วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 121

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 121 อาจารย์ศิลปะคนใหม่

มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันในบรรดาคณาจารย์ของราชวิทยาลัยนั่นคือความ “เข้มงวด” พวกเขาปฏิบัติต่อนักเรียนอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งยังไม่จำเป็นต้องเคารพทักทายต่อนักเรียนที่มาจากตระกูลชั้นสูง เมื่อชายชราหนวดเคราขาวเห็นเย่หวูเฉินก้าวเข้ามา แววตาของเขาฉายแววคลั่งไคล้ยิ่งกว่านักเรียน ในวันนั้น เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้สัมผัสด้วยตาตนเองถึงทักษะการวาดของเย่หวูเฉิน นับตั้งแต่วันนั้นมา เขาจึงได้รู้ว่าการวาดที่แท้จริงเป็นเช่นใด และทักษะการวาดขั้นสูงสุดนั้นเป็นเป็นแบบใด

ความรู้นั้นไม่จำกัดวัย สำหรับชายชราผู้นี้ที่หลงใหลการวาดยิ่งกว่าชีวิต เขานับถือเย่หวูเฉินราวกับเทพเซียน แม้ว่ายามนี้จะยังดูค่อนข้างไม่สมควร แต่ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาแทบไม่อาจควบคุมตัวเอง ไม่ให้พุ่งร่างของตนไปเบื้องหน้าแล้วคุกเข่าคาราวะเย่หวูเฉินเป็นอาจารย์

“นายน้อยเย่ ในที่สุดท่านก็มา ชายชราผู้นี้ปลาบปลื้มกับทักษะการวาดของท่านมานานนัก ข้าชังตัวเองที่ไม่สามารถไปเยี่ยมเยือน เมื่อวานผู้ชราได้ยินว่าท่านจะมาที่นี่ ข้าตื่นเต้นมากจนไม่อาจหลับนอนได้ทั้งคืน ยามนี้นายน้อยเย่มาอยู่ที่นี่ ข้าละอายใจและไม่อาจแสดงฝีมือต่ำต้อยต่อหน้าท่านได้ พวกเราอยากขอให้ท่านโปรดชี้แนะบทเรียนได้หรือไม่? หากท่านตอบรับความปรารถนาของผู้ต่ำต้อย ชายชราผู้นี้จะซาบซึ้งไปจนชั่วชีวิต”

ชายชราผู้นี้ตื่นเต้นอย่างมาก เขากระตือรือร้นป่าวประกาศคำขอ เขาลืมหลงฮวงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างเย่หวูเฉินในทันที สำหรับเขาแล้ว การได้ฟังบรรยายของสุดยอดพรสวรรค์แห่งการวาด นับได้ว่าเป็นความปลาบปลื้มยินดีที่สุดในชีวิต เขาไม่กล้าเรียกตัวเองว่าอาจารย์ต่อหน้าเย่หวูเฉิน และเรียกแทนตัวเองด้วยคำว่า “ชายชรา”

เหล่านักเรียนในห้องต่างมีสีหน้าประหลาดใจยิ่ง ไม่มีใครคิดว่าอาจารย์ผู้นี้ ที่ยิ้มยากและไม่ค่อยเอ่ยวาจา กลับแสดงความเคารพอย่างลึกล้ำต่อคนที่แก่กว่าพวกตนเพียงไม่กี่ปี แม้มีข่าวลือว่าเย่หวูเฉินนั้นราวกับเทพจุติ แต่นักเรียนเหล่านี้ต่างมีสกุลรุณชาติ ทั้งยังยโสถือตัวราวกับตนสูงเทียมฟ้า มีจำนวนน้อยที่จะนบนอบเพียงเพราะข่าวลือ เวลานี้เพราะการแสดงออกของชายชรา พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากขจัดความจองหองของพวกตน

เป็นอีกครั้งที่เกี่ยวกับวาดภาพ ตั้งแต่เย่หวูเฉินมายังโลกใบนี้ เกือบทุกสิ่งที่เขาประสบล้วนเกี่ยวข้องกับการวาด เย่หวูเฉินเสียใจที่ตนใช้เวลาเรียนวาดภาพเพียงสามเดือนและยุติลง แต่เพียงแค่นั้นยังช่วยเขาได้มากในโลกใบนี้

