วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 97

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 97 ตัดสินอนาคต

ประตูถูกผลักเปิดออกเงียบๆ เสียงบางเบาทำให้เล่งหยายังไม่ตื่นจากความสับสน จากนั้นไม่นานเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นมา “เสี่ยวฟง....”

เล่งหยารีบหันไปพยุงร่างปวกเปียกของเล่งชิว “ท่านแม่ ท่านออกมาทำไม”

เล่งชิวยื่นแขนออกมาจับเล่งหยาไว้ นางมองเขาแล้วกล่าว “เสี่ยวฟง ที่พวกเจ้าคุยกันข้าได้ยินแล้ว”

เล่งหยากลายเป็นตื่นตระหนกและพูดพึมพำ “ท่านแม่ ความจริงแล้ว....ข้า....เขา....”

เล่งชิวส่ายศีรษะ “เสี่ยวฟง แม่ของเจ้าตาบอดมานานนับสิบปี เมื่อสายตาของข้ากลับมา ข้ายิ่งเห็นสิ่งต่างๆได้แจ่มชัดยิ่งกว่าเดิม ข้าไม่เคยมองคนผิด แม้ว่าคุณชายเย่จะยังเยาว์อยู่มาก แต่เขาก็เป็นมังกรในหมู่มนุษย์ ดูจากที่เขารักษาดวงตาให้ข้าเพียงอาศัยโบกมือเพียงครั้งเดียว ยังจะมีใครในปฐพีนี้ที่สามารถทำได้เหมือนเขา? ต่อให้เสี่ยวฟงของข้าต้องติดตามเบื้องหลังของเขา ข้าย่อมวางใจอย่างที่สุด”

“ท่านแม่....”

“ไป , เสี่ยวฟง ,ไปหาเขา ทำตามที่เขาบอกและไปหาเทพกระบี่ฉู่ชางหมิง ถึงแม้พ่อของเจ้าจะทำให้พวกเราผิดหวัง แต่ในใจของแม่ เขาก็ยังคงเป็นผู้กล้าที่มีจิตใจมั่นคง และข้าไม่เคยเสียใจ เสี่ยวฟง,ความปรารถนาสูงสุดของแม่คือเห็นเจ้ากลายเป็นเหมือนพ่อเจ้า บุรุษผู้เก่งกล้าทรงพลังสะท้านไปทั้งอาณาจักร เจ้าจะช่วยเติมเต็มความปรารถนาของข้าได้หรือไม่?” เล่งชิวจับไหล่เขาเพื่อพยุงตัวและจ้องมองด้วยความคาดหวัง

“เช่นนั้น....ข้าควรไปเมื่อใด?” เล่งหยาถามมารดาด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อตัว

“คืนนี้ เจ้าสมควรจากไปในคืนนี้” เล่งชิวกล่าวหนักแน่น แต่น้ำเสียงของนางสั่นเครือเล็กน้อย

เล่งหยาคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรุนแรงอยู่เบื้องหน้ามารดา เขารั้งน้ำตาไว้แล้วกล่าว “แต่ท่านแม่ ข้าเกลียดนักที่จะต้องจากท่านไป ข้าไม่อาจสบายใจได้....”

เล่งชิวดวงตาเริ่มเปียกชื้น แต่นางยังฝืนบังคับตัวเองให้ยิ้ม “เด็กโง่ คนที่ไม่ต้องการจากพ่อแม่ของตนไป ย่อมไม่มีวันเติบโตได้อย่างแท้จริง นายน้อยเย่เป็นผู้มีคุณธรรมล้ำเลิศ แม่ไม่ได้มองเขาผิด และเขาจะไม่มีวันปฏิบัติต่อข้าไม่ดี ยิ่งกว่านั้น ฮูหยินเย่ยังส่งคนมาบอกว่าข้าได้รับอนุญาตให้ย้ายไปอยู่ในที่ของนางและอยู่เป็นเพื่อนนาง เจ้ายังมีอะไรที่ไม่สบายใจอีก เจ้าสมควรจากไปในคืนนี้ หากเจ้าปฏิเสธที่จะไป แม่ของเจ้า...จะหวดไล่เจ้าด้วยแส้!”

