“พี่หญิง ข้าหิวแล้ว”
“ไปกินสิ” เย่ฉุ่ยเหยาตอบโดยไม่เงยศีรษะขึ้นมามอง
สายตาของนางยังคงจ้องภาพดอกบัวสองรูปที่วาดโดยเย่หวูเฉิน กระทั่งนางเองยังไม่อาจยืนยันได้ว่าเหตุใดนางจึงขอให้เขาสอนวาดภาพ
‘ดอกบัวคู่บนก้านเดียว’
“คือว่า...ข้าและเสวี่ยเอ๋อร์อยากจะทานอาหารกับพี่หญิงที่นี่ จะได้รึเปล่า?” เย่หวูเฉินถามท่าทางลุกลี้ลุกลน ทำตัวเป็นน้องชายติดพี่
เย่ฉุ่ยเหยาวางพู่กันลง นางก้าวเท้าออกจากห้องด้วยฝีเท้าเล็กๆ
กลิ่นหอมโชยลมยามกระโปรงสีฟ้าผ่านพัดอากาศ กลิ่นอายของเรือนร่างสตรีทำให้หัวใจของเย่หวูเฉินแทบเสียการควบคุม
เขาไม่อาจห้ามตัวเองให้คิดถึงเรื่องคืนนั้น เรือนร่างที่งดงาม งดงามจนแทบหยุดหายใจ...และความรู้สึกสัมผัสของสิ่งนั้น...
เมื่อนางกลับเข้ามา
นางถือถาดไม้ที่เต็มไปด้วยอาหาร นางนั่งลงเบื้องหน้าเย่หวูเฉินและหนิงเสวี่ย
อาหารทุกมื้อของนางจะมีสาวใช้นำมาส่งให้ และนางแทบไม่เคยนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องปกติระหว่างนางกับครอบครัว
“กินสิ”
“แล้วของพี่หญิงล่ะ?”
“ข้ายังไม่หิว”
“....งั้นเดี๋ยวข้าบอกเสี่ยวลู่ให้แอบเอาสำรับอาหารของข้ากับหนิงเสวี่ยมาส่ง
พวกคนอื่นๆคงไม่ทันสังเกต”
...............
โต๊ะตัวเล็กที่ปกติมีแต่เย่ฉุ่ยเหยานั่งอยู่เพียงลำพัง
ยามนี้นั่งกันอยู่สามคน เย่หวูเฉินกับหนิงเสวี่ยนั่งตัวติดกันอยู่ด้านหนึ่ง
อีกด้านหนึ่งเย่ฉุ่ยเหยาโน้มกายลงทานอาหาร เย่หวู่เฉินตักกับข้าวใส่ชามใบเล็กของหนิงเสวี่ยจนเต็ม
ถูกพี่ชายตามใจจนเสียเด็กไปเรียบร้อย นางเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ
สายตาของเย่หวูเฉินส่วนใหญ่ติดตรึงอยู่ที่ใบหน้าของเย่ฉุ่ยเหยา
ขณะที่มุมปากของเขายกยิ้มเล็กน้อย
“เลิกจ้องได้แล้ว”
นางกล่าวเสียงเบาเมื่อไม่อาจทนสายตาที่จ้องมองมาได้อีก
“แต่ว่าข้าชอบมองตอนที่ท่านกำลังทานอาหาร
พี่หญิง ข้าต้องพูดเรื่องนี้ ตัวท่านน่ามองชมทุกเวลา เจ้าเห็นด้วยหรือไม่
เสวี่ยเอ๋อร์?” เย่หวูเฉินยิ้มกล่าว
“ใช่แล้ว! พี่สาวสวยที่สุด”
หนิงเสวี่ยกล่าวเสียงดังสดใส
เย่ฉุ่ยเหยานิ่งเงียบขณะที่หัวใจของนางเริ่มเต้นเร็ว
“พี่หญิง ปกติท่านทานอาหารคนเดียว
ไม่ไปร่วมวงกับคนอื่นๆในครอบครัวหรือ?”
“....มันเป็นนิสัยของข้าไปแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น หากเสวี่ยเอ๋อร์และข้ามาเยี่ยมท่านบ่อยๆ
จะได้หรือไม่?”
