เย่หวูเฉินกล่าวต่อ “อันที่จริง
ตัวเลือกที่ดีที่สุดคือเจ้าออกไปจากอาณาจักรเทียนหลงพร้อมกับแม่ของเจ้าซะ
แต่เวลานี้นับว่าสายเกินไปแล้ว เจ้าคงรู้ตัว เพราะกระบี่คร่าสายลมของเจ้า
องค์จักรพรรดิจึงไม่อาจปล่อยเจ้าไว้ ทั้งยังมีความคิดกำจัดเจ้าอย่างรุนแรง
ในเวลาสั้นๆเจ้าย่อมถูกลอบจับกุมและสอบปากคำ
เพราะว่าเจ้ามีกระบี่คร่าสายลมของเทพสงครามฟงเฉาหยาง
ดังนั้นเจ้าย่อมเกี่ยวข้องกับเขา หากเจ้าเป็นญาติของเขาจริงๆ เจ้าย่อมเหมาะที่จะเป็นตัวประกัน
รวมถึงกลายเป็นสิ่งต่อรองกับอาณาจักรต้าฟง แต่หากว่าเจ้าไม่ใช่ เจ้าย่อมถูกฆ่าทิ้ง
เนื่องจากอุปนิสัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ของเจ้า ถึงแม้เจ้าไม่ได้มีระดับพลังที่สูงมากนัก
แต่เจ้ามีจิตสังหารรุนแรงและทำให้จักรพรรดิรู้สึกหวั่นเกรง
หากเจ้าเติบโตเต็มที่และเขาไม่อาจใช้งานเจ้าได้ เช่นนั้นเขาย่อมเลือกกำจัดเจ้าทิ้งเสียตั้งแต่เนิ่นๆ
ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจกินนอนได้อย่างสบายใจ”
เล่งหยายังคงเงียบอยู่ แต่เหงื่อยังผุดออกมาไม่หยุด หลังจากฟังที่เย่หวูเฉินพูด เขาจึงตระหนักได้ว่าตนเองยามนี้ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันแค่ไหน
เล่งหยายังคงเงียบอยู่ แต่เหงื่อยังผุดออกมาไม่หยุด หลังจากฟังที่เย่หวูเฉินพูด เขาจึงตระหนักได้ว่าตนเองยามนี้ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันแค่ไหน
ที่เขากล่าวนั้นถูกต้อง
ข้ามันไร้เดียงสาเกินไป....
“เอาละ เจ้าจะยอมรับเข้าร่วมกับตระกูลเย่หรือไม่?” เย่หวูเฉินถาม
“ยอมรับ!”
“ดี
แต่เจ้ายังไม่รู้เงื่อนไขสุดท้ายที่ข้าต้องการ...คือเวลาสิบปี! เจ้าจะต้องภักดีต่อข้าเป็นเวลาสิบปีเพื่อชดใช้เรื่องที่ข้าช่วยเหลือเจ้ากับแม่
แลกกับการที่แม่ของเจ้าจะได้รับความปลอดภัย เจ้าจะตกลงหรือไม่?” เย่หวูเฉินถามอย่างสงบ
“ข้า...ตกลง!”
เล่งหยาแทบเค้นพลังทุกส่วนของร่างกายเพื่อตอบออกไป
เขาพูดพร้อมกับกัดฟันแน่น
“ดีมาก”
เย่หวูเฉินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ธรรมชาติอันเหนือล้ำ ความหยิ่งยะโสที่ไม่อาจแตะต้อง
และการไร้ความยับยั้งชั่งใจของเจ้า สิ่งเหล่านี้ทำให้ข้าแปลกใจเกี่ยวกับสถานะของเจ้า
เจ้าย่อมไม่ใช่บุคคลที่คิดจะยอมถูกผูกมัดอยู่กับที่ ครั้งนี้เจ้าตัดสินใจอย่างยากลำบากเพราะสาเหตุหลักคือแม่ของเจ้า
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าจะรู้ว่าตัวเองไม่ได้ตัดสินใจผิด วันหนึ่งเจ้าจะรู้ว่าการได้คู่ควรยืนอยู่เบื้องหลังข้าจะกลายเป็นเกียรติยศไปจนชั่วชีวิต!”
เล่งหยาเงยศีรษะขึ้นมอง ด้วยสายตาราวพญาอินทรีผู้หิวโหยกำลังจ้องมองเหยื่อของตน
ในเวลานี้ความรู้สึกภายในกำลังพลุ่งพล่านอย่างรุนแรง
เขาไม่เคยคิดเลยว่าบุรุษที่ยังเยาว์วัยกว่าตน
จะสามารถสร้างความรู้สึกกดดันทางอารมณ์กับเขาได้มากถึงเพียงนี้
“ไป
บอกข้าว่าตอนนี้แม่ของเจ้าพักอยู่ที่ใด วันพรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปรับตัวเจ้ามา
เจ้าไม่ต้องกังวล ถึงแม้ว่าองค์จักรพรรดิอาจจะรู้ที่อยู่ของเจ้า
แต่เขาสมควรยังไม่สั่งการให้ลอบสังหารเจ้าในตอนนี้ เพราะว่าสิ่งที่เขาต้องจัดการในเวลานี้.....”