“ท่านแม่ ข้าจะไป.... ข้าจะไปวันนี้ ข้าเป็นบุตรของท่าน ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง ข้าจะไม่กลายเป็นคนที่เหมือนกับเขา แต่ข้าจะก้าวข้ามเขา ข้าเล่งหยา,จะไม่มีวันทำให้มารดาของตนต้องผิดหวังหรือยอมแพ้แก่ผู้ใด!”

...............

ด้านนอกประตูสวน เย่หวูเฉินถอยออกไปเงียบๆ แล้วตรงไปที่สวนของเย่ฉุ่ยเหยา

เล่งหยา เจ้าไม่ใช่บุตรชายที่ดี แต่เจ้ามีมารดาที่ยอดเยี่ยม

เขาย่อมไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ข้าไม่เคยเลือกคนผิด หากเขาเป็นขยะไร้ค่าจริงๆ ข้าคงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาถึงเพียงนี้

เมื่อเย่หวูเฉินกลับมาพร้อมหนิงเสวี่ย ก็พบเล่งหยายืนรอเขาอยู่เงียบๆที่ปากประตู เมื่อเดินเข้าไปใกล้ เขาก้มศีรษะเล็กน้อยและกล่าวเสียงเยียบเย็น “บอกข้าว่าจะตามหาฉู่ชางหมิงได้อย่างไร ข้าจะไปจากที่นี่ในคืนนี้!”

เย่หวูเฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เขากล่าวเสียงต่ำ “ข้าหวังว่าหลังจากนี้อีกสามปี ข้าจะได้เห็นบางคนทำให้ทั่วทั้งทวีปเทียนเฉินต้องสั่นผวาด้วยความหวาดกลัว ‘เทพสังหาร’!”

..................

ในเย็นวันนั้น มีเกี้ยวมาหยุดอยู่ตรงประตูทางเข้าคฤหาสน์ตระกูลเย่ ชายกลางคนร่างหยาบกร้านใหญ่โตกำยำแหวกผู้คุ้มกันเข้ามา เขาเดินวางท่าก้าวเข้าไป ตามมาด้วยสตรีบอบบางที่เดินก้มศีรษะด้วยฝีเท้าแผ่วเบา จากนั้นไม่นาน เสียงหัวเราะคำรามสะเทือนโสตก็ดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณคฤหาสน์ตระกูลเย่และถึงกับทำให้อาคารสั่นสะเทือนเล็กน้อย ฮั่วฉุ่ยโหรวปิดหูทันทีที่เขาแหกปากหัวเราะ

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ข้าไม่ได้มาเดินเล่นที่นี่เป็นเวลานาน คิดไม่ถึงเลยว่าคฤหาสน์ตระกูลเย่จะน่าดูยิ่งนัก”

นี่สมควรเรียกได้ว่า ‘รักอีการักรังของมัน’ ฮั่วเจิ้นเทียนผู้ชอบบ้าเห่อเกินเลย เมื่อถูกใจลูกเขยจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะถูกใจคฤหาสน์ตระกูลเย่

หวังเวิ่นชูผู้กำลังยุ่งอยู่ในห้องรับแขกออกมาต้อนรับเป็นคนแรก นางไม่จำเป็นต้องเดา แค่ฟังจากเสียงก็รู้แล้วว่าเทพองค์ใดมาเยือน นางได้แต่ปั้นยิ้มกว้างต้อนรับอย่างกระตือรือล้น แต่อย่างไรก็ตาม นางคิดไม่ถึงเลยว่าฮั่วเจิ้นเทียนคราวนี้มาแปลกอย่างเห็นได้ชัด เพราะเขากระทั่งกระตือรือล้นยิ่งกว่าตัวนางเอง หวังเวิ่นชูยังไม่ทันเอ่ยปากฮั่วเจิ้นเทียนก็ชิงทักทายด้วยรอยยิ้มกว้าง “ฮูหยินเย่สบายดีหรือไม่? ผู้แซ่ฮั่วไม่ได้มาเยี่ยมเยือนเป็นเวลานาน ช่างเป็นความผิดนัก!”