“ข้าควรเรียกท่านว่าอย่างไร?” เย่หวูเฉินถามอย่างสุภาพ

“ชายผู้นี้แซ่หัว ชื่อว่าปูเฮ่า” ชายชราตอบกลับทันที

หัวปูเฮ่า... หัวปูเฮ่า เย่หวูเฉินเกือบหลุดหัวเราะพรวด เหตุใดคนที่แย่เรื่องการวาดกลับมาสนใจเรื่องวาดภาพได้? ไม่แปลกเลยที่เขาเป็นได้เพียงอาจารย์สอนการวาดชั้นเริ่มต้น

[โน๊ต: แม้ว่าตัวอักษรจะต่างกัน แต่ชื่อหัวปูเฮ่าพ้องเสียงกับคำที่มีความหมายว่า “วาดภาพได้แย่” ]

เขาเก็บสีหน้าและตบเบาๆบนหลังหลงฮวงเอ๋อร์ “องค์หญิง ท่านไปนั่งที่ก่อน วันนี้ข้าจะสอนวิธีวาดภาพให้ด้วยตนเอง ตกลงไหม?”

นางจะไม่ตกลงกับเรื่องน่าสนใจขนาดนี้ได้อย่างไร? แววตานางสว่างเจิดจ้าและพยักหน้าอย่างตื่นเต้น นางรีบวิ่งไปที่กระดานวาดแล้วนั่งประจำที่ แม้ว่านางจะไม่อาจจดจำที่นั่งของตน แต่ก็สามารถหาได้เพียงกวาดตามอง เพราะจะมีที่นั่งอยู่หนึ่งที่ที่ว่างอยู่เป็นประจำ

เย่หวูเฉินกล่าวเช่นนี้แสดงว่าเขายอมรับคำขอของหัวปูเฮ่าแล้ว หัวปูเฮ่าตื่นเต้นอย่างมากและรีบลงมาจากแท่นเวที อนุญาตให้เย่หวูเฉินขึ้นไปแทนอย่างนอบน้อม หลังจากนั้น เขาไปยืนอยู่ตรงมุม จดจ่อความสนใจมุ่งไปที่เย่หวูเฉินเพียงสิ่งเดียว ด้วยกลัวว่าตนจะพลาดรายละเอียดสำคัญ ไม่ยอมคลาดแม้คำเดียวที่เย่หวูเฉินกำลังจะพูด

เย่หวูเฉินขึ้นไปบนแท่นเวที กวาดสายตามองไปรอบห้อง ห้องศิลป์แห่งนี้ตกแต่งอย่างหรูหรา มีนักเรียนชายหญิงมากกว่าสามสิบคน ทุกที่นั่งมีกระดานกว้างวางอยู่ แต่ละคนล้วนมีลักษณะโดดเด่น เห็นได้ชัดว่าล้วนมาจากตระกูลสูง ในฐานะองค์หญิง ที่นั่งของหลงฮวงเอ๋อร์อยู่ตรงกลาง ดวงตาดำขลับของนางมองมาที่เขาอย่างตื่นเต้น เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าการมาโรงเรียนนั้นน่าสนใจ

หลังจากเงียบอยู่ชั่วขณะ เขาก็พลันยิ้มแย้ม “เอาละทุกคน พวกเจ้าคงมีคำถามมากมายในใจที่อยากจะถาม ดังนั้นอย่ากังวลและจงถามมันออกมา จะไม่มีใครดุว่าพวกเจ้า”

หลังจากที่กล่าวคำจบ เหล่าเด็กหนุ่มและสาวน้อยดูคล้ายไม่อาจยับยั้งตัวเอง พวกเขาแต่ละคนตะโกนเสียงดัง จนทำให้ทั่วห้องตกอยู่ในความโกลาหล

“ข้าได้ยินว่ารูปหนอนที่ท่านวาดถูกนกบินลงมาจิก เป็นความจริงหรือไม่?”

“ท่านช่วยวาดภาพดอกบัวคู่บนก้านเดียวที่บานได้เองให้พวกเราดูหน่อยได้ไหม? ข้าอยากเห็นมันด้วยตาตัวเอง”

“ข้าได้ยินว่าท่านเอาชนะสุดยอดพรสวรรค์หลินเสี่ยวได้ เป็นความจริงหรือ? ทำไมท่านถึงสุดยอดยิ่งนัก?”

