำให้หลินเสี่ยวต้องตื่นตัว หากแต่เขายังเชื่อว่าต่อให้เย่หวูเฉินมีทักษะการวาดที่งดงามบรรจง ก็ยังคงไม่ใช่คู่มือเขา
ทั้งสองคนไม่กล่าวคำคัดค้านใด และต่างตอบสนองด้วยความเคารพ ขณะที่ทั้งสองยืนอยู่เบื้องหน้าผืนกระดาษที่ติดยึดอย่างมั่นคงอยู่บนกรอบกระดาน ใบหน้าทั้งคู่ต่างสงบ ท่าทางปลอดโปร่งของเย่หวูเฉินทำให้หลินเสี่ยวต้องตื่นตัว หากแต่เขายังเชื่อว่าต่อให้เย่หวูเฉินมีทักษะการวาดที่งดงามบรรจง ก็ยังคงไม่ใช่คู่มือเขา
“เช่นนั้น พวกเจ้าเริ่มได้
หลังจากผ่านไปหนึ่งในสี่ชั่วโมง ผู้ชนะและผู้แพ้จะถูกตัดสินจากผู้ชมทุกคน
อาวุโสหลี่ โปรดเริ่มการนับถอยหลัง”
“ขอรับ!”
สิ้นเสียงของหลงหยินลง ผู้ชมทั้งหมดต่างเงียบเสียง
สายตาทุกคู่จับจ้องยังกลางเวทีที่ถูกทำลายไปโดยเพลิง ไม่มีสักคนที่กล้าส่งเสียง
เพียงกลัวว่าจะรบกวนบุรุษหนุ่มทั้งสองคน
หลินเสี่ยวหลับตาลงเงียบๆ
ในมือถือพู่กันเหนือกระดาษลอยอยู่ห่าง 1 นิ้ว ดูเหมือนเขากำลังนึกจินตนาการมโนภาพอยู่ในใจ
แต่เย่หวูเฉินเอียงร่างของเขามองไปที่หลินเสี่ยวแล้วจ้องดูอย่างใคร่รู้
ไม่มีวี่แววสนใจวาดรูปของตนเอง ปรากฎว่าเขาต้องการดูว่าหลินเสี่ยวจะวาดอย่างไร
ทุกๆคนต่างเห็นได้ชัด
บ้างก็แสดงความผิดหวังที่นายน้อยตระกูลเย่ถอดใจยอมแพ้
การประชันครั้งนี้ย่อมกลายเป็นการแสดงความสามารถของนายน้อยหลินแต่เพียงผู้เดียว
ในที่สุดก็ผ่านไปประมาณหนึ่งนาที
หลินเสี่ยวลืมตาขึ้น พู่กันในมือแตะสัมผัสกระดาษ มือขวาเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว
เร็วจนแทบจะเป็นไม่ได้ที่จะติดตามการเคลื่อนไหวของมือ ที่เห็นปรากฎมีเพียงเงาที่เคลื่อนไหวไปมาเท่านั้น
ยามนี้หลินเสี่ยวเผยสีหน้าจดจ่อ
สายตาไม่เคลื่อนไหวออกเฉไฉ แต่จ้องติดตรึงผืนกระดาษที่เบื้องหน้า
ไม่สนใจสายตาที่จ้องมองจากผู้ชม รวมทั้งสายตาผิดปกติที่จ้องมองมาของเย่หวูเฉิน
เขาเข้าสู้ห้วงมโนภาพแผ่นผืนกระดาษและสิ่งอื่นก็หายไป
ผ่านไปอีกครึ่งนาที
ฉับพลันเขาหลับตาลงอีกครั้ง มือยังคงเคลื่อนไหว
จุ่มตวัดแปรงกับหมึกไม่มีความผิดพลาดไม่มีการหยุดพัก
“ท่านพ่อ เขากระทั่งหลับตาขณะวาดรูป! เขาทำได้ยังไงกัน?” ฮั่วฉุ่ยโหรวถามเสียงเบา
“ข้าจะรู้ได้ยังไง? ถึงแม้ข้าจะมีเวลา
ข้าก็ไม่เคยคิดทำสิ่งที่น่ารำคาญอะไรเช่นนี้”
ฮั่วฉุ่ยโหรวรู้สึกเสียใจที่ถาม
เพราะบิดาของนางไม่เพียงไม่รู้วิธีวาดรูป
แต่ทั้งอักษรและศิลปะทั้งหลายก็ไม่รู้เช่นกัน
นกสีเขียวบนไหล่นางร้องเสียงเบาอย่างขุ่นเคือง
ฮั่วฉุ่ยโหรวกุมนกไว้ในมือ แล้วกล่าวปลอบอย่างชดช้อย “ชิงเอ๋อร์ เป็นเด็กดีสักพักหนึ่งก่อน
พอพวกเรากลับบ้าน ข้าจะหาอะไรให้เจ้ากิน”
หลับตาวาดภาพ...เย่หวูเฉินหัวคิ้วมีรอยย่น
ปรากฎว่าฉายา ‘นักศึกษาอันดับหนึ่งแห่งเทียนหลง’ นั้นคู่ควรกับเขาจริงๆ
เขาจำได้ว่าในโลกของตนมีคนจำนวนมากที่สามารถหลับตาวาดรูปได้