“ข้าสบายดี!” หวังเวิ่นชูรีบตอบกลับ “ขุนพลฮั่ว ท่านมาเยียมเยือนนับเป็นเกียรติต่อตระกูลเย่เรา จะเป็นความผิดได้อย่างไร พวกเราไม่ได้ออกไปต้อนรับท่านถึงหน้าประตู นี่ต่างหากที่นับเป็นความผิด”

ฮั่วเจิ้นเทียนโบกมือ “เฮ้! พวกเราจะกลายเป็นหนึ่งครอบครัวใหญ่ในเร็วๆนี้ เหตุใดต้องพูดเป็นทางการนัก? น้องเย่อยู่ไหน? ข้าจะไปคุยกับเขา”

“หนึ่ง...หนึ่งครอบครัวใหญ่?” หวังเวิ่นชูตะลึงค้าง ใครจะเป็นกลายเป็นครอบครัวเดียวกับท่านกัน? อวดดีอะไรเช่นนี้!

“อะไรกัน?” เห็นสีหน้าตื่นตระหนกของหวังเวิ่นชู ฮั่วเจิ้นเทียนงุนงงจากนั้นตระหนักทราบในทันที เขาลูบหนวดของตนแล้วถาม “หรือว่าสหายน้อยนั่นยังไม่ได้บอกสิ่งใดกับพวกท่าน?”

“เอ๋? เอ่อ...เรื่องนี้....”

ฮั่วเจิ้นเทียนย่ำเท้า แทบจะสาปส่ง “สหายน้อยนั่นมาที่บ้านข้าและเสนอแต่งงาน แต่กระทั่งท่านกลับยังไม่รู้เรื่องราว ท่านเป็นมารดาภาษาอะไร? ข้าจะบอกให้ บุตรชายท่านเอาเปรียบลูกสาวสุดที่รักของข้า ตระกูลของพวกท่านไม่อาจปัดความรับผิดชอบ หากเขาปฏิเสธไม่ยอมแต่งงานกับลูกสาวข้า ข้าจะเผาคฤหาสน์ตระกูลเย่ทิ้ง!”

“ท่านพ่อ....” ฮั่วฉุ่ยโหรวดึงฮั่วเจิ้นเทียนเบาๆ เขากระทั่งตะโกนคำว่า ‘เอาเปรียบ’ นางแทบอยากเอาตัวมุดลงรูบนพื้นเพื่อซ่อนตัวเอง ความหมายของคำนี้ขึ้นอยู่กับคนตีความ แต่คนส่วนมากมักเข้าใจว่าความหมายเรื่องนั้น

ในที่สุดหวังเวิ่นชูก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ จากที่เย่หวูเฉินบอกว่าจะมีแขกสองคนมาเยือน ฮั่วเจิ้นเทียนและฮั่วฉุ่ยโหรวสมควรเป็นสองคนนั้น! นางมั่นใจในฉับพลัน และรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว “ขุนพลฮั่วโปรดอย่าพึ่งมีโทสะ ข้าจะไปเรียกเฉินเอ๋อร์มาเดี๋ยวนี้”

“ไม่ต้องเรียกเขามา” ฮั่วเจิ้นเทียนโบกมือ “พาลูกสาวข้าไปหาสหายน้อยนั่น ข้าจะไปหาน้องเย่กับตาเฒ่าเย่...อ่า หมายถึงขุนพลเย่ บางอย่างยังไม่สมควรให้เด็กสองคนนั่นได้ยิน” หลังกล่าวจบ เขาก็ไม่สนใจหวังเวิ่นวูอีก สาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไปข้างในราวกับเป็นบ้านของตนเอง