เย่ฉุ่ยเหยาขยับตะเกียบหยกขาวในมือ
ราวกับว่านางไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่
เย่หวูเฉินก็ได้ยินคำตอบกลับมาว่า ‘ได้สิ’ ซึ่งเป็นเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน
ตลอดบ่ายวันนั้น เย่หวูเฉินขลุกอยู่ในห้องของเย่ฉุ่ยเหยา
วาดภาพอย่างสบายใจและผ่อนคลาย ลืมอย่างสิ้นเชิงว่าบิดามารดากำลังเผชิญหน้ากับสิ่งใด
ทั้งสองท่านหมดแรงกายและแรงใจ สีหน้าของพวกเขาแข็งตึง
ในอีกมุมหนึ่ง
“เจิมศีรษะส่งพลังบริสุทธิ์? เทพกระบี่แท้จริงกลับมีความสามารถถึงเพียงนี้
ฮึ่ม..ที่แท้เรื่องก็เป็นเช่นนี้ ไม่แปลกเลยที่เขาได้รับพลังและพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมในเวลาเพียงสั้นๆ
เทพกระบี่ให้ความสำคัญเจ้าหนุ่มนั่นถึงเพียงนี้ เขามีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”
“เรื่องนั้น บ่าวของท่านไม่ทราบ”
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมเขาถึงไม่กลัวไฟ?”
“จากที่เขาพูด
เทพกระบี่ให้เขากินบางอย่างเข้าไป ทำให้เขามีภูมิต้านทานต่อน้ำและไฟ”
“งั้นเหตุผลก็เป็นเช่นนี้เอง
เขาเป็นถึงเทพกระบี่ การมีของพรรค์นั้นย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่เรื่องที่เขาสามารถปิดบังกลิ่นอายได้ เขาทำได้ยังไง?”
“พวกเขาไม่ได้ถามถึงประเด็นนี้”
“เฮอะ
เย่หนู่กับเย่เว่ยมีความสามารถเหนือล้ำเรื่องบัญชาการในสนามรบ แต่กลับไม่แสวงหาความลึกซึ้งในวิชายุทธ
เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาไม่อาจเข้าใจลึกซึ้งถึงเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม
ในเมื่อเจ้าหนุ่มเย่บอกเรื่องพวกนี้ต่อหน้าเจ้า ก็แสดงว่าเขาไม่ได้สงสัยเจ้า ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่กล่าวออกมา
ถึงแม้เขาจะฉลาดเพียงใด เขาก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการอันไร้ตำหนิ
ที่พวกเราวางแผนกันมานานกว่าสิบปี
ตัวตนของและสถานะของเจ้าเพียงแค่ทำให้เขาไม่ชอบหน้าเจ้าเท่านั้น นับจากนี้ไป ให้เจ้ายึดจุดยืนในตระกูลเย่ให้มั่นคง
หลีกเลี่ยงการพบปะกับเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ละเว้นจากข้อขัดแย้งต่างๆ
แสดงท่าทางว่าเจ้ายอมรับอยู่ข้างใน”
“นายท่าน แล้วแผนขั้นต่อไปคือ?”
“ตระกูลเย่จงรักภักดีและอุทิศตนมาทุกชั่วรุ่น
พวกเขาควบคุมกองทหารที่เกรียงไกรไว้ใต้บัญชามากมาย
เกียรติภูมิของพวกเขาเจิดจ้าดั่งแสงตะวัน กระทั่งยังเหนือล้ำกว่าราชตระกูลของข้า
หากพวกเขามีความคิดก่อกบฎ เพียงอาศัยชื่อเสียงการรบและกองกำลังที่มี ราชตระกูลก็ไม่อาจตอบโต้ใดๆได้เลย
แม้จะรู้ว่าพวกเขาจงรักภักดี แต่ก็ไม่อาจสงบใจได้ลง เรื่องนี้...ทำให้จักรพรรดิไม่มีทางเลือก
ตระกูลเย่กลายเป็นภัยคุกคาม แต่การเล่นงานพวกเขาเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะกับเย่เว่ยและเย่หนู่ พวกเราต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องพวกเขา อาณาจักรเทียนหลงยังคงต้องพึ่งพิงพวกเขาสองคน
หากไร้ทั้งคู่แล้ว ภัยคุกคามใหญ่หลวงอย่างอาณาจักรต้าฟงย่อมรื่นเริงยินดี
แผนเดิมคือให้เจ้าเข้าควบคุมตระกูลเย่อย่างเงียบเชียบ และปลดความกังวลของข้าลง แต่คาดไม่ถึงว่าตระกูลเย่กลับให้กำเนิดอัจฉริยะผู้นี้
หากตระกูลเย่รุ่งโรจน์ภายใต้การนำของเขา
เช่นนั้นย่อมทำให้ข้าหวาดระแวงอย่างยิ่งและมีปัญหาไม่จบไม่สิ้น
ดังนั้นเขาต้องถูกกำจัด!”