“ท่านเริ่มวาดภาพตั้งแต่อายุเท่าไหร่ ใครเป็นคนสอนท่าน?”

......................

“พี่ชายของข้านับถือท่านมาก ตัวข้าก็นับถือท่านเช่นกัน ในอนาคตข้าสามารถแต่งงานกับท่านได้หรือไม่?”

“พี่สาวข้าขอร้องให้ท่านพ่อไปเสนอการแต่งงาน ทำไมท่านถึงไม่ตอบตกลง? หรือเป็นเพราะพี่สาวข้าไม่อาจเทียบกับพี่สาวตระกูลฮั่ว?”

คราแรก คำถามถาโถมล้วนเกี่ยวกับการวาด ต่อมา มันกลับกลายเป็นเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง เย่หวูเฉินยิ้มขื่น เขากระแอมไอและทำท่าให้สงบเสียงลง จากนั้นเขายิ้มกล่าว “เอาละ พวกเจ้าได้ถามคำถามทั้งหมดที่พวกเจ้าต้องการแล้ว ต่อไปนี้ถึงตาข้าพูดบ้าง”

“หากพวกเจ้าต้องการรู้ว่าข้าเป็นคนเช่นใด พวกเจ้าต้องหาคำตอบด้วยตนเอง สิ่งที่ผู้อื่นกล่าวย่อมไม่ใช่ความจริงทั้งหมด”

“หากเจ้าต้องการเห็นรูปดอกไม้บานจริงๆ เหตุใดถึงไม่ลงมือพากเพียรเพื่อให้เข้าใจวิธีวาด? ในวันหน้า เจ้ากระทั่งสามารถวาดรูปให้ผู้คนชื่นชมและแปลกใจ นั่นจะไม่ดีกว่าหรือ? ภาพวาดของคนอื่นย่อมเป็นผลงานของคนอื่น แต่หากเจ้าสามารถวาดภาพได้ด้วยตนเอง นั่นย่อมน่าพึงใจและรื่นรมณ์อย่างที่สุด ถูกหรือไม่?”

เมื่อได้ฟังคำกล่าว หัวปูเฮ่านิ่งเงียบและพยักหน้าอย่างเกินงาม เหล่านักเรียนดูเหมือนไม่เข้าใจเท่าใดนัก  แต่ก็ยังพยักหน้าตาม แม้ว่าส่วนใหญ่จะไม่อาจเข้าใจความหมายที่บอกเป็นนัย อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถสงบใจลง

“ถ้าอย่างนั้น ทุกๆคนจงจำชื่อของข้าไว้ วันนี้ ข้าจะสอนแทนอาจารย์ของพวกเจ้าชั่วคราว แต่หลังจากวันนี้ไป พวกเจ้าจะรู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจกับมัน”

เย่หวูเฉินหยิบแปรงขึ้นมา ใช้วิธีทั่วไปในการเขียนของโลกนี้ เขาเขียนชื่อตัวเองบนผืนกระดาษ จากนั้นหันกระดาษวาดไปรอบๆเพื่อแสดงอักษรหนาสามคำ “เย่-หวู-เฉิน” ต่อหน้าเด็กๆที่กำลังจ้องมอง น้ำเสียงองอาจมั่นใจยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทพวกเขา

“ข้าเคยเป็นศิษย์ของเขา” หลังจากนี้อีกหลายปี เมื่อพวกเขาพูดเรื่องนี้กับสหายหรือลูกหลาน ใบหน้าของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความภาคภูมิและรู้สึกเป็นเกียรติ ผู้ที่ฟังจะเผยสีหน้าอิจฉาและกระตือรือร้น หลังจากนั้นพวกเขาจะถอนหายใจและกล่าว “แต่ช่วงเวลานั้นช่างสั้นนัก เพียงแค่วันเดียว”

หัวปูเฮ่าสายตาพร่าไหว ราวกับถูกแม่เหล็กดึงดูดสายตาให้ติดตรึงอยู่กับตัวอักษรขนาดใหญ่สามคำ เพียงสามคำกลับกลายเป็นสิ่งงดงามประทับจับจิต มันนำพาความอบอุ่นในหัวใจ และสร้างประกายในแววตา ยิ่งเมื่อมองพินิจอย่างละเอียด ยิ่งเห็นความยิ่งใหญ่ในตัวอักษร ราวกับขุนเขาทะยานผ่านเมฆา ราวกับคลื่นมหานทีกระทบคร่าชายฝั่งชล เขาไม่เคยเห็นใครเขียนตัวอักษรได้ทรงพลังถึงเพียงนี้ ทั้งไม่เคยได้ยินว่าผู้ใดเคยเห็นมาก่อน