“ฮูหยินเย่” ฮั่วฉุ่ยโหรวก้มศีรษะลงเล็กน้อย เรียกออกไปเสียงเบาและเหนียมอาย

จากถ้อยคำของฮั่วเจิ้นเทียนและท่าทางเอียงอายของฮั่วฉุ่ยโหรว หวังเวิ่นชูคิดไม่ออกเลยว่าหลายวันนี้เย่หวูเฉินไปทำอะไรไว้บ้าง หัวใจนางท่วมท้นไปด้วยความยินดี ตอนที่เย่หวูเฉินบอกนางว่าเขาปรารถนาในตัวฮั่วฉุ่ยโหรว แม้ว่านางสนับสนุนเขาแต่ก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ยากเย็นเพียงใด นางคิดไม่ถึงเลยว่าเพียงสองวันฮั่วเจิ้นเทียนจะพาฮั่วฉุ่ยโหรวมาถึงบ้านด้วยตนเอง ไม่เพียงทำให้ฮั่วฉุ่ยโหรวยอมรับ แต่ยังทำให้ฮั่วเจิ้นเทียนยอมรับด้วยอีกคน เขาคือหนึ่งในคนที่จัดการงานแต่งกับหลินเสี่ยวแห่งตระกูลหลิน... นางทำได้เพียงอุทานด้วยความชื่นชม เขาสมแล้วที่เป็นบุตรของนาง หากเขาต้องการสิ่งใดเพียงยื่นแขนออกแล้วคว้ามันไว้ ในฐานะที่เป็นมารดา นางไม่กังวลในตัวเขาอีกต่อไป

หวังเวิ่นชูหัวเราะ “ทำไมเจ้ายังเรียกข้าว่าฮูหยินเย่เล่า? อีกไม่นาน เจ้าก็ต้องเรียกข้าว่าแม่”

ฮั่วฉุ่ยโหรวใบหน้าเป็นสีแดง สองมือบีบผ้าเช็ดหน้า นางพูดไม่ออกเนื่องจากความอาย แต่ในใจนางนั้นมีความสุข 

เป็นครั้งแรกที่หวังเวิ่นชูสามารถมองฮั่วฉุ่ยโหรวอย่างละเอียด และนางยิ่งพอใจกับฮั่วฉุ่ยโหรวมากขึ้น ไม่เพียงความงดงามที่ทั้งอาณาจักรเทียนหลงต้องตะลึง อุปนิสัยเชื่องเชื่อของนางก็นับว่าหาได้ยากยิ่ง

“มาเถอะ ให้ข้าพาเจ้าไปหาเฉินเอ๋อร์ ฮึ่ม...หนุ่มน้อยคนนี้กลับกล้าเอาเปรียบเจ้า ข้าจะต้องสอนบทเรียนเขา” หวังเวิ่นชูดึงแขนฮั่วฉุ่ยโหรวข้างหนึ่ง พานางไปที่สวนของเย่หวูเฉิน แม้ปากนางจะพูดตำหนิ แต่ใครก็ฟังออกว่าน้ำเสียงนางกำลังภูมิใจ ยิ่งกว่านั้นหากให้นางสั่งสอนบทเรียนเขา บางทีคงต้องคุกเข่าอ้อนวอนก่อนนางถึงจะทำ

“เขา... เขาไม่ได้เอาเปรียบข้า” ฮั่วฉุ่ยโหรวพยายามอธิบายแก้ตัวแทนเย่หวูเฉิน

ในระหว่างทาง หวังเวิ่นชูได้ถามทุกสิ่งและฮั่วฉุ่ยโหรวก็ตอบกลับทุกคำถาม แต่นางไม่ได้ถามว่าเย่หวูเฉินทำอะไรกับฮั่วฉุ่ยโหรว ในขณะเดียวกัน ตอนนี้เย่หวูเฉินกำลังจับมือขาวกมลของเย่ฉุ่ยเหยา สอนนำนางวาดภาพดอกบัวที่สมบูรณ์ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มือขวาของเย่ฉุ่ยเหยาถูกเขากุมจับ นางพยายามสงบใจตนไม่ให้คิดถึงความอบอุ่นจากสัมผัสรวมถึงลมหายใจใกล้ชิดของบุรุษ แต่นางไม่อาจปิดบังความจริงที่ว่าใบหน้าของนางเรื่อเป็นสีแดง