แต่ผู้ที่สามารถหลับตาวาดภาพได้จนถึงระดับนี้ เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่แน่นอนว่ายกเว้นตัวเขาเอง
การบรรลุถึงทักษะระดับนี้ได้ เบื้องต้นต้องนึกภาพให้ปรากฎในจิตใจ
ให้เห็นภาพแม้ในยามหลับตา ใช้มือบ่งบรรยายแทนหัวใจวาดไปอย่างอิสระ แต่การจะทำเช่นนี้ได้นับว่ายากเกินคนธรรมดาทั่วไปจะจินตนาการถึง
ทุกผู้คนต่างตาค้าง
เขาหลับตาลงวาดทุกสิ่ง ทำให้ผู้คนต่างอุทานด้วยความประหลาดใจ ผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นภาพมหัศจรรย์แบบใด
เวลาค่อยๆผ่านไปทีละขณะ
เย่หวูเฉินยังไม่ได้ขยับพู่กันของตนและยังคงจ้องมองอย่างว่างเปล่าไปที่มือของหลินเสี่ยว
กระดาษขาวก่อนหน้านี้ ได้กลายเป็นภาพวาดของท้องฟ้าและหมู่เมฆ
ต้นหลิวขึ้นอยู่ริมฝั่งน้ำ ปรากฎเป็นสถานที่ที่หลงหยินปรารถนาไปเยือน
ดูจากความเร็วของเขา
หนึ่งในสี่ชั่วโมงนับว่าไม่จำเป็น แค่สิบนาทีก็เพียงพอ เย่หวูเฉินคิด
ดูเหมือนนายน้อยเย่ผู้นี้จะยอมแพ้แล้วจริงๆ
ผู้ชมต่างคิดสิ่งเดียวกันอีกครั้ง ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอันใด
ยามต้องเผชิญกับยอดอัจฉริยะแห่งการวาดเช่นหลินเสี่ยว คู่แข่งย่อมสูญเสียความกล้าที่จะตวัดพู่กัน
เขาสมควรยอมแพ้ไปแล้วเรียบร้อย
เป็นไปตามที่เย่หวูเฉินคาด
เมื่อผ่านไปครบสิบนาทีหลินเสี่ยวก็ตวัดพู่กันครั้งสุดท้าย
เขาลืมตาขึ้นแล้วมองพู่กัน ไม่แม้กระทั่งมองภาพวาดตน
จากนั้นมองไปทางเย่หวูเฉินที่ยังคงจ้องมองที่เขาอยู่ มุมปากหลินเสี่ยวยกยิ้มขึ้น
ดูจากกระดาษที่ว่างเปล่าของเย่หวูเฉิน
เขาจึงตระหนักได้ว่าตนเองชนะแล้ว ทั้งยังชนะอย่างสมบูรณ์แบบ
“ฝ่าบาท
หลินเสี่ยววาดเสร็จแล้วเชิญพระองค์ทอดพระเนตร”
หลินเสี่ยวกล่าวพร้อมขยับออกด้านข้าง เผยให้เห็นภาพวาดที่สมบูรณ์ต่อหน้าผู้ชม
เสียงอุทานชื่นชมพลันดังขึ้นมาจากฝูงชน
ท้องฟ้าสีคราม
ประปรายไปด้วยเมฆสีขาว ใต้ฟ้าเป็นทะเลสาบกระจ่างงาม แสงสะท้อนผิวน้ำดุจดั่งอัญมณี
ปลากระโจนออกมาเป็นฟองฟอด เรือลำลอยล่องบนผิวน้ำ ต้นหลิวห้อยหย่อนคล้อยลงมา จั๊กจั่นบนกิ่งหลิวร้องรื่นเริง ใต้ต้นหลิวมีหญิงสาวพิงอิงแอบ ใบหน้าของนางแสดงถึงความสุขขณะชมทัศนีภาพอันงดงามของทะเลสาบ
บนพื้นมีกิ่งใบหลิวจำนวนมากเกลื่อนกล่นอยู่ บ้างเป็นกิ่งใบแห้ง
บ้างเป็นกิ่งใบเหลือง
เป็นเพียงภาพวาดธรรมดา
ไม่มีความหมายใดๆเป็นพิเศษ แต่ด้วยฝีมือทำให้ภาพวาดที่ออกมาวิจิตรงดงามตระการตา
ทำให้ทุกผู้คนต่างชื่นชมโดยไม่มีข้อยกเว้น บ้างก็อุทานออกมาด้วยความนับถือ
“ฝ่าบาท
คุณชายหลินวาดภาพออกมาได้เหมือนกับสถานที่ที่พระองค์ปรารถนาไปเที่ยวชมไม่ใช่หรือ? นี่ราวกับยกสถานที่จริงมาวางไว้เบื้องหน้า”
ผู้ติดตามที่อยู่เบื้องหลังหลงหยินกล่าว
“ถูกต้อง! หลินเสี่ยวเข้าใจความคิดข้าได้เป็นอย่างดี ยอดเยี่ยม!