เย่หวูเฉินเผยรอยยิ้มเยียบเย็น “ยังมีอยู่เล็กน้อย”
เมื่อเล่งหยาจากไป
ผู้คนในจัสตุรัสก็ออกไปจนหมดแล้ว
เย่หวูเฉินอุ้มหนิงเสวี่ยออกจากราชวิทยาลัยเทียนหลงอย่างระวังตัว
จากนั้นเขารีบจ้างเกี้ยวให้ไปส่ง ระหว่างทางที่อยู่บนท้องถนนในที่สุดเขาก็รู้สึกผ่อนคลาย
เป็นเรื่องยากสำหรับคนมีชื่อเสียงที่จะเดินทางไปไหนมาไหน
โดยเฉพาะกับบางคนที่เพิ่งจะสร้างชื่อกระฉ่อนไป
ในเวลานี้เอง
หลินขวงและหลินซานกำลังอยู่ระหว่างเดินทางกลับตระกูล ทั้งสองต่างมีสีหน้าดูไม่ได้
พวกเขาไม่ได้พูดคุยกันถึงเรื่องที่ว่า
เย่หวูเฉินไม่เพียงทำให้โลกตะลึงด้วยความสำเร็จอันสุดยอด แต่ยังทำให้ตระกูลหลินทั้งตระกูลต้องร่วงจากจุดสูงสุดลงสู่ก้นเหว
ทุกคำเหยียดหยามที่เขาประเคนใส่ราวกับจะบอกว่า “พวกเจ้าสมควรได้รับมัน”
ทุกๆครั้งที่เย่หวูเฉินกล่าวคำ พวกเขาไม่อาจหาสิ่งใดมาตอบโต้ และทำได้เพียงเก็บกดความโกรธและความอับอาย
ในเวลานี้เมื่อพวกเขามีเวลาคิดอย่างสงบจึงตระหนักได้ว่า ตั้งแต่เริ่มเรื่อง ตระกูลหลินทั้งหมดก็ถูกเย่หวูเฉินจูงจมูกแล้ว
ทุกถ้อยคำทุกการกระทำ เขาได้คำนวณและคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า... ทำให้พวกเขาต้องเสียหายกว่าที่ควรเป็นถึงสิบเท่า
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ พวกเขามองหน้ากันด้วยความรู้สึกผวาหวั่นกลัว
“แผนการอันน่าสยดสยอง...ไม่แปลกใจเลยที่เขาอดทนได้ถึงตลอดสิบหกปี”
หลินขวงถอนหายใจ
เขาเชื่อไม่ลงว่าเย่หวูเฉินจะเป็นคนขี้แพ้มาตลอดสิบหกปี
และจู่ๆก็พลันกลายเป็นสุดยอดอัจฉริยะในเวลาเพียงหนึ่งปีที่หายตัวไป เขาเชื่อหมดใจว่าเวลาสิบหกปีก่อนหน้านั้นเป็นเพียงอุบาย
ทำให้ผู้คนไม่สนใจเขา และเขาใช้ช่วงเวลานั้นพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็ว
“ท่านปู่ ท่านพ่อ!”
“บุตรของท่านต้องทำให้ท่านต้องละอาย”
หลินเสี่ยววิ่งตามมาจากด้านหลัง เขามีสีหน้าเศร้าเสียใจ
“แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาของตระกูลนักรบ
เสี่ยวเอ๋อร์ อย่าได้โทษตัวเองเลย มันเป็นเพราะ....เฮ้อออ”
หลินซานถอนหายใจหนักหน่วง กระทั่งเขายังต้องตกตะลึงกับพรสวรรค์ของเย่หวูเฉิน
เขาไม่ยอมเอ่ยปากแม้คำเดียวเพื่อยกย่องศัตรู วันนี้ความสำเร็จของเขาทำให้โลกตะลึง
และรางวัลที่จักรพรรดิมอบให้ ได้ทำให้ทุกความสนใจพุ่งไปที่ตระกูลเย่
ผู้คนต่างรายล้อมตระกูลเย่ยามที่จักรพรรดิจากไป ส่วนตระกูลหลินที่เป็นพันธมิตรกับพวกเขานั้นถูกเมิน
พวกเขาอยู่ในมุมที่โดดเดี่ยวอย่างสิ้นเชิง
ทั้งหมดเป็นเพราะเย่หวูเฉิน
“ท่านปู่ ท่านพ่อ
อีกหนึ่งสัปดาห์ฉุ่ยโหรวแห่งตระกูลฮั่วจะอายุครบสิบหกปี จากข้อตกลงในปีนั้น
พวกเราควรมีพิธีหมั้นอย่างเป็นทางการก่อนที่จะแต่งงานกันในครั้งถัดไป ข้าหวังว่าพวกเราจะสามารถประกาศให้ผู้คนทั่วเมืองได้รับทราบถึงเรื่องนี้
และจะยิ่งดีมากหากทำให้ผู้คนพากันพูดถึงเรื่องนี้” หลินเสี่ยวกล่าวอย่างจริงจัง
การทำแบบนี้ไม่เพียงเป็นการกดดันต่อตระกูลฮั่ว แต่ยังทำให้ตระกูลเย่ไม่อาจก้าวล่วงล้ำเข้ามาได้
เมื่อผู้คนรับทราบถึงเรื่องนี้ทั่วกัน
หากตระกูลฮั่วกลับคำย่อมเป็นที่ตำหนิไปทั้งเมืองเทียนหลง
“เสี่ยวเอ๋อร์ เจ้ากลัวหรือ?”