พอได้ข้อความจากเสี่ยวลู่ เขาก็ฝืนใจปล่อยมือนางแล้วกลับไปที่สวนของตน ปล่อยให้หนิงเสวี่ยอยู่กับเย่ฉุ่ยเหยาต่อ หวังเวิ่นชูที่รออยู่ตรงประตูเผยรอยยิ้มลึกลับ ชี้เข้าไปในห้องและกล่าวเสียงเบา “เฉินเอ๋อร์ เลือกได้เยี่ยม” แล้วนางก็จากไปเงียบๆ บอกว่าต้องไปหาฮั่วเจิ้นเทียนเพื่อคุย ‘เรื่องสำคัญ’

เป็นครั้งแรกของฮั่วฉุ่ยโหรวที่นั่งอยู่ในห้องของบุรุษ นางรู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นเร็วขึ้น การนั่งรออยู่เงียบๆทำให้นางกระวนกระวายไม่อาจสงบใจ ร่างกายของนางกลายเป็นแข็งทื่อเมื่อเย่หวูเฉินพลักประตูเข้ามา พอเย่หวูเฉินปิดประตูฮั่วฉุ่ยโหรวก็ยืนขึ้นทันที ตื่นตระหนกราวกระต่ายน้อย นางก้มศีรษะลง

“เสี่ยวโหรวโหรว เจ้าคิดถึงข้าหรือ?” เย่หวูเฉินกล่าวพลางหัวเราะขณะที่ค่อยๆเข้ามาใกล้

นางทนรับถ้อยคำนั้นไม่ไหว เพียงไม่กี่คำก็ทำให้นางใบหน้าร้อนผ่าว นางพยายามอ้าปากพูดปฏิเสธ “เปล่า...ไม่ใช่นะ ท่านพ่อพาข้ามาที่นี่”

“หน้าแดงแสดงว่าโกหก” เย่หวูเฉินหยุดยืนอยู่เบื้องหน้านาง ชื่นชมใบหน้าทรงเสน่ห์ที่ยามนี้ฝาดแดง นี่คือสตรีที่เชื่องเชื่ออย่างที่สุด , บอบบางที่สุด และขี้อายที่สุด สตรีแบบนี้ไม่เคยปรากฎในโลกที่เขาจากมา

ฮั่วฉุ่ยโหรวยกมือปิดใบหน้า ยิ่งเขาเข้าใกล้ลมหายใจก็ยิ่งชิดสนิทเคียง ทำให้ศีรษะนางหมุนและรู้สึกมึนงง

เย่หวูเฉินก้มศีรษะลงเล็กน้อย ใช้มือเชยคางของนางขึ้น แววตานางทั้งเต็มไปด้วยความตระหนกและคาดหวัง “เจ้าอยากทำแบบที่พวกเราทำกันก่อนหน้านี้หรือไม่?”

ฮั่วฉุ่ยโหรวกระพริบตาปริบๆ จากนั้นหลับตาลงเงียบๆ ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อย ท่วงท่าของนางกำลังรอให้เขาลิ้มรสตน นางไม่ทราบว่าเหตุใดทุกครั้งที่สบตากับเขา นางจะต้องจมจ่อมไปกับเขาอย่างง่ายดาย ทั้งที่พวกเขาพึ่งรู้จักกันได้เพียงสามวัน

เย่หวูเฉินยิ้มอย่างพึงใจ เขาโน้มตัวลงเบื้องหน้าและประทับจูบอ่อนโยนลงบนแก้มขวาของนาง



<<<PREV    .    NEXT>>>