วาดได้ยอดเยี่ยม! เป็นภาพวาดที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!” หลงหยินอุทานกล่าวด้วยเสียงดัง ไม่ตระหนี่ในคำพูดยามกล่าวชม
หลินเสี่ยวหมุนกรอบที่รั้งยึดภาพวาดไว้ช้าๆ
หันไปหาผู้ชมเพื่อให้เห็นภาพวาดได้ชัดเจน
เสียงร้องแปลกใจดังไปตามทิศทางที่เขาหมุนภาพไป เสียงอุทานบ่งบอกแทนทุกสิ่ง
กระทั่งเย่เว่ยและหวังเวิ่นชูยังต้องยอมรับในทักษะการวาดของหลินเสี่ยว
ว่าอยู่ในระดับที่สูงส่งสุดยอด
“ภาพวาดนี้สมควรมีชื่อว่า ‘สระกระจ่างวารี’
นี่เป็นเพียงภาพวาดธรรมดา
เมื่อครู่นี้หลินเสี่ยวได้ยินว่าฝ่าบาทต้องการไปเที่ยวชมทะเลสาบน้ำใส และถ้อยคำของพระองค์ประทับอยู่ในห้วงคำนึง
ดังนั้นจึงเป็นแรงบันดาลใจให้ข้าวาดภาพนี้ ฝีมือต่ำต้อยของหลินเสี่ยวคงทำให้พวกท่านต้องหัวเราะแล้ว”
หลินเสี่ยวกล่าวกับผู้ชมโดยรอบด้วยความสุภาพ
“พวกเจ้าทั้งหมดรู้สึกอย่างไรกับภาพวาดนี้?” หลงหยินเอ่ยถาม
น้ำเสียงหนักแน่นและภาคภูมิดังไปทั่วทั้งบริเวณ
“ยอดเยี่ยม! ภาพวาดนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับเข้าไปอยู่ในสถานที่จริง
ไร้ที่ติโดยสิ้นเชิง ข้าวาดรูปมาหลายสิบปี และเชื่อว่ามีขีดจำกัดความสามารถของบุคคล
แต่วันนี้มีบางสิ่งที่ข้าจำเป็นต้องกล่าว นั่นคือ ‘ข้าขอยอมรับ’!”
“สามารถวาดภาพที่พิเศษเฉพาะขนาดนี้ได้ในเวลาเพียงสั้นๆ
นับเป็นความสำเร็จโดยแท้”
“ภาพวาดนี้ยอดเยี่ยมกว่าภาพที่นายน้อยหลินวาดในการแข่งเมื่อไม่กี่วันก่อนอยู่หลายเท่าตัว
กลายเป็นว่านายน้อยหลินยั้งฝีมือในการแข่งครั้งที่แล้ว”
“เพียงภาพทิวทัศน์ธรรมดายังวาดให้งดงามได้ถึงระดับนี้
เขาคู่ควรกับฉายาที่ทุกคนมอบให้ว่า ‘นักศึกษาอันดับหนึ่ง’”
“หลินเสี่ยวมีทักษะการวาดสูงส่งถึงเพียงนี้นับว่าเป็นตัวตนที่หาได้ยากยิ่ง”