ดวงตาเขาเปียกชื้นเพราะความจริงที่ว่า สามคำนี้ถูกเขียนด้วยแปรงของเขา แปรงด้ามนี้ย่อมกลายเป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่าของตน ส่วนตัวอักษรสามคำนั้น... หากเย่หวูเฉินไม่คิดนำมันกลับไป เขาได้ตัดสินใจพุ่งออกไปคว้ามันไว้อย่างไม่กลัวเสียหน้าในทันทีที่เย่หวูเฉินจากไป จากนั้นเขาจะนำมันไปแขวนไว้ในห้องนอนเพื่อชื่นชมทุกวัน และไม่มีวันขายแม้จะมีคนเสนอราคาถึงหนึ่งหมื่นตำลึงทอง

เย่หวูเฉินพึ่งรู้เมื่อไม่กี่วันก่อน ว่าหากเขาต้องการ เพียงตวัดพู่กันไม่กี่ครั้งก็สามารถทำเงินได้นับหมื่นตำลึงทอง แต่วิธีหาเงินที่ง่ายเช่นนี้ กลับจะทำให้ไม่สามารถเดินหน้าพัฒนาต่อไป

“ในเมื่อทุกคนมาอยู่ที่นี่ นั่นหมายความว่าพวกเจ้ามีเป้าหมายในการวาดภาพ ตอนนี้ ข้าจะถามพวกเจ้าว่าเหตุใดพวกเจ้าถึงเลือกเรียนวาดภาพ?” เย่หวูเฉินกวาดตามองไปรอบห้อง แล้วถามอย่างอ่อนโยน

“เพราะว่าข้าต้องการเป็นจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่!” หนุ่มน้อยคนหนึ่งที่ดูเยาว์วัยกว่าหลงฮวงเอ๋อร์เล็กน้อยกล่าวเสียงดัง คำตอบของเขาทำให้หลายคนพยักหน้าตาม แต่ว่า ย่อมมีบางคนที่ถูกบังคับให้เรียนซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการ

“ถ้าอย่างนั้น เหตุใดเจ้าถึงต้องการกลายเป็นจิตรกร?” เย่หวูเฉินถาม เขายิ้มให้กับหนุ่มน้อย

หนุ่มน้อยรู้สึกกระดากอาย คำถามนี้ทำให้เขาตระหนักว่าไม่สามารถคิดคำตอบที่แท้จริงได้ เย่หวูเฉินกล่าวต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงเลือกเรียนวาดภาพ?” พวกเด็กๆเผยสีหน้าสงสัย หัวปูเฮ่าเองก็เงี่ยหูฟัง “เพราะว่าในตอนนั้น ข้าอยากวาดรูปใครบางคนที่สำคัญมากกับข้า เป็นคนที่ข้ารักมากที่สุด”

คำว่า ‘มารดา’ วาบผ่านเข้ามาในจิตใจ เขายังไม่สามารถนึกภาพของนางออก ส่วนลึกในความทรงจำมีเพียงความรู้สึกผูกพันที่ไม่อาจอธิบาย แต่ไร้ภาพเงาของนาง

“การวาดภาพนั้นมีอยู่หลายแขนง แต่จุดประสงค์หลักในการวาดคือแสดงความรู้สึกเบื้องลึกของตน มีเพียงผู้ที่ประสานใช้มือสื่อแทนใจได้เท่านั้น จึงจะสามารถวาดภาพที่แท้จริงได้ เพียงใช้มือวาดภาพอย่างเดียว ย่อมวาดได้เพียงภาพหยาบกระด้างไร้วิญญาณ” หลังจากเย่หวูเฉินกล่าวจบ เขามองไปที่กระดานวาดภาพ จากนั้นเอ่ยถาม “เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่ากำลังวาดภาพสิ่งใด?”

หัวปูเฮ่ารีบกล่าวตอบ “ข้าสอนให้พวกเขาวาดรูปเสือ”

“เสือ?” เย่หวูเฉินผงกศีรษะ จากนั้นสุ่มชี้ไปที่นักเรียนคนหนึ่งแล้วถามต่อ “น้องหญิงคนนี้ เจ้าชอบเสือหรือไม่?”

สาวน้อยคนนั้นส่ายศีรษะ “ข้าไม่ชอบพวกมัน”

“เวลาที่วาดรูปเสือ ในใจเจ้าคิดถึงสิ่งใด?”

สาวน้อยกระพริบตาปริบๆ จากนั้นตอบอย่างระมัดระวัง “ข้า...ข้าไม่คิดถึงสิ่งใด จากที่อาจารย์สอน ข้าเพียงแค่วาด”

“ถ้าอย่างนั้นสิ่งใดที่เจ้าชื่นชอบมากที่สุด?” เย่หวูเฉินถาม

สาวน้อยไม่ใช้เวลาคิดนานก่อนจะโพล่งออกมา “ข้าชอบดอกขนหงส์ที่สุด! ทุกๆปีข้าจะปลูกพวกมัน เพื่อให้พวกมันบานสะพรั่งในสวน”

“ดี ถ้าอย่างนั้นจงฉีกรูปเสือที่เจ้าวาดทิ้งไป แล้ววาดรูปดอกขนหงส์แทน” เย่หวูเฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“เอ๋? แต่อาจารย์ไม่ได้สอนวิธีวาดภาพดอกขนหงส์ให้พวกเรา ข้า...ข้าวาดไม่ได้”

เย่หวูเฉินส่ายศีรษะ “สิ่งที่เจ้าชื่นชอบมากที่สุด ย่อมเป็นสิ่งที่เจ้าคุ้นเคยมากที่สุด หากเจ้าไม่มั่นใจว่าสามารถวาดสิ่งที่เจ้าชอบได้ เช่นนั้นเจ้าจะเรียนวาดภาพไปเพื่อประโยชน์อะไร? อย่ากังวลว่าเจ้าจะวาดผิด เพียงใช้พู่กันวาดภาพดอกขนหงส์ที่อยู่ในใจเจ้า หากเจ้ายังรู้สึกว่ามันยังไม่ดีพอ เช่นนั้นจงวาดอีกครั้ง วาดจนกว่าจะเหมือนกับดอกไม้ที่อยู่ในใจ เจ้าแค่ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง”

สาวน้อยคนนั้นจ้องมองอยู่ชั่วอึดใจ หัวใจนางสั่นไหวด้วยคำพูดของเขา นางพยักหน้าและฉีกกระดาษออกโดยไม่ลังเล จากนั้นยกพู่กันขึ้นเหนือกระดาษ นิ่งอยู่โดยไม่แตะลงเป็นเวลานาน นางหลับตาและนึกถึงภาพดอกขนหงส์ที่นางชอบที่สุด คุ้นเคยที่สุด ให้ปรากฎชัดในจิตใจ

“เจ้าชอบอะไรมากที่สุด?”

“เอ่อ...พ่อของข้า!”

“ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงวาดรูปพ่อของเจ้า”

“หา? แต่ว่า....”

“ไม่มีแต่ เจ้าเป็นลูกผู้ชายแต่กลับไม่มีความมั่นใจแค่เรื่องวาดภาพง่ายๆ? ในเมื่อเจ้าชอบพ่อของเจ้ามากที่สุด อย่าบอกข้านะว่า เจ้าไม่เคยคิดวาดภาพบิดาของตนด้วยมือตัวเองแล้วนำไปให้เขาดู? ข้าคิดว่า มันจะต้องกลายเป็นของขวัญล้ำค่าที่สุดที่เจ้าสามารถมอบให้กับบิดา”

“...อื้ม! แม้ว่ามันจะยาก ข้าจะต้องวาดให้สำเร็จจงได้ จากนั้นนำไปให้บิดาของข้าดู”

“ดี แล้วเจ้าชอบอะไรมากที่สุด?”

“ข้า...ชอบเล่น!”

“....ถ้าอย่างนั้น เจ้าควรวาดช่วงเวลาแสนสุขขณะกำลังเล่น เจ้าอยากจดจำช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดถูกหรือไม่? ตอนนี้ จงใช้พู่กันเก็บรักษามันไว้ในภาพวาด”



<<<PREV    .    NEXT>>>