“บ่าวผู้นี้สมควรทำอะไร?”
“เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น
ข้าจะหาคนให้ติดต่อกับมือสังหารอันดับหนึ่ง เถาไปไป!”
“เถาไปไป? หรือว่าคือมือสังหารอันดับหนึ่งเถาไปไปผู้นั้น
คนที่ลอบฆ่ายอดฝีมือขอบเขตสวรรค์หลิงหยุนได้สำเร็จ?”
“ถูกต้อง! เล่าลือกันว่าเมื่อรับงานแล้วเขาจะทำสำเร็จอย่างแน่นอน
ไม่เคยพลาดท่าล้มเหลวสักคราเดียว เป้าหมายหนนี้เป็นเพียงชายที่มีพลังระดับ10
เขาย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ อีกยังยังเป็นงานง่าย
ถึงแม้เทพกระบี่จะตามมาสืบสาวเอาความ เขาก็จะเจอแค่แพะรับบาปตัวหนึ่งเท่านั้น”
“นายท่านหลักแหลมยิ่งนัก
เจ้าหนุ่มเย่คราวนี้ย่อมไม่สามารถหลบหนีไปได้!”
.............................................................................
เมื่อยามบ่ายคล้อยไป
เย่หวูเฉินและหนิงเสวี่ยก็กลับมาสวนน้อยของพวกเขา และพบว่าหวังเวิ่นชูกำลังจิบน้ำชายืดยาวรอพวกเขาอยู่ในห้อง
นางกลับมาสงบมั่นคงอีกครั้งหลังจากผ่านเวลายุ่งยากไป
“เฉินเอ๋อร์ หนิงเสวี่ย
ในที่สุดพวกเจ้าก็กลับมา นั่งก่อนสิ เสี่ยวลู่เจ้าออกไปก่อน”
เย่หวูเฉินยังไม่ทันได้นั่งดีหวังเวิ่นชูก็ถามออกมา
“เฉินเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
“ก็นิดหน่อย”
เย่หวูเฉินตอบกลับอย่างระมัดระวัง พอนึกถึงเรื่องที่เขาประสบมาก่อนหน้า เขาถึงกับสั่นกลัวมาจนถึงตอนนี้
เขาพยายามที่จะสงบอย่างหนัก แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว อย่างไรก็ตาม
เขาไม่เคยเจอเรื่องอะไรที่ ‘ร้ายแรง’ เช่นนี้มาก่อนเลย
“ดีแล้วที่เจ้ายังรู้ตัว
พวกขุนนางชั้นสูงหลายคนมาที่ตระกูลเราเพื่อเสนอการแต่งงาน
ข้าเคยพบกับลูกสาวของตระกูลเหล่านี้มาก่อน พวกนางทั้งหมดเป็นธิดาของตระกูลร่ำรวยและมั่งคั่ง
ทั้งยังงดงามและอุปนิสัยใจคอดี นับเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพวกนางที่จะมีคนมาสู่ขอถึงหน้าปากประตูบ้าน
ข้าคิดว่า บางทีเจ้าอาจสามารถแต่งงานกับพวกนางได้ทุกคน”
เย่หวูเฉินดวงตาเบิกโพลง
เขาคิดว่าหูตัวเองคงมีอะไรสักอย่างผิดปรกติ เขาโบกไม้โบกมือเป็นพัลวันและกล่าว “อย่า...อย่าล้อข้าเล่น จะเป็นไปได้อย่างไร”
“ทำไมจะไม่ได้? ในเมื่อข้ามีบุตรชายที่ยอดเยี่ยม
เขาจะมีภรรยาหรือนางบำเรอมากกว่าปกติสักหน่อยก็ไม่เห็นแปลก พวกนางทุกคนบอกว่าจะแต่งกับเจ้าเท่านั้นไม่สนชายใด
อย่าสงสัยเลยพวกนางล้วนปรารถนาเช่นนั้นจริง นอกจากนั้น พวกนางทุกคนยังทรงอิทธิพลจากพื้นเพตระกูลของพวกนาง
บางคนก็เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว หากเจ้าแต่งกับพวกนาง จะไม่มีใครกล้ากระตุ้นโทสะของพวกเราตระกูลเย่อีกในอนาคต
เฉินเอ๋อร์ เจ้าไม่จำเป็นต้องรอการแต่งงานกับองค์หญิงเฟยฮวงในอีกสามปี เพื่อตระกูลของพวกเราแล้ว
เสียสละสักเล็กน้อยจะเป็นไรไป”