หลินขวงขมวดคิ้วถาม
“ใช่ เวลานี้ข้ากลัวมาก แรงกดดันที่เขาสร้างเอาไว้ช่างหนักหนาเหลือเกิน
ยิ่งกว่านั้น
สิ่งที่ฮั่วฉุ่ยโหรวทำในวันนี้ยังแสดงให้เห็นว่านางเริ่มมีใจให้เย่หวูเฉิน
ไม่เช่นนั้น จากอุปนิสัยของนาง นางย่อมไม่มีทางทำแบบนั้นได้”
หลินเสี่ยวกล่าวอย่างเจ็บปวด
“บุรุษที่แท้จริงย่อมไม่ห่วงหาเรื่องสตรี
ยิ่งกว่านั้น เขาย่อมไม่มัวมาเหน็ดเหนื่อยเพราะเรื่องสตรี!” หลินขวงกล่าว
“แต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับศักดิ์ศรีของบุรุษ!
ข้าหลินเสี่ยวรุ่งโรจน์มาครึ่งชีวิต ข้าไม่ต้องการกลายเป็นตัวตลกให้คนหัวเราะเยาะ
ยิ่งกว่านั้น การได้ตัวฮั่วฉุ่ยโหรวยังเท่ากับได้ตระกูลฮั่วมาทั้งตระกูล
หากตระกูลเย่เคลื่อนไหว และหากพวกเขาทำสำเร็จ... ท่านปู่ ท่านพ่อ
พวกท่านต้องการให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นจริงๆหรือ? และ...ข้าเองก็รักนางอย่างลึกซึ้ง
หากข้าต้องสูญเสียนางไป ข้าคงเจ็บปวดไปจนชั่วชีวิต”
หลินเสี่ยวกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น
นับเป็นครั้งแรกที่หลินขวงและหลินซานได้เห็นสีหน้าอันเจ็บปวดและกังวลของหลินเสี่ยว
บุคคลอันเป็นที่ภาคภูมิใจของพวกเขา ถึงแม้เขามักจะมีสีหน้าสงบอยู่ตลอดเวลา แต่ความสะเทือนใจในวันนี้แท้จริงนับว่าหนักหนาเกินไป
กับบุคคลที่เคยอยู่บนจุดสูงสุดเหนือผู้คน ผู้ที่เคยได้รับคำชื่นชมและยกย่อง
เขามักกล่าวอยู่เสมอว่าไม่ใส่ใจในชื่อเสียงและความเดียวดาย อย่างไรก็ตาม
เมื่อเขาถูกผู้อื่นก้าวข้ามไป เขาก็สูญเสียความยับยั้งใจเพราะความกลัว เขาทำทุกสิ่งเพื่อทวงคืนตำแหน่งกลับมา
นี่คล้ายกับเด็กที่เคยชินกับความร่ำรวยของตระกูลจนเป็นเรื่องปกติ
แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อตระกูลไม่ได้ร่ำรวยอีกต่อไป
พวกเขาย่อมทำทุกทางเพื่อดิ้นรนกลับสู่จุดเดิม เป็นเพราะว่าเมื่อครั้งที่อยู่ในจุดๆนั้น
คนมักจะกล่าวโอ้อวดโดยไม่ละอาย
และหากสตรีที่ควรเป็นของเขาถูกแย่งไปโดยคนอื่นโดยที่ไม่ทันได้แต่งงาน
นั่นย่อมเป็นความเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าการสังหารเขาให้ตาย
“สิ่งที่เจ้ากล่าวนั้นถูกต้อง
แม้ว่าเจ้าจะไม่พูดออกมา ปู่ของเจ้าและข้าย่อมทำบางอย่างในวันพรุ่งนี้
ไว้เราค่อยไปคุยกันต่อที่บ